สาปแสงรัก บทที่ 13 : ห้ามรัก

สาปแสงรัก บทที่ 13 : ห้ามรัก

โดย : ตวงทิพย์ ยุวชิต

Loading

สาปแสงรัก โดย ตวงทิพย์ ยุวชิต เรื่องรักของผู้ชายธรรมดาที่ต้องคำสาปที่ว่า เมื่อพบรักแท้จะพบแต่ความทุกข์ทรมานไม่รู้จักจบสิ้น “อานุภาพ” ชายที่ไม่มีพลังอำนาจเหมือนชื่อของเขาเลย แถมยังไม่มีของวิเศษ เวทย์มนตร์คาถา แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้กับแรงอาฆาตพยาบาทที่สาปส่งข้ามภพข้ามชาติได้ ติดตามเอาใจช่วยเขาได้ในอ่านเอา anowl.co

“นี่เรื่องจริงเหรอคะเนี่ย” นวลดาราถามซ้ำ เพราะเธอไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ฟัง

หลังจากที่อานุภาพหมดสติไป นวลดาราก็กลับไปที่วัดเพื่อตามคนมาช่วย อนุชรีบมาดูอาการของพี่ชาย เธอขอให้พาอานุภาพมาส่งโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ชลธีอาสาขับเรือมาส่งที่เกาะลอยและตามมาเป็นเพื่อนนวลดารา เมื่อมาถึงที่นั่นภูษิตก็เอารถมารอรับและพาอานุภาพมาส่งโรงพยาบาลทันที อานุภาพได้รับการรักษาอยู่ในห้องฉุกเฉินเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว ระหว่างนั่งรออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน สองหนุ่มอาสาไปซื้อกาแฟ สองสาวจึงมีโอกาสได้คุยกัน ตอนนั้นเองที่อนุชเล่าว่าทำไมพี่ชายของเธอจึงได้เป็นแบบนี้ เรื่องที่ได้ฟังเหลือเชื่อเกินกว่าที่นวลดาราจะปลงใจเชื่อในทันที

“นุชนึกแล้วว่าคุณนวลต้องไม่เชื่อ เรื่องแบบนี้เล่าไปใครจะเชื่อ นุชเองยังไม่อยากจะเชื่อเลย” อนุชบอกอย่างปลงๆ

“คุณนุชไม่ต้องเรียกพี่ว่าคุณแล้วนะคะ เรียกพี่นวลเถอะ…แล้วไม่ใช่ว่าพี่ไม่เชื่อ แต่เรื่องมันเหลือเชื่อ”

“มันก็เหลือเชื่อจริงๆ ที่จริงพี่อ้ายสั่งว่าไม่ให้นุชบอกพี่นวล เพราะมันทำให้เขาดูอ่อนแอ น่าสงสาร”

“ถ้าต้องทรมานขนาดนี้ ทำไมเขาถึงยังจะจีบพี่”

“เพราะรักไงคะ ก็อย่างที่นุชเล่านั่นแหละ พี่นวลอาจจะคิดว่าพี่อ้ายเพ้อเจ้อไปเอง แต่พี่ชายนุชเขาปักใจไปแล้วจริงๆ พี่นวลไม่รู้สึกอะไรกับพี่อ้ายบ้างเลยเหรอคะ”

“พี่…” นวลดาราไม่รู้จะอธิบายให้อนุชฟังอย่างไรว่าเธอเองก็รู้สึกดีกับอานุภาพ เธอยังทำใจรับกับเรื่องนี้ไม่ทัน ถ้าความรักของเธอกับเขาทำให้เขาทรมานขนาดนี้ เธอจะรักเขาได้อย่างไร

นวลดารายังไม่ทันจะตอบคำถามของอนุช เธอก็เห็นชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่เก้าอี้นั่งรอหน้าห้องฉุกเฉินที่เธอกับอนุชนั่งอยู่ เกือบจะพร้อมกับชลธีและภูษิตที่อาสาไปซื้อกาแฟกลับมาถึง

“นุช…พี่อ้ายเป็นยังไงบ้าง” ผู้หญิงที่มาถามอนุชอย่างร้อนใจ

“แม่…หมอยังไม่ออกมาบอกอะไรเลยค่ะ”

เมื่ออนุชตอบ นวลดาราจึงรู้ว่าสามีภรรยาที่มาคือประณตและอาจารีพ่อแม่ของอนุชที่ยายของเธอเคยพูดถึงให้ฟัง

“แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง ที่นุชเล่ามาในโทรศัพท์ พ่อยังไม่ค่อยเข้าใจ” ผู้เป็นพ่อถามลูกสาวบ้าง

“เรื่องมันยาวมากค่ะพ่อ พี่นวล นี่พ่อแม่นุชค่ะ”

นวลดารายกมือไหว้ประณตกับอาจารี ประณตรับไหว้เธอดี แต่อาจารีดูเหมือนจะไม่ยินดีที่รู้จักเธอ แม่ของอนุชมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วถามว่า “เธอคือนวลดารา เจ้าของโรงงานเซรามิกใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ”

“คุณ…” ประณตรู้ว่าความห่วงใยที่มีต่อหลานชายอาจจะทำให้ภรรยาพูดไม่ดีกับนวลดาราเขาจึงปรามเธออ้อมๆ

“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเขาเลยนะคุณ” อาจารีบอกสามี แล้วหันไปถามนวลดารา “เธอสนิทกับหลานชายฉันมากแค่ไหน”

“เอ่อ…” นวลดาราอึกอัก ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร

“พี่นวลไม่ได้สนิทกับพี่อ้ายมากหรอกค่ะแม่” อนุชรีบบอก

“นุชไม่ต้องพูดเลย แม่บอกให้นุชตามไปดูแลพี่เขาให้ดี แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้” อาจารีดุลูกสาวจนคนถูกดุหน้าเสีย

นวลดาราเห็นอนุชถูกดุก็พยายามจะช่วยแก้สถานการณ์ จึงบอกกับอาจารีว่า “ถ้าคุณคิดว่าดิฉันมีส่วนทำให้คุณอานุภาพเป็นแบบนี้ ดิฉันก็จะไม่คบหาใกล้ชิดกับเขาอีกค่ะ”

“เธอรู้ว่าควรจะทำยังไงก็ดีแล้ว เพราะถ้าเธอไม่รู้ฉันก็จะสั่งห้ามไม่ให้เธอคบกับหลานชายฉันอยู่แล้ว”

ประณตวางหน้าไม่ถูก เขาจะห้ามภรรยาก็กลัวจะเป็นการไม่ให้เกียรติกัน แต่เขาก็ไม่อยากให้ภรรยาต่อว่านวลดารามากไปกว่านี้

นวลดาราดูออกว่าผู้ใหญ่ลำบากใจ เธอจึงขอตัวกลับพร้อมกับชลธี อนุชจะตามไปส่งแต่ก็ถูกเรียกตัวไว้ และนวลดาราก็ได้ยินเสียงอาจารีดุลูกสาวแว่วอยู่เบื้องหลัง ภูษิตอาสาไปส่งแต่นวลดาราบอกว่าเธอกับชลธีกลับกันเองจะสะดวกกว่า

 

“คุณนวลหลับไปเลยก็ได้นะครับ” ชลธีบอกเมื่อเขาขับเรือออกจากเกาะลอยมาได้ไม่นานเพราะรู้ว่านวลดารากลัวทะเลกลางคืน

“นวลไม่หลับหรอกพี่ชล นวลก็อยากจะฝึกตัวเองเหมือนกัน” นวลดาราบอกตัวเองทั้งที่ใจสั่น และมันยิ่งทำให้เธอคิดถึงคนที่เธอเคยกอดแขนเมื่อครั้งก่อน

“คุณแม่คุณนุชดูจะโกรธคุณนวลเอามากๆ เลยนะครับ” ชลธีเปรยขึ้นแล้วก็ออกความเห็นต่อไปว่า “ผมว่าเขาทำเกินไป”

“ก็ต้องเข้าใจเขานะพี่ชล เพราะนวลอยู่กับคุณอ้ายตอนที่เขาป่วย นวลก็มีส่วนผิดเหมือนกัน” นวลดาราบอก

“ผมไม่เห็นว่าคุณนวลจะผิดตรงไหน ทำไมต้องพูดจา มองกันหัวจรดเท้า เท้าจรดหัวแบบนั้น มันมีอะไรมากกว่านั้นใช่ไหมครับ”

นวลดาราไม่ได้ตอบคำถามเพราะเธอยังไม่พร้อมจะเล่าเรื่องความในใจของเธอและอาการเจ็บป่วยของอานุภาพให้ใครฟัง ชลธีจึงคิดได้ว่าเขาอาจพูดยุ่งเรื่องของเจ้านายมากเกินไป เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ขอโทษนะฮะ ผมพูดมากไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรเลยพี่ชล นวลแค่ ไม่รู้จะตอบว่ายังไงน่ะ…พี่ชล คงเป็นห่วงคุณนุชที่ถูกแม่เธอดุใช่ไหม”

“ครับ ผมสงสารเธอ เธอเป็นห่วงพี่ชายมาก แล้วยังมาโดนดุต่อหน้าเราอีกด้วย คงเสียใจแย่” ลูกน้องคนสนิทของนวลดาราเผยความในใจออกมาตรงๆ

 

เรือของชลธีเข้ามาจอดเทียบที่หน้าหาดเกาะเดือนดับเมื่อเวลาเกือบสามทุ่ม นวลดาราขอให้ชลธีกลับบ้านไปก่อน เพราะเธออยากคิดทบทวนอะไรๆ เงียบๆ คนเดียว เรื่องที่เธอได้รับรู้ในวันนี้มันหนักหนาและจู่โจมเข้ามาเร็วจนเกินจะรับไหว เมื่อตอนสายเธอกับอานุภาพยังคุยกันด้วยดี เธอเริ่มเปิดใจให้เขาแล้วแท้ๆ ไม่นึกว่าชั่วเวลาไม่กี่นาทีเรื่องราวจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้

บรรยากาศยามดึกของคืนพระจันทร์เต็มดวงบนเกาะเดือนดับที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเกาะที่พระจันทร์สวยที่สุดเกาะหนึ่งในจังหวัดไม่สวยชวนมองเหมือนที่ผ่านมา แสงสลัวจากคบไฟที่เสียบไว้เป็นจุดๆ เพื่อเป็นไฟทางให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเป็นแสงที่นวลดาราเคยคิดว่าสวย โรแมนติกที่สุด วันนี้กลับให้ความรู้สึกหม่นเศร้าอย่างบอกไม่ถูก

นวลดาราบอกตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเธอจึงรู้สึกเศร้าขนาดนี้ เศร้ามากกว่าเมื่ออกหักจากทัตพลเสียอีก เมื่อเธอเห็นอานุภาพเจ็บปวดเธอก็อยากรับความเจ็บปวดแทนเขา ถ้าความรู้สึกนี้คือความรัก รักครั้งนี้ของเธอก็ต้องจบลงอย่างไม่มีข้อแม้ บางทีอาจไม่ใช่แค่อานุภาพหรอกที่โดนสาปให้รักเธอไม่ได้ เธอเองก็ถูกสาปให้เป็นคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเสมอ

นวลดาราปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ความเศร้าจนพอใจ เมื่ออากาศเริ่มเย็นลงเธอก็คิดได้ว่าการมัวนั่งเศร้าไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น นวลดาราตัดใจลุกขึ้นและบอกตัวเองว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเธอก็ต้องเข้มแข็ง ไม่ให้ยายต้องเป็นห่วง

หญิงสาวหันหลังเดินขึ้นจากหาดได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกฉุดตัวไว้ แล้วมือลึกลับก็เอาผ้าขนหนูสีขาวโปะลงบนจมูกเธออย่างรวดเร็ว โชคดีที่นวลดาราไม่ได้สูดหายใจเข้าไปเต็มปอด สารเคมีกลิ่นฉุนนั้นจึงออกฤทธิ์ไม่ได้เต็มที่นัก

“พี่ทัต…” นวลดาราตกใจที่เห็นว่าอดีตคนรักคือคนทำร้ายเธอ “พี่จะทำอะไรนวล”

“ก็เมื่อขอเงินดีๆ ไม่ให้ พี่ก็ต้องเรียกค่าไถ่จากยายของนวลน่ะสิ มาช่วยจับมันเร็ว” ทัตพลร้องเรียกให้นายเจิมมาช่วย ขณะที่นวลดาราดิ้นรนขัดขืนเท่าที่จะมีเรี่ยวแรง

“น้าเจิมอย่าทำฉันเลยนะ” นวลดาราขอร้อง ขณะที่เริ่มมึนงงมากขึ้น เรี่ยวแรงก็น้อยลง

เมื่อได้ยินคำขอร้องของเจ้านายเก่า เจิมก็เกิดกลัวขึ้นมา

“อ้าว มาช่วยกันหน่อยสิวะ เอาไหมส่วนแบ่งน่ะ” ทัตพลตะคอกใส่เจิม มือก็พยายามฉุดรั้งนวลดาราที่ดิ้นรนขัดขืน

นวลดาราอาศัยจังหวะที่ทัตพลเผลอกัดแขนเขาจึงสลัดหลุดมาได้  แต่เธอก็มึนงงและหมดแรงล้มลง

“จะหนีไปไหน…” ทัตพลตามมาฉุดเธอแต่ก็สะดุดล้ม จึงทำได้เพียงรั้งขานวลดาราไว้

นวลดาราดิ้นรนสุดชีวิต เธอหันไปเห็นคบไฟที่หลุดออกจากแท่นเสียบตกลงบนพื้นเนื่องจากการต่อสู้ขัดขืนของเธอเมื่อครู่ หญิงสาวพยายามไขว่คว้ามือไปกำโคนคบไฟไว้จนได้ ทัตพลเห็นนวลดาราหมดเรี่ยวแรงก็ย่ามใจปล่อยขาเธอแล้วลุกขึ้นโผเขาหาหมายจะจับตัวเธอไว้ให้ได้ แต่นวลดาราที่รอจังหวะอยู่แล้วรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือ ยกคบไฟฟาดไปที่ใบหน้าของทัตพล

“โอ๊ะ โอ๊ย…” ทัตพลร้องโหยหวนเพราะเปลวไฟลุกไหม้ใบหน้า เจ็บปวดแสนสาหัส เขาปัดคบไฟให้พ้นตัว แล้วลงไปนอนดิ้นทุรนทุราย

นวลดารารวบรวมกำลังลุกวิ่งหนีขึ้นจากหาด เธอเดินโซซัดโซเซไปจนถึงหน้าเรือนรับแขกก็หมดแรงเกือบจะล้มลง นางชื่นหันมาเห็นเข้าก็ตกใจรีบเข้ามาประคองไว้

“คุณนวล ใครทำอะไรคุณ”

“พี่ทัต…” นวลดาราตอบได้แค่นั้นก็หมดสติไป

“ชล…ชล มาดูคุณนวลหน่อยเร็ว” นางชื่นเรียกหาลูกชายใจคอไม่ดี

 

ชลธีรีบพานวลดารามาที่เรือนหลังใหญ่ เมื่อคุณมัทนารู้ว่าหลานสาวถูกทำร้ายเธอก็ตามหมอมาตรวจ ผู้เป็นยายโล่งใจที่หลานเธอไม่ได้ถูกทัตพลล่วงเกิน เพียงแต่โดนยาสลบเท่านั้น

คุณมัทนาไม่มีท่าทีเจ็บแค้นทัตพล แต่ชลธีนั้นตรงข้ามกัน

“เจ็บใจจริงๆ ที่ผมตามไปก็ไม่เจอมันแล้ว ตอนผมกับคุณนวลมาถึงเกาะก็ไม่เห็นเรือมันที่หาด หรือมันจะเอาพุ่มไม้มาปิดพรางไว้ก็ไม่รู้ ผมรู้ว่ามันไม่ใช่คนดีอะไรนักหนา แต่ไม่คิดว่ามันจะเลวขนาดนี้เลยครับ” ชลธีบอกคุณมัทนาอย่างเจ็บแค้นแม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปหลายนาทีแล้วก็ตาม

“ไม่เป็นไรหรอกชล นวลไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” คุณมัทนาบอก

 

สายวันต่อมาเมื่อยาสลบหมดฤทธิ์นวลดาราก็ตื่นขึ้น คุณมัทนาดูแลหลานสาวไม่ห่าง เธอแปลกใจที่นวลดารามีท่าทีเปลี่ยนไป แรกทีเดียวเธอคิดว่าหลานคงอ่อนเพลียจากฤทธิ์ยาจึงดูซึมๆ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปผู้เป็นยายก็รู้สึกได้ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

นวลดารารับประทานอาหารได้เพียงเล็กน้อยก็ขอตัวไปพักผ่อน ผู้เป็นยายจึงเดินตามไปไถ่ถามความในใจของหลานสาวในห้องนอน

“นวล เป็นยังไงบ้างลูก ยังมึนงงอยู่หรือเปล่า” คุณมัทนาลงนั่งที่ปลายเท้าหลานสาวที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง

“ไม่เป็นไรแล้วละค่ะยาย” นวลดาราบอกพลางขยับลงมานั่งข้างๆ ยาย

“ยายไม่นึกเลยว่าทัตพลจะเป็นคนแบบนี้” คุณมัทนารำพึงรำพัน

“พี่ทัตไม่เหมือนพี่ทัตคนที่นวลรู้จักเลยค่ะยาย”

“เขาอาจจะเปลี่ยนไปนานแล้ว แต่ทั้งยายและหนูไม่ได้จับสังเกตก็ได้นะลูก”

“ยังไงคะยาย”

“หนูรู้ใช่ไหมว่าทัตพลตัดขาดพ่อแม่ของเขาตั้งแต่ที่พ่อเขากลายเป็นบุคคลล้มละลาย”

“นวลรู้แต่ว่าพี่ทัตไม่ได้ช่วยพ่อแม่เขารับผิดชอบหนี้ แต่นวลไม่รู้ว่าเขาตัดขาดกับพ่อแม่”

นวลดารารู้ว่าเมื่อสองปีก่อนพ่อของทัตพลดำเนินธุรกิจผิดพลาด มีหนี้สินล้นพ้นตัวจนถูกฟ้องล้มละลายและโดนยึดทรัพย์สินทั้งหมด ตอนนั้นทัตพลบอกเธอว่าเขาไม่มีกำลังจะช่วยเหลือใช้หนี้ให้พ่อแม่ได้ เธอเคยเห็นแม่ของทัตพลโทรศัพท์หาเขาแล้วเขาก็ตัดสาย เมื่อนวลดาราถาม ทัตพลก็บอกเธอว่าเขาไม่มีเงินช่วยพ่อแม่ใช้หนี้พ่อจึงตัดพ่อตัดลูกกับเขา ตอนนั้นนวลดารายังให้เงินเขาไปก้อนหนึ่งเพื่อไปให้พ่อเขาด้วย เธอเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าทัตพลหลอกเธอ

“ยายรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่ก็คิดว่าเป็นเรื่องในครอบครัวของเขาและคิดว่าถ้าให้เวลาสักหน่อยครอบครัวเขาอาจจะกลับมาดีกันได้ ถึงไม่ได้เล่าให้หนูฟัง ถ้ายายเล่าหนูอาจจะเอะใจ รู้ธาตุแท้ของเขาก่อนที่เขาจะทำร้ายหนูก็ได้”

“ไม่หรอกค่ะยาย ตอนนั้นถ้ายายบอก นวลคงไม่เชื่อ นวลเชื่อใจเขามาก ถ้าคุณอ้ายไม่เปิดโปงเขา นวลก็คงไม่รู้ว่าเขานอกใจนวล”

“เขานอกใจหนู ตั้งแต่เมื่อไหร่กันลูก”

นวลดาราจึงเล่าเรื่องที่อานุภาพช่วยแฉพฤติกรรมของทัตพลและเรื่องที่เธอบอกเลิกกับเขาก่อนที่เขาจะกลับมาทำร้ายเธอ

คุณมัทนาฟังหลานสาวเล่าเรื่องทั้งหมดแล้ว เธอไม่ได้ติดใจเรื่องของทัตพล แต่กลับติดใจในเรื่องความสัมพันธ์ของนวลดารากับอานุภาพ

“นวลเลิกเกลียดชังคุณอ้ายแล้วหรือลูก”

“ค่ะยาย นวลเกลียดเขาไม่ลงแล้ว” นวลดาราพูดแล้วหันไปกอดผู้เป็นยาย คุณมัทนาแปลกใจเพราะหลานสาวไม่เคยอ่อนไหวแบบนี้มาก่อนเลย

“ชลบอกยายว่าอาของคุณอ้ายห้ามไม่ให้หนูคบหากับเขา มันยังไงกัน หนูคบกับเขาแล้วหรือลูก”

นวลดาราตัดสินใจบอกความรู้สึกที่เธอมีต่ออานุภาพให้ยายฟัง รวมทั้งเรื่องอาการเจ็บปวดอย่างประหลาดของอานุภาพด้วย

“หนูรักเขาจริงๆ ใช่ไหมลูก นวล” คุณมัทนาถามหลานสาวเมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดจบลง

“นวลก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มตอนไหน อาจจะเพราะเขาช่วยชีวิตนวล เขาทำให้นวลเห็นว่าตัวเองร้ายกาจ เกลียดเขาทั้งๆ ที่เขาหวังดี พอเขาเจ็บนวลก็อยากเจ็บแทนเขา มันคือความรักใช่ไหมคะยาย นวลไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับพี่ทัตเลย”

“หนูผูกพันกับทัตพล แต่หนูรักคุณอ้าย” ผู้เป็นยายบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเมตตา

“แต่มันคงไม่มีความหมายอะไรแล้วละค่ะยาย ถ้ารักกันแล้วเขาทุกข์ทรมาน นวลขอจบแค่นี้ดีกว่า”

“นวลคิดถูกแล้วละลูก ถ้ารักแล้วทุกข์ ก็อย่าผูกเวรผูกกรรมกันเลย” ผู้เป็นยายบอกพลางเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาจากหางตาของหลานสาวแล้วกอดรับขวัญเนิ่นนาน



Don`t copy text!