ศรีนาง ตอนที่ 6 : นกขมิ้น

ศรีนาง ตอนที่ 6 : นกขมิ้น

โดย : เมษาริน

Loading

ศรีนาง โดย เมษาริน นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับชะตาชีวิตของ ศรีนาง สาวชาวบ้านผู้อาภัพเพราะบิดามารดาจากไปด้วยโรคร้าย และนั่นเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเป็นหมอ แต่เธอขาดก็คือโอกาสดีๆ นั้น กระทั่งโชคชะตาชักนำให้เธอช่วยชีวิตนายทหารหนุ่มชาวกรุง ผู้ทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เสียงเปรี้ยงดังสนั่นหวั่นไหวจนแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น ศรีนางซึ่งกำลังนอนหลับสนิทด้วยอากาศเย็นสบายสะดุ้งเฮือก กลางอกเต้นถี่กระชั้นด้วยความตกใจ เกือบนาทีกว่าสาวน้อยจะเรียกสติกลับมาได้ เธอมองรอบกาย ได้ยินเสียงฟ้าร้องดังใกล้หู ปลุกทุกคนจากนิทรารมณ์

ลมฝนพัดโหมกระหน่ำ ฟ้าแลบแปล๊บๆ ตามด้วยเสียงครืนโครมดังอยู่ไม่ไกล ศรีนางตกใจจนเผลอกอดตัวเองพลางหลับตาปี๋ อึดใจถัดมาความเคลื่อนไหวด้านนอกพลันหยุดนิ่ง ลม ฝน แสงวาบ กระทั่งเสียงครืนสงบเงียบ ราวกับว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ปกติ ศรีนางทำท่าจะล้มตัวนอนอีกครั้ง ทว่าขณะนั้นเองเสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้นเสียก่อน

ด้านนอก เริ่มได้ยินเสียงเดิน เสียงพูดคุย ศรีนางแง้มประตู มองไปทางเรือนใหญ่ริมคลอง แสงตะเกียงสว่างวาบเป็นจุดเล็กๆ ที่ท่าน้ำใครบางคนพายเรือผ่านไปมา ทั้งคนหาปลา คนยิงกุ้ง รวมถึงชาวบ้านริมคลองในละแวกใกล้เคียงเริ่มส่งเสียงถามไถ่เซ็งแซ่ ศรีนางจับความได้แว่วๆ เพียงว่า…

“ฟ้าผ่าที่พาน เสียงว่ามีคนตาย”

ความสงสัยทำให้สาวน้อยเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนจากเสื้อแขนกุดใส่นอนเป็นเสื้อยืดตัวใหญ่ ท่อนล่างเป็นผ้าถุง ศรีนางปลดปมผ้า เปลี่ยนไปนุ่งใหม่โดยพับชายพกให้สูงอีกหน่อย จนชายผ้าถุงสั้นเสมอเข่า รีบร้อนออกจากเรือนข้าว จ้ำพรวดๆ ไปยังสะพานไม้

บนสะพานข้ามคลองอิปันมีชาวบ้านมุงดูรอยไฟไหม้ ไม้หลายซี่ถูกเผาเกรียม แต่ยังใช้งานได้ ส่วนด้านล่างที่ริมตลิ่งใกล้กอไผ่สีสุก มีเสียงโวยวายจับใจความไม่ได้

“มีคนอยู่ตรงนี้” คนหาปลาตะโกนจากบนเรือ จากนั้นคนบนสะพานก็รีบร้อนลงไปก่อนส่งเสียงขอความช่วยเหลือเมื่อพบร่างที่โดนไฟไหม้ใบหน้าจนดูแทบไม่ออก

“ยังไม่ตายๆ พาไปโรง’บาลก่อน”

“ลูกบ่าวกำนันนิ” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเค้าโครงหน้าและเครื่องแต่งกายมีราคากว่าชาวบ้านทั่วไป

“น่าว่าถูกฟ้าผ่า แผลไฟลวกเพ”

“ไม่ตายที บุญราสา”

เมื่อรู้ว่าคนเจ็บเป็นใคร ชาวบ้านที่เป็นผู้ชายวัยฉกรรจ์สองสามคนช่วยกันหามร่างไร้สติของคมสันต์ขึ้นมาบนถนน ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันที ทั้งคนที่ไปแจ้งข่าว คนที่หารถพาลูกชายกำนันไปหาหมอ และชาวบ้านที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุที่ทำให้โดนฟ้าผ่า

“ไม่โร้เณรสันต์มันไปลบหลู่ไหร หมอสายทักว่าให้บวช แต่กำนันแกไม่เชื่อ”

“ไฟคลอกหนัก มึงว่ารอดม่าย”

ศรีนางฟังและสังเกตเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ด้วยดวงตาว่างเปล่า ในใจนึกถึงคำเตือนของตาสาย เธอตอบตัวเองไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร…ดีใจ เสียใจ หรือโล่งใจ

ครู่ใหญ่ ฝูงชนที่มามุงเริ่มสลายตัวเมื่อคมสันต์ถูกนำตัวไปส่งโรงพยาบาล ฝนซา เมฆหนาจางหาย จันทร์เกือบเต็มดวงทอแสงอ่อนให้เห็นอีกครั้งยามใกล้รุ่ง ภาพเงาของวัตถุสีเหลืองสะท้อนกับแผ่นน้ำในคลองอิปัน ชาวบ้านเริ่มหุงหาอาหาร เสียงไม้กวาดทางมะพร้าวลากบนดินเปียกๆ ทำให้ศรีนางรู้ว่าแม่เฒ่าตื่นแล้ว และเธอมีหน้าที่ต้องเข้าครัว ยายจันทร์ยังไม่รู้ว่าชายที่โดนฟ้าผ่าเกือบตายคือคมสันต์ ศรีนางนึกไม่ออกว่าผู้ใหญ่จะทำอย่างไรต่อไป แต่สำหรับเธอนั้น…พอกันที

ขณะหันหลังกลับบ้าน ใครบางคนร้องเรียกศรีนางจากในบนเรือที่ลอยอยู่ริมตลิ่งข้างกอไผ่สีสุก

“ลูกนุ้ย” ตาศักดิ์ร้องทักศรีนาง “มาเอากุ้งก่อน ตายิงได้หลายตัว”

ตอนแรกศรีนางลังเล แต่จำได้ว่าตาสายชอบกินกุ้ง ส่วนตาศักดิ์ก็เป็นคนมีน้ำใจ เด็กสาวจึงลงท่าน้ำซึ่งอยู่ใต้สะพาน แต่เพราะมีเศษไม้ที่โดนฟ้าผ่าทำให้ศรีนางต้องเดินอ้อมไปอีกทางคือบริเวณกอไผ่รกรื้อ

ในจังหวะที่แสงจันทร์นวลถูกแทนที่ด้วยแสงอบอุ่นจากดวงตะวัน ฟ้าวันใหม่หลังฝนตกลงมาห่าใหญ่ชุ่มฉ่ำและเปียกแฉะ ศรีนางไม่ชอบความรู้สึกที่ยอดหญ้าเปียกๆ เสียดสีข้อเท้า เธอจึงเดินกระย่องกระแย่งตามรอยลู่ของหญ้าที่เหมือนโดนอะไรลากทับ ความเป็นคนช่างสังเกตและขี้สงสัย ทำให้เด็กสาวเดินตามรอยจนถึงริมตลิ่งที่เต็มไปด้วยเศษไม้ไผ่หักล้มและใบไผ่แห้งสีน้ำตาลไหม้

ในแสงสลัวระหว่างกลางคืนกับกลางวัน อะไรบางอย่างขาวซีดปรากฏท่ามกลางเศษใบไม้ เมื่อมองอย่างพินิจพิจารณาศรีนางร้อง ‘ว้าย’ คำเดียว ผละถอยหลังสองสามก้าวเมื่อเห็นปลายเท้าซีดเซียวใต้กางเกงสีเข้มชัดเจน เธอสูดหายใจเข้าลึก เพ่งมองผ่านแสงสลัว พบว่ามีใครบางคนอยู่ในกอไผ่

“ตาศักดิ์ ใครไม่รู้อยู่ตรงนี้”

ชายหากุ้งรีบร้อนลงจากเรือ ชะโงกมองในกอไผ่แล้วส่ายศีรษะ “ตายแล้วม่าย

ศรีนางหวั่นใจอย่างไรพิกล จากด้านหลังมองเห็นผมสั้นเกรียนแนบศีรษะ ความคิดกระหวัดถึงนายทหารใจดีคนหนึ่ง

ตาศักดิ์รวบรวมความกล้า ค่อยๆ ยื่นมือไปสัมผัสปลายเท้าขาวซีดแล้วชักกลับ พลางขยับถอยหลังไปหลายก้าว “ตัวเย็นเฉียบ หรือว่าตายแล้ว”

“ช่วยนุ้ยหน่อยค่ะ” สำหรับศรีนางเป็นหรือตายได้รู้กัน

สาวน้อยสูดหายใจเข้าลึก ส่งสายตาให้ผู้สูงวัยกว่ามาช่วย อึดใจต่อมาทั้งคู่จับข้อเท้าเย็นจัดแล้วลากร่างสูงออกจากซากไผ่ ทั้งคู่ยังไม่เห็นหน้าชายปริศนาแต่เนื้อตัวเย็นเฉียบกับผิวขาวซีดทำให้ตาศักดิ์ถามเสียงสั่น

“ถูกฟ้าผ่าพร้อมคมสันต์ม่ายลูกนุ้ย”

“น่าจะไม่โดนค่ะ ไม่มีรอยไหม้ หรือว่าตกน้ำ”

ศรีนางไม่กลัวผี ไม่กลัวศพ แต่ที่กลัวคือ…สังหรณ์บางอย่าง สาวน้อยค่อยๆ คว้าไหล่หนา พลิกร่างนั้นช้าๆ ใบหน้าคุ้นเคยปรากฏ…

“พะ…พี่ริน” เสียงที่ออกจากปากศรีนางเบาราวกระซิบ ใจหายวาบ ก่อนจะเต้นรัวด้วยหลากหลายความรู้สึก ทั้งประหลาดใจและตกใจ “ทะ…ทำไม เกิดอะไรกับพี่”

“ตายแล้วม่าย” ตาศักดิ์ไม่ได้ฟังว่าศรีนางพูดอะไรเพราะถอยออกไปไกล

“มะ…ไม่รู้ค่ะ” เด็กสาวค่อยๆ วางนิ้วใต้จมูกชายหนุ่ม แม้ผิวจะเย็นแต่ร่างกายยังอ่อนนุ่มไม่ได้แข็งทื่อเหมือนศพ ศรีนางเคยเห็นคนตายมาแล้ว และรู้ว่าสารินเฉียดใกล้คำนั้นเข้าไปทุกที “แต่ตัวยังอุ่นๆ ค่ะ”

“คนเพิ่งตายตัวยังอุ่น” ตาศักดิ์ออกความคิดเห็น

ศรีนางสำรวจร่างสารินเร็วๆ แวบแรกเธอคิดว่าเขาตกน้ำ แต่ระลึกได้ว่าถ้าตกน้ำตาย ศพคงจมและลอยอืดขึ้นมาในสองสามวัน ตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงสวบสาบในกอไผ่ สัญชาตญาณบวกประสบการณ์ที่เห็นตาสายรักษาคนไข้มาตั้งแต่เด็ก ทำให้ศรีนางรีบสำรวจปลายเท้าสาริน

สองเขี้ยวบนหลังเท้านั้นชัดและลึก มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย บริเวณที่โดนกัดบวมเป่ง รอยเขี้ยวลึกและห่าง แสดงว่าเป็นงูตัวใหญ่

หลานสาวหมองูวางนิ้วใต้จมูกชายหนุ่มอีกครั้ง ไม่พบลมหายใจ เธอโน้มตัว แนบหูบนอก ใจหาย มือไม้สั่น ความเสียใจเอ่อล้น พบเจอ รู้จักในช่วงเวลาสั้นๆ แต่สารินใจดีและมีน้ำใจ เมื่อคิดว่าเขามีครอบครัว มีพ่อแม่ มีญาติพี่น้องให้กลับไปหา ศรีนางรู้สึกเสียใจแทนคนเหล่านั้น สารินดีเกินกว่าจะมาตายต่างถิ่นเช่นนี้

“พี่…พี่ริน อย่าตายนะ อย่าเพิ่งตาย”

สาวน้อยที่มีตาเป็นหมองู พอจะมีความรู้ติดตัว ตาสายเคยสอนวิชาคาถาง่ายๆ ไว้ใช้เมื่อโดนแมลงกัดต่อย เธอรู้ดีว่าตาอยู่บนเรือนที่ถัดไปไม่กี่นาที ทว่าอาการของสารินตอนนี้ไม่รู้เป็นหรือตาย ศรีนางกระโดดคร่อมร่างสูง วางแขนกลางอกชายหนุ่ม ประสานมือแล้วกดด้วยแรงทั้งหมดที่มี

ถามว่าทำไมถึงทำซีพีอาร์เป็น เพราะมีแม่ป่วยกระเสาะกระแสะ ศรีนางเข้าออกโรงพยาบาลจนเป็นที่รักและเอ็นดูของหมอกับพยาบาล หมอสาวใจดีคนหนึ่งจึงสอนศรีนางช่วยเหลือชีวิตเบื้องต้น

ทว่า…แม้จะกดอกสารินจนเหนื่อยหอบ แต่ชายหนุ่มยังนิ่งราวกับว่าวิญญาณหลุดจากร่างไปแล้ว ศรีนางยกมือท่วมหัว หันหน้าไปทางหลังคาบ้าน พนมมือแล้วตั้งจิตอธิษฐาน นึกถึงเกจิอาจารย์ที่ตาสายบูชา ผีครูหมอ ผีบรรพบุรุษที่ท่านขุนนานับถือ ตาผ้าขาวที่สระแก้วและตาหลวงล้อมที่เธอศรัทธา วอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์โปรดปรานีสาริน อย่าเอาชีวิตเขาไปเลย

 

สิ่งที่รองรับแผ่นหลังเป็นฟูกหนานุ่มหลับสบายจนไม่อยากตื่น กรุ่นกลิ่นหอมของอากาศสะอาดสะอ้านแสนคุ้นเคยทำให้ชายหนุ่มค่อยๆ ลืมตาอย่างเกียจคร้าน

ราวเพิ่งตระหนักถึงความหมายของคำว่า ‘เกียจคร้าน’ ทำให้คนหนุ่มที่อยู่ในกฎเกณฑ์และระเบียบวินัยมาตลอดชีวิตสะดุ้งสุดตัว ภาพที่ปรากฏในคลองจักษุคือห้องนอนใหญ่ เครื่องเรือนทำจากไม้สักทั้งสวยงามและคงทน เตียงไม้สี่เสามีผ้าลูกไม้โปร่งบางตกแต่งสวยงาม โต๊ะข้างเตียงประดับแจกันดอกไม้ บัวหลวงสีชมพูอ่อนส่งกลิ่นหอมจาง ข้างแจกันเป็นกรอบรูป ชายหนุ่มค่อยๆ เอื้อมมือหยิบอย่างช้าๆ ปลายนิ้วเรียวยาวตัดเล็บสั้นไล้เบาๆ บนกรอบหน้าเรียวของหญิงสาวที่ยิ้มน้อยๆ ให้กล้อง คนในภาพสวมชุดไทยบรมพิมานสีเหลืองนวล บนนิ้วสวยเป็นแหวนทองคำขาวประดับเพชรเม็ดเล็กล้อมทับทิม

สารินวางกรอบรูปไว้ที่เดิม วาดขาลงจากเตียง ทันทีที่ลงน้ำหนักก็รู้สึกเสียวแปลบที่ปลายเท้า เมื่อก้มดูก็พบรอยเขี้ยวลึกและมีเลือดซึม ทว่าน่าแปลกที่ไม่เจ็บอย่างที่คิด ชายหนุ่มเดินช้าๆ ค่อยๆ เปิดประตูห้อง คุ้นเคยกับสถานที่เมื่อที่นี่คือ…วังปรียาธร

ชายหนุ่มเดินช้าๆ ผ่านบันไดโค้ง กระทั่งลงมาชั้นล่าง บริเวณรับแขกโปร่งโล่ง ชุดเก้าอี้ไม้สักฉลุลายของท่านตามีหนังสือพิมพ์เปิดวางไว้ จอกน้ำชายังมีไอร้อนลอยกรุ่นเป็นสาย คล้ายว่าท่านเพิ่งลุกออกไปไม่นาน

บรรยากาศอบอุ่น คุ้นเคย สารินรู้สึกสบายกายและสบายใจ

นานแค่ไหนแล้วที่ชายหนุ่มไม่ได้สัมผัสความรู้สึกนี้ สารินนึกอยากทิ้งตัวลงนอนแล้วซึมซับความสบายใจไว้เต็มอก พริบตาเดียวห้องนั่งเล่นอบอุ่นก็เปลี่ยนเป็นผืนหญ้าสีเขียวอ่อน แผ่นฟ้ากว้างมีเมฆสีขาวลอยอ้อยอิ่ง ต้นหางนกยูงใหญ่ทิ้งใบเหลือดอกสีแดงเข้มบนกิ่งก้านทำหน้าที่ให้ร่มเงา ข้างกันเป็นสระน้ำลึกระดับเอว สัตตบงกช สัตตบุตย์ ชูช่อออกดอกบานสะพรั่ง

“ริน ทำไมมานอนตรงนี้…หืม”

เสียงนั้นหวาน ไม่ได้ตำหนิ ติดจะเอ็นดู

“คุณแม่” สารินจำหน้าแม่ได้ แต่ลืมความรู้สึกมีแม่ไปหมดแล้ว ชายหนุ่มจ้องมองใบหน้าหวานละมุนไม่วางตา “คุณแม่หรือครับ”

“ว่าอย่างไร ทำไมมานอนตรงนี้”

สารินมองรอบตัว ไม่รู้ทำไมมานอนอยู่ริมสระบัว ก่อนเลือกตอบตามความรู้สึก “ผมชอบที่นี่ครับ”

คุณหญิงบัวยิ้มอ่อนโยน มือบางขาวผ่องวางบนหลังเท้าของลูกชายอย่างอ่อนโยน “ตรงนี้หรือ”

“ครับ”

สารินมองตาม ความขาวบางของผิวทำให้เห็นเส้นเลือดหลังมือเป็นสีน้ำเงินชัด

“ตอนเด็กๆ รินเคยหกล้ม เข่าแตก แต่ไม่ร้องสักแอะ แม่ตกใจจนร้องไห้เสียเอง จำได้ไหม” น้ำเสียงอ่อนหวานคุ้นเคยดึงความทรงจำที่ลึกที่สุดของเด็กผู้ชายคนหนึ่งกลับมาโลดแล่นอีกครั้ง

สารินพยักหน้า ตอนนั้นอายุเท่าไร…อาจจะสี่หรือห้าขวบ

“เจ็บไหม” สัมผัสแผ่วเบาลูบไล้บนรอยเขี้ยว

“ตอนแรกเจ็บครับ สักพักมันชาๆ ผมง่วงมาก ผมหลับ แล้วก็ตื่นในห้องคุณแม่ครับ”

“รินคงคิดถึงแม่” น้ำเสียงคนพูดอ่อนโยน ความเจ็บปวดจากตรงไหนสักแห่งในร่างกายสารินพลันทุเลาอย่างน่าอัศจรรย์

“ครับ ผมคิดถึงคุณแม่” ขอบตาชายหนุ่มร้อนผ่าว เขากะพริบตาถี่ๆ เพื่อขจัดอารมณ์อ่อนไหว เมื่อตลอดชีวิตถูกเลี้ยงดูให้เข้มแข็งและเชื่อฟัง

“แม่อยู่กับรินเสมอ” ฝ่ามือนุ่มลูบผมตัดสั้นของลูกชายเบาๆ เจ้าของเสียงหวานวางมือกลางอกนายทหารหนุ่ม “ในนี้”

“ขอผมไปกับคุณแม่ได้ไหมครับ…” สารินไม่รู้เหมือนกันทำไมจึงถามออกไปอย่างนั้น “…ตลอดไป”

“แล้วคุณพ่อล่ะริน”

“คุณพ่อ…มีน้องๆ อีกสามคน ไม่มีผมก็ได้ครับ”

ใบหน้าหวานละมุนไม่พูดอะไร เพียงรั้งร่างสูงของลูกชายให้นอนหนุนตักที่ริมสระบัว ใช้พัดโบกสะบัดเหนือใบหน้าที่คล้ายตัวเองเบาๆ “อยากให้แม่กล่อมนอนไหมริน”

สารินส่ายหน้า “ผมไม่กล้าหลับ”

“ทำไมหรือจ๊ะ”

“กลัวครับ…กลัวว่านี่เป็นเพียงฝัน กลัวว่าตื่นแล้วจะไม่เจอคุณแม่อีก”

คุณหญิงบัวไล้ปลายนิ้วบนหัวคิ้วเข้มของลูกชาย ส่งยิ้มที่ทั้งหวานละมุนและอบอุ่นหัวใจ กลิ่นบัวในบึง สายลมโชยอ่อน และเสียงเพลงแว่วหวานทำสารินรู้สึกว่าเขาเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กๆ ที่วิ่งเล่นอย่างสนุกสนานในค่ายทหาร

“นกขมิ้นเหลืองอ่อนเอย

ค่ำแล้วจะนอนที่รังไหน

รังไหนนอนได้เอย

สุมทุมพุ่มไม้เอย…ที่เคยนอน

ลมพระพายชายพัดเอย…มาอ่อนๆ

เจ้าก็ร่อนเอย…มานอนรัง (1) ”

เนิ่นนานจนสารินเผลอหลับ…หลับสนิท หลับใหลไม่ได้สติอย่างยาวนาน

“ตื่นได้แล้วลูก”

สารินตื่นแต่ไม่ยอมลืมตา ชายหนุ่มเพียงพึมพำจับคำพูดไม่ได้ “ขอนอนต่ออีกหน่อยนะครับคุณแม่”

“ได้สิจ๊ะ” เจ้าของตักนุ่มอนุญาตอย่างคนใจดี มือบางลูบศีรษะบุตรชายคนเดียวอย่างรักใคร่ “พักผ่อนให้เต็มที่นะริน หลังจากนี้รินจะมีชีวิตใหม่ พ่อกับแม่ไม่ใช่เจ้าของชีวิตรินอีกต่อไปแล้ว…”

สารินไม่เข้าใจ รู้เพียงว่าตรงนี้อุ่นสบายจนไม่อยากตื่น

 

เชิงอรรถ : 

(1) เพลงนกขมิ้น



Don`t copy text!