ศรีนาง ตอนที่ 10 : รถไฟ

ศรีนาง ตอนที่ 10 : รถไฟ

โดย : เมษาริน

Loading

ศรีนาง โดย เมษาริน นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับชะตาชีวิตของ ศรีนาง สาวชาวบ้านผู้อาภัพเพราะบิดามารดาจากไปด้วยโรคร้าย และนั่นเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเป็นหมอ แต่เธอขาดก็คือโอกาสดีๆ นั้น กระทั่งโชคชะตาชักนำให้เธอช่วยชีวิตนายทหารหนุ่มชาวกรุง ผู้ทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

 

ดวงตากลมโตใต้ขนตางอนยาวอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด คนมองสัมผัสได้ถึงความเคว้งคว้างอ้างว้างของคนข้างๆ รถไฟเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาอย่างช้าๆ ด้านนอกเป็นท้องฟ้าหน้าร้อนที่เคยสดใส แต่ตอนนี้กลับหม่นหมองมัวซัว

“กลัวหรือ” สารินเอ่ยถามสาวน้อยจากที่นั่งติดกัน

ศรีนางพยักหน้าช้าๆ สายตาที่ใช้มองชายหนุ่มเต็มไปด้วยความกังวล สับสน ลังเลและไม่มั่นใจ

“อะไรที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ” นายทหารหนุ่มส่งยิ้มให้กำลังใจ “เจ็บไหม แก้มน้องบวมมากเลย” สารินถาม ยังรู้สึกผิดที่ช่วยไม่ทัน

“เจ็บตอนพูดค่ะ” ศรีนางตอบ ใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆ ที่ข้างแก้ม จนถึงตอนนี้ในหูยังอื้อไม่หาย

“งั้นไม่ต้องพูด”

“ก็พี่รินถาม” สาวน้อยทำปากยื่น สะบัดหน้าใส่สารินแล้วมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ภาพแปลกตากับประสบการณ์นั่งรถไฟครั้งแรกทำศรีนางตื่นเต้น ความเยาว์วัยทำให้เธอจดจ่อกับความเศร้าเสียใจไม่นาน ครู่เดียวก็กระตือรือร้นเมื่อรถไฟจอดเทียบสถานีใหญ่ “มีของขายด้วย”

“น้องอยากกินอะไร โอเลี้ยงกับผัดไทยดีไหม”

ศรีนางมองแม่ค้า บ้างก็หิ้วน้ำในถุงพลาสติกมัดยาง บ้างก็แบกถาด บ้างก็หิ้วตะกร้าเดินขวักไขว่ที่นอกหน้าต่างจากหัวขบวนจนถึงท้ายขบวน

“นุ้ยไม่หิวค่ะ” สาวน้อยโกหก เธอไม่อยากรบกวนสาริน เขามีเงินไม่มาก ค่าตั๋วโดยสารสองคนไม่เกินกำลังชายหนุ่มก็จริง แต่เขาอาจมีแค่นั้นก็ได้

“เรื่องกินไม่ต้องประหยัด” สารินยิ้มน้อยๆ รู้เท่าทันความคิดเด็กสาว “ก็บอกแล้วว่าดูแลได้ พี่ไม่ให้นุ้ยกินน้ำข้าวหรอกน่า”

“เกรงใจพี่ริน” ศรีนางพูดเสียงเบา แต่เมื่อพ่อค้าแม่ค้าเสนอขายอาหาร เด็กสาวก็มองสารินตาละห้อย

“ไม่ต้องเกรงใจ”

ศรีนางกระมิดกระเมี้ยนเล็กน้อย อ้อมแอ้มบอกความต้องการเสียงเบา “นุ้ยอยากกินผัดหมี่กับชาเย็นค่ะ”

ฝ่ายคนจ่ายเงินหัวเราะ เด็กก็คือเด็ก

“เอาผัดไทยสามห่อครับ” สารินบอกแม่ค้า ชายหนุ่มไม่ได้เรียก ‘ผัดหมี่’ อย่างคนในพื้นที่ เพราะคุ้นชินกับคำในภาษากลางมากกว่า “ให้น้องสองห่อ…กินเยอะๆ จะได้โตไวๆ”

ศรีนางไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า เหตุการณ์ตอนนั้นวุ่นวายชุลมุนจนลืมหิว กระทั่งเปิดผัดไทยที่ห่อด้วยใบตอง เธอบีบมะนาวซีกเล็กลงบนเส้นหมี่ กลิ่นหอมเฉพาะตัวทำน้ำลายสอ สาวน้อยเพิ่งตระหนักว่าหิวจนมือไม้สั่น

“หอมจัง น่ากินมากเลยพี่ริน” สาวน้อยเอาแต่จ้องไม่กินสักทีจนสารินต้องสั่ง

“กินได้แล้ว เดี๋ยวเส้นจะเย็น ไม่อร่อยนะ”

ศรีนางยิ้มหวานให้คนข้างๆ มีความสุขกับอาหารง่ายๆ รสชาติถูกปาก หลังท้องอิ่ม สีหน้าสาวน้อยสดใสขึ้นมาก ถามนั่นถามนี่ทั้งที่ก่อนหน้านี้บ่นว่าเจ็บปาก เจ็บแก้ม “นี่เราถึงไหนแล้ว นุ้ยอ่านป้ายสถานีไม่ทัน”

“ไชยาครับ”

“แล้วสถานีต่อไปเป็นอะไรคะ”

“อืม พี่ก็จำไม่ได้ แต่ถ้าสถานีชุมทางใหญ่ๆ ก็น่าจะละแม หลังสวน ชุมพร ประจวบฯ หัวหิน” สารินเล่าให้สาวน้อยตาโตฟัง “สถานีรถไฟที่หัวหินสวยมาก เป็นอาคารไม้สีครีมตัดสีแดง สร้างมานานแล้ว ยังอยู่ในสภาพดี พี่ชอบ ยกให้เป็นสถานีรถไฟที่สวยที่สุดในประเทศ อ้อ…มีพลับพลาพระมงกุฎเกล้าฯ ที่รื้อมาสร้างใหม่ในสถานีด้วยนะ”

“อยากเห็นจัง อีกนานไหมพี่ริน กว่าจะถึงหัวหิน” ศรีนางถามพลางชะเง้อชะแง้ออกนอกหน้าต่าง

“นานครับ อีกหลายชั่วโมง น่าจะถึงหัวหินตอนดึกๆ นั่นแหละ นุ้ยหลับไปสามรอบก็ยังไม่ถึง”

“จริงหรือคะ” สาวน้อยตื่นเต้นกับการนั่งรถไฟครั้งแรก และเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางพลาดประสบการณ์แปลกใหม่แบบนี้

“จริงครับ จังหวัดประจวบฯ ยาวมาก นี่เรายังไม่เข้าชุมพรเลยนะ” สารินเห็นศรีนางนิ่วหน้าก่อนเอามือกุมแก้ม “เจ็บละสิ ก็น้องพูดไม่หยุดเลย”

“นุ้ยอยากรู้นี่ ถามอะไรพี่รินก็ตอบได้หมด” สาวน้อยฝืนยิ้มให้ชายหนุ่ม แก้มเจ็บตึง บวมเป่ง ส่วนกกหูยังรู้สึกชาๆ บางครั้งก็ได้ยินเสียง ‘วิ้ง’ อยู่ข้างใน

แน่นอนว่ากิริยาเหล่านั้นไม่พ้นความห่วงใยใส่ใจของสาริน “กินยาหรือยัง”

ศรีนางส่ายหน้า เมื่อเช้าเธอตกใจจนลืมเจ็บ ส่วนเหตุการณ์หลังจากนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นสารินที่ออกหน้ารับแทน ทั้งยังช่วยจัดการเรื่องยุ่งยากแทนเธอหลายอย่าง

“เดี๋ยวพี่มา”

สาวน้อยมองตามร่างสูงโปร่ง ผมสารินเริ่มยาวไม่ได้สั้นเกรียนติดหนังศีรษะเหมือนเมื่อแรกเจอ เธอรู้ว่าเขาเป็นทหารที่นิสัยใจคอน่าคบหา กิริยามารยาทก็เรียบร้อย เผลอคิดและจินตนาการถึงตอนสวมเครื่องแบบ…เชื่อว่าคงน่ามองไม่น้อย

สารินหายไปหลายนาทียังไม่กลับมา ศรีนางที่กินผัดหมี่ไชยาสองห่อกับชาเย็นถุงใหญ่เริ่มง่วง เธอพิงศีรษะกับขอบหน้าต่าง หลับตาพลางคิดทบทวนถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า…

 

‘ไอ้ริน มึงมันคนเปรต ไม่โร้บุญคุณ ไม่น่ารอด เ_ดแม่เ_ด’ ศรีนางจำได้ว่ายายจันทร์จิกหัวด่าสารินด้วยถ้อยคำหยาบคายรุนแรง โชคดีที่บางคำชายหนุ่มก็ฟังไม่รู้เรื่อง ‘พรือไม่ตายโหงลงเปลว (1) ตั้งแต่งูขบ’

‘ไปเสียเถอะคุณริน’ ตาสายพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ มองสารินกับศรีนางสลับกันด้วยแววตาบางอย่าง ‘คุณบอกว่ารักนุ้ย หวังว่าคุณจะดูแลหลานสาวผมได้’

‘ครับตาสาย ผมสัญญาว่าจะดูแลน้องนุ้ยอย่างดีที่สุด ไม่ให้น้องต้องลำบาก’

ง่ายๆ เพียงนั้น บางครั้งบางทีสถานการณ์ก็บีบคั้นและเหลือทางให้เลือกไม่มากนัก ศรีนางจำได้ว่าก่อนออกจากบ้านที่ริมคลองอิปัน เธอก้มกราบเท้ายายจันทร์ทั้งเพื่อขอขมาและขอลา แต่อีกฝ่ายไม่รับไหว้ สะบัดตัวแล้วเดินหายขึ้นเรือน พร้อมผรุสวาทด้วยถ้อยคำรุนแรงตลอดเวลา ด้วยเพราะโกรธ ขายหน้า และผิดแผน

ส่วนตาสายลูบศีรษะหลานสาวเบาๆ พลางกระซิบกระซาบให้ได้ยินเพียงสองคน ‘กล้าเกินผู้สาว ถ้าเลือกแบบนี้ก็ต้องอดทน ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่ายอมแพ้’

‘ขอโทษจ้ะตา แต่นุ้ยไม่มีทางเลือกจริงๆ ค่ะ’

‘รักคุณรินหรือเปล่า’

ศรีนางไม่แปลกใจกับคำถาม หญิงสาวเหลือบมองสารินซึ่งยืนห่างออกไปหลายก้าว ‘พี่รินเป็นคนดี แต่นุ้ยไม่…ไม่ได้รักแบบนั้นค่ะตา’

‘คุณรินล่ะ รักนุ้ยไหม’

ศรีนางส่ายหน้าดิก บอกตาสายอย่างด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ ‘ไม่มีทางค่ะ พี่รินช่วยนุ้ยเพราะนุ้ยช่วยพี่ริน พี่รินบอกว่านุ้ยยังเด็ก อีกอย่าง…นุ้ยไม่มีอะไรเลย ใครที่ไหนจะมารักมาชอบ พี่รินเอ็นดูนุ้ยเหมือนน้องสาว ส่วนนุ้ยก็ชอบพี่รินอย่างพี่ชาย’

ตาสายรับฟังอย่างสงบ ไม่ออกความคิดเห็นเรื่องความสัมพันธ์ของหนุ่มๆ สาวๆ ‘ตาไม่มีอะไรจะให้ ตารู้ว่านุ้ยเก่ง คุณรินเป็นคนดี อย่าทำให้เขาเสียใจ’

‘อ้าว ทำไมตาพูดแบบนี้’ หลานสาวท้วง ‘ตาต้องสั่งพี่รินสิ บอกเขาว่าห้ามลืมคำสัญญา อย่าทำให้นุ้ยเสียใจ’

‘คุณรินไม่ทำหรอก’ ตาสายเอ่ยอย่างมั่นใจ ชายชราถอนหายใจ เปรยอีกประโยค ราวล่วงรู้อนาคต ‘แต่นุ้ยไม่แน่’

ตอนนั้นศรีนางไม่เข้าใจคำพูดของตาสาย จนกระทั่งถึงเวลาเดินทาง เด็กสาวไม่ได้ร่ำไรหรืออาลัยอาวรณ์ เรือนไม้หลังใหญ่ริมคลองเป็นที่พักพิงให้เธอกับแม่เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ความผูกพันกับสถานที่มีอย่างเดียวคือแม่เกิดและตายที่นี่ นอกจากตาสายแล้ว คนอื่นบนเรือนศรีนางไม่แน่ใจ…

 

“น้องนุ้ย”

“คะ” ศรีนางสะดุ้ง ดึงศีรษะออกจากขอบหน้าต่าง กะพริบตาถี่ๆ แล้วมองไปนอกหน้าต่างที่ตอนนี้มืดสนิท ได้ยินเพียงเสียงล้อบดกับรางเหล็ก “ถึงแล้วเหรอพี่ริน”

“นี่น้องหลับแล้วฝันอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มถามพลางหัวเราะเบาๆ “ยังไม่ถึงละแมเลยครับ อันที่จริงเพิ่งผ่านไปสิบนาที”

“สิบนาที?”

“อืม ไม่ใช่สิบชั่วโมง” สารินยืนยันกับสาวน้อยตาโต

“เมื่อยจัง” ศรีนางบิดตัว บีบแขน บีบขา ด้วยรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เธอแยกไม่ออกว่าปวดหัวหรือปวดแก้ม ในคอเริ่มระคาย ลมหายใจก็ร้อนกว่าปกติ

“กินยาก่อน พี่ไปขอยาแก้ปวดมาให้” สารินยื่นพาราเซตามอลกับน้ำเปล่าให้สาวน้อยแก้มบวม ชายหนุ่มไม่สบายใจเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียว ทำท่าจะวางมือบนหน้าผากมน แต่ก็ดึงกลับเพราะความลังเล

“ขอบคุณค่ะ” ศรีนางพึมพำ เอามือกุมแก้มพลางนิ่วหน้า

“น้องหน้าซีดมาก ขอโทษนะ” สิ้นคำ สารินก็วางหลังมือบนหน้าผากและข้างแก้มศรีนางอย่างสุภาพ “ตัวร้อน แต่กินยาแล้ว รออีกสักพักน่าจะดีขึ้น”

“ค่ะ นุ้ยไม่อยากป่วย” สาวน้อยหลับตาอีกครั้ง เธอตื่นเต้นที่ได้นั่งรถไฟ อยากเห็นทิวทัศน์ข้างทาง อยากเห็นสถานีรถไฟ อยากเห็นสถานีหัวหิน ขณะที่กำลังงัวเงียจวนหลับ ศรีนางคว้าแขนสารินมาเขย่าเหมือนเด็กเล็กๆ “ถึงหัวหินพี่รินต้องปลุกนุ้ยนะ”

คนโตกว่าส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ครับ ถึงแล้วพี่จะปลุก น้องหลับเถอะ พักสักหน่อย ตื่นมาคงหายปวดหัว ปวดตัว”

ศรีนางนั่งกอดกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็ก ศีรษะพิงขอบหน้าต่าง ผล็อยหลับไม่กี่นาทีหลังกินยา ส่วนสารินหลับๆ ตื่นๆ ชายหนุ่มถอนหายใจเมื่อขบวนรถไฟจอดรอที่สถานีหลังสวนพักใหญ่ ถือวิสาสะวางมือสัมผัสผิวศรีนางเพื่อวัดอุณหภูมิ

“ตัวรุมๆ ไม่ร้อนเหมือนเมื่อกี้”

“พี่ริน ถึงไหนแล้ว” ศรีนางหลับตาถาม ตอนนี้เธอไม่รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว แต่ยังปวดหัว ปวดแก้ม และยังคงระคายคอ

“หลังสวนครับ”

“นานจัง ไกลจัง” คนไม่เคยนั่งรถนานๆ โอดครวญ

เหตุการณ์ก็เป็นอย่างนั้นอีกค่อนคืน คือหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคู่หลับสนิทตอนถึงหัวหิน ศรีนางจึงอดเห็นสถานีที่อาคารทำจากไม้ ทั้งยังพลาดชมพลับพลาพระมงกุฎเกล้าฯ อย่างน่าเสียดาย

 

ขบวนรถไฟสายใต้มาถึงสถานีหัวลำโพงตอนเช้าตรู่ สองมือศรีนางเย็นเฉียบ เธอรู้สึกกังวลระคนหวาดกลัว หญิงสาวบีบมือตัวเองแน่น สายตาจับจองผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ไปมา

ที่นี่คือหัวลำโพง…

ที่นี่คือกรุงเทพมหานคร…

“ถึงแล้ว” สารินสะพายเป้ คว้ากระเป๋าสัมภาระของศรีนางมาถือไว้เอง รอว่าเมื่อไรสาวน้อยจะลุกจากที่นั่ง ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าเธอตื่นเต้นกับภาพบ้านเมืองแปลกตา แต่เห็นมือที่ประสานกันแน่น รวมถึงกิริยาก้มหน้าจนปลายคางชิดอก ทำสารินเข้าใจทันที

คนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ทรุดนั่งตรงข้ามภรรยาในนาม วางมือทับบนหลังมือเล็ก สาวน้อยเงยหน้าสบตา ใจสารินอ่อนยวบเมื่อเห็นแววตาว้าเหว่ อ้างว้างราวเด็กหลงทาง

“นุ้ยไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวล พี่สัญญาว่าจะดูแลน้องให้ดีที่สุด แรกๆ น้องต้องปรับตัวบ้างเป็นเรื่องปกติ นุ้ยเก่ง พี่เชื่อว่าน้องทำได้”

ศรีนางยังคงหวาดหวั่น แต่เพราะเชื่อใจสารินเธอจึงฝืนส่งยิ้มให้ชายหนุ่มสบายใจ

“ตัวไม่ร้อนแล้ว” สารินเพียงแตะข้างแก้มนวลเบาๆ อย่างสุภาพแล้วดึงมือกลับ “ลงจากรถไฟก่อนดีกว่า มีหลายอย่างที่นุ้ยต้องรู้ก่อนเข้าบ้านพี่”

เมื่อวาน ศรีนางไม่คิดอะไรมากกว่าเอาตัวเองให้รอดจากสถานการณ์ฉุกละหุก ทว่าเมื่อทบทวนอย่างจริงจังก็พบว่าปมที่ผูกไว้เริ่มยุ่งเหยิง เป็นเธอที่ดึงสารินเข้ามาเกี่ยว ทำให้เรื่องราวลุกลามมาถึงจุดนี้…

“พ่อพี่เป็นทหาร” สองหนุ่มสาวเลือกม้านั่งบริเวณสถานีระหว่างรอให้เช้า อันที่จริงเริ่มมีรถสาธารณะให้บริการ แต่สารินไม่อยากไปถึงบ้านเร็วเกินไป เขารู้จังหวะเวลา และรู้ตารางกิจวัตรประจำวันของทุกคนดี “แม่แท้ๆ ของพี่ เสียไปนานแล้ว ตั้งแต่พี่ไม่กี่ขวบ”

“เสียใจด้วยค่ะ” ศรีนางเข้าใจความรู้สึกนั้น เพราะเธอเพิ่งเสียแม่เมื่อปีกลาย

“พ่อพี่แต่งงานใหม่กับคุณน้าลออ…คุณพ่อคุณน้าเป็นตำรวจ” สารินเว้นจังหวะ เรียบเรียงความคิด พยายามหาคำที่เหมาะสมมาอธิบายแม่เลี้ยง แต่เพราะคิดคำดีๆ ไม่ออก ชายหนุ่มจึงเลี่ยงไปเล่าถึงน้องๆ ทั้งสามแทน “คุณพ่อกับคุณน้ามีลูกด้วยกันสามคน คนโตชื่อลัดดากำลังเรียนมหาวิทยาลัย คนกลางชื่อเลิศพงศ์อยู่มอหก ส่วนคนเล็กชื่อลาวัลย์อยู่มอห้า”

“มีพี่น้องหลายคน คงสนุก ไม่เหงา ไม่เหมือนนุ้ย…ลูกคนเดียว”

สารินยิ้มฝืดๆ เมื่อนึกถึงครอบครัวใหม่ของบิดา “พี่เพิ่งเข้ารับราชการเมื่อปีที่แล้ว ความจริงหน่วยที่พี่สังกัดมีบ้านพักสวัสดิการ แต่คุณพ่ออยากให้พี่อยู่บ้าน ไปทำงานพร้อมท่าน พี่ก็เลยต้องอยู่ที่บ้าน” เป็นอีกเรื่องที่สารินไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ

ศรีนางรับรู้ว่ามีบางอย่างในคำบอกเล่าชายหนุ่ม แต่เธอไม่ได้เอ่ยถาม สังหรณ์ใจว่าคนที่มีแม่เลี้ยงกับน้องสาวน้องชายอีกสามคน…ชีวิตคงไม่สงบนัก

“มีอีกเรื่องที่น้องนุ้ยต้องรู้” สารินหลับตา ผ่อนลมหายใจช้าๆ คิดไม่ออกว่าควรเริ่มอย่างไรดี กลัวที่สุดคือกลัวศรีนางเข้าใจผิด

“อะไรหรือคะ” ศรีนางถามเมื่อเห็นชายหนุ่มนิ่งไปนาน

“คือพี่…” สารินอึกอัก แต่ระลึกได้ว่าไม่ควรปิดบังคนที่มีฐานะเป็นภรรยา แม้จะเป็นเพียงความสัมพันธ์กำมะลอ “คือคุณพ่อกับคุณน้าลออ…เอ่อ…หาคู่หมั้นคู่หมายไว้ให้พี่”

หัวสมองศรีนางมึนงงชั่วขณะ แม้จะแปลกที่แปลกทางแต่ไม่เท่าแปลกใจ

บรรยากาศระหว่างสองหนุ่มสาวเงียบงัน เสียงจอกแจกจอแจรอบกายก็พลันหยุดนิ่ง เนิ่นนานจนสารินกระสับกระส่าย เอ่ยทำลายความเงียบที่ชวนอึดอัด

“ขอโทษที่พี่ไม่เคยบอกน้องก่อนหน้านี้” ชายหนุ่มใจไม่ดีเมื่อเห็นคนข้างๆ ไม่พูดไม่จา ไม่ถามสักคำ “พี่เชื่อฟังคุณพ่อมาตลอดชีวิต แต่ให้แต่งงานกับใครไม่รู้ พี่…พี่ไม่ใช่หุ่นยนต์”

“สวยไหม”

นี่ไม่ใช่สิ่งที่สารินคาดคิด “สวยหรือ…ใครครับ”

“คู่หมั้นพี่ริน”

“พี่ยังไม่เคยเจอ ผู้ใหญ่กำลังคุยกัน”

“ถ้าสวย…พี่รินไม่เสียดายหรือ” ศรีนางถามเสียงเรียบ สำหรับเธอไม่มีความรู้สึกอื่นใดเจือปน คิดไปเองว่าในสายตาของสารินเธอก็เหมือนน้องสาวอีกคนของเขา

สารินใช้เวลาคิดไม่นาน ชายหนุ่มส่ายหน้า สบตากลมโตอย่างมีความหมาย “ไม่เสียดายและไม่เสียใจ พี่คงชอบใครไม่ได้แล้ว”

“ทำไมคะ” สาวน้อยไม่เข้าใจในสายตาและคำพูดของอีกฝ่าย

“เพราะว่าพี่มีภรรยาแล้วครับ”

หลายอึดใจกว่าศรีนางจะเข้าใจว่าสารินหมายถึงเธอ สาวน้อยหัวเราะคิกคัก เห็นเป็นเรื่องขบขันที่ชายหนุ่มจริงจังกับความสัมพันธ์ปลอมๆ

“นุ้ยโกรธพี่หรือเปล่า”

“ไม่ค่ะ นุ้ยเข้าใจพี่ริน” ศรีนางยิ้มหวานให้สาริน “เราทั้งคู่ได้ผลประโยชน์ นุ้ยไม่อยากแต่งงานกับพี่สันต์ พี่รินก็ไม่อยากหมั้น”

สารินยิ้มน้อยๆ แล้วค่อยๆ ถอดสร้อยคอ จากนั้นหยิบแหวนทองคำขาวออกมา “แหวนคุณแม่พี่ ของเดิมมีเพชรล้อมทับทิม แต่พี่ให้ช่างถอดเก็บไว้ พกติดตัวจะได้ไม่สะดุดตา” สารินคว้ามือซ้ายของสาวน้อยมากุม ก่อนค่อยๆ สวมแหวนใส่นิ้วนางได้อย่างพอดิบพอดี “ห้ามถอด ถ้าใครถามก็ตอบว่าเป็นแหวนแต่งงาน นุ้ยเป็นภรรยาพี่ น้องมีสามีแล้ว”

ศรีนางลูบคลำแหวนบนนิ้ว สัมผัสนั้นเรียบลื่นและพอดีกับนิ้ว รู้สึกแปลกๆ กับคำพูดสาริน ความฝันของเธอไม่ใช่การมีสามีตอนอายุสิบแปด แต่บางอย่างก็เกินควบคุม

“พี่รินไม่ลืมใช่ไหมว่านุ้ยอยากเรียน” ศรีนางกัดริมฝีปาก รู้สึกผิดที่เห็นแก่ตัว

“ครับ”

“นุ้ยต้องสอบปีหน้า ระหว่างนี้นุ้ยจะอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบ…ไม่ว่าจะสอบติดหรือไม่ติดนุ้ยขอรบกวนพี่รินแค่ปีเดียวค่ะ”

“ปีเดียว? คืออะไร พี่ไม่เข้าใจ”

“ก็เป็นผัวเมียกันปีเดียว ถ้าสอบติดนุ้ยจะอยู่หอพักมหาวิทยาลัยค่ะ ถ้าไม่ติดจะเอาวุฒิมอหกไปสมัครงาน นุ้ยไม่กล้ารบกวนพี่รินมากกว่านี้ค่ะ”

สารินไม่ชอบใจ ชายหนุ่มไม่ตอบรับและไม่ได้ขัดขวางความคิดของศรีนาง หนึ่งปี…เวลาสามร้อยกว่าวันต่อจากนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ รอให้ถึงตอนนั้นค่อยคิดค่อยตัดสินใจอีกที

“เราไม่ได้เป็นผัวเมียกันจริงๆ สักหน่อย” ศรีนางพูดทิ้งท้าย

 

เชิงอรรถ :

(1) เปลว หมายถึง ป่าช้า

 



Don`t copy text!