แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 15 : เรื่องวุ่นๆ ในงานเลี้ยงรับรอง

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 15 : เรื่องวุ่นๆ ในงานเลี้ยงรับรอง

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

ยิ่งใกล้จะถึงวันงาน บรรยากาศในตัวเมืองแสนฟ้าก็ยิ่งคึกคัก…

แสนฟ้าเวลานี้คลาคล่ำไปด้วยเกวียนหลายร้อยเล่มจอดรอเรียงราย ตั้งแต่หน้าประตูเมืองยาวไปจนถึงตลาดใจกลางเมือง เจ้าฟ้าหลวงทรงสั่งการให้ทหารและ ‘แย’ หรือตำรวจเพิ่มกำลังลาดตระเวนเป็นสองเท่า และเพิ่มกำลังทหารยามเฝ้าประจำป้อมประตูเมืองทั้งสี่ทิศ

ทางด้านเจ้าหญิงตะบินไดที่ฝึกซ้อมมาได้สักพักใหญ่ๆ ก็สามารถจดจำท่ารำพื้นฐานได้จนเกือบหมด และสามารถฟ้อนตามรุ่นพี่ทั้งสองคนได้อย่างถูกต้องทุกท่าทาง แต่ถึงอย่างนั้น หญิงสาวก็จะต้องผ่านการสอบท่ารำพื้นฐานทั้งหมดเสียก่อน หากผ่านการสอบครั้งนี้นี้ไปได้ นางถึงจะได้ขึ้นท่ารำตะบินไดของจริง

และแล้วก็ถึงวันที่จันทร์หล้าต้องสอบกระบวนท่ารำพื้นฐาน ในวันนั้น ไม่มีใครคาดคิดว่าเจ้าฟ้า มหาเทวี เจ้าชายาพร้อมด้วยเจ้านายคนอื่นๆ จะทรงเสด็จมาชมถึงเรือนซ้อมละครด้วยเช่นกัน จากงานเล็กๆ ก็ดูจะเป็นงานใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดที่ว่า สะหย่ามะได้ตัดสินใจในตอนท้ายสุด ที่จะให้หญิงสาวทั้งสามแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นนางรำในราชสำนักเต็มยศ และออกมาทำการแสดงต่อหน้าเจ้านาย

เมื่อบรรดาผู้ชมตบเท้าออกมานั่งรอการแสดงจนเนืองแน่นเต็มข่วงลานหญ้า นักดนตรีมือ ‘เช่าก์โลงปัต’ หรือกลองชุดทั้งหกก็พลันตีขึ้นเป็นทำนองสอดคล้องกับเสียงโหม่งแผงให้จังหวะ นางรำทั้งสามที่มายืนรอท่าอยู่ไม่ห่างออกไป ก็ค่อยๆ เยื้องย่างร่ายรำเข้ามาทำการแสดงยังตรงกลางวง…

นางรำที่อยู่ด้านซ้ายมือสุดคือนางรำหน้าใหม่ที่กำลังเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง นางคืออดีตข้ารับใช้สาวที่ถูกมหาเทวีเลือกขึ้นมารับบทนางรำตัวหลัก และจะเป็นเจ้าหญิงตะบินไดประจำปีนี้ ผู้ชมเลยเอาแต่จดจ้องไปที่นางกันเป็นส่วนใหญ่ ยามนางนวยนาดร่ายรำ ผู้คนก็พากันพินิจพิจารณาทุกสิ่งอย่างถ้วนถี่ ทุกสัดส่วนและท่วงท่า จังหวะ ว่าแล้วพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่นชม ต่างเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางถึงถูกเจ้านายเลือกขึ้นมา

เจ้าฟ้าหลวงทรงพอพระทัยยิ่งนัก หลังการแสดงเสร็จสิ้นแล้วก็ทรงประทานรางวัลเป็นเงินรูปีให้แก่นางรำทั้งสามนาง ก่อนจะตรัสชมเจ้าหญิงตะบินไดว่ารำได้งดงามแม้เพิ่งเรียนรำไปได้ไม่นาน และหวังว่าจะได้เห็นนางอีกครั้งในคืนงานเลี้ยง มหาเทวีและเจ้าชายาเผยรอยยิ้มปริ่มเปรม

 

และแล้ววันสำคัญก็มาถึง เช้าวันนั้นเสียงเล่นกลองร้องแห่ไปตามถนนดังอึกทึกครึกโครมไปทั้งเมืองพร้อมด้วยเสียงจุดประทัดและเสียงคนตีฆ้องร้องป่าว ริมสองข้างถนนคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่เข้ามารอชมขบวนแห่นักเรียนทุนที่กำลังเดินทางใกล้จะมาถึง

ไม่นานนัก ผู้คนก็ไหลทะลักเข้ามาเพิ่มจนเต็มบริเวณทั้งสองข้างทาง ตรงลานกลางเมืองมีการตั้งพลับพลาและซุ้มทางลอดที่ประดับด้วยพรรณไม้มงคลหลายอย่าง ด้านบนซุ้มลอดมีการขึงแผ่นป้ายผืนใหญ่ ที่เขียนคำต้อนรับด้วยภาษาไทและกำกับข้างใต้ด้วยภาษาอังกฤษว่า ‘WELCOME HOME’

เจ้าฟ้าหลวงทรงเครื่องแต่งกายแบบราชสำนักไทคำหลวงเต็มยศ ประทับนั่งอยู่ด้านในพลับพลาหลังใหญ่ร่วมกับเจ้าอุปราชแกมเมือง และเหล่ารัฐมนตรีของรัฐบาลไทคำหลวง ด้านหลังพลับพลามีการกางสุวรรณฉัตรและเศวตฉัตรประดับยศแสดงฐานันดรศักดิ์ มีทหารติดอาวุธยืนห้อมล้อมป้องกันอย่างแน่นหนา

ไม่นานเกินรอ ขบวนรถขบวนแรกก็ค่อยๆ วิ่งผ่านประตูเมืองเข้ามา ชาวเมืองที่ได้เห็นดังนั้นต่างก็ปรบมือต้อนรับและตีฆ้องฟ้อนรำ เสียงเฮฮาดังอื้ออึงผสมผสานกับเสียงเพลงมาร์ชจากวงดุริยางค์ของโรงเรียนคอนแวนต์ที่บรรเลงนำหน้าขบวนรถยนต์ไปตามท้องถนน นักเรียนทุนทั้งยี่สิบคนนั่งอยู่ในรถยนต์เปิดประทุน คล้องพวงมาลัยดอกดาวเรืองไว้ที่คอ ต่างโบกไม้โบกมือให้กับชาวเมืองที่มารอรับ

ถัดจากนั้นเป็นขบวนใหญ่อีกขบวนหนึ่งที่ตามกันมา รถยนต์คันที่อยู่กลางขบวนคุ้มกันมีธงปักตัวอักษร G.G.B.I โบกปลิวสะบัดไปมา เป็นรถของข้าหลวงใหญ่และคณะที่เดินทางมาจากเมืองกัลกัตตา ขบวญบุคคลสำคัญมีทหารอินเดียในเครื่องแบบและทหารกุรข่าของกองทัพอังกฤษคอยเสริมกำลังกั้นกลาง เพื่อระวังไม่ให้ชาวเมืองแห่กรูเข้าไปใกล้ขบวนรถมากจนเกินไป

“จันทร์หล้า สูรีบวิ่งหน่อยได้ไหม เดี๋ยวก็บ่ทันขบวนของนักเรียนทุนกันพอดี”

ม่อนหอมวิ่งไปพลาง กล่าวเร่งรัดไปพลาง ก่อนจะพยายามเบียดเสียดเอาตัวเองเข้าไปยัดกับฝูงชนที่ยืนอยู่อย่างแน่นเอี้ยด ชะเง้อมองตามขบวนรถที่เคลื่อนไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว จันทร์หล้าตามมาทีหลัง พยายามเขย่งจนสุดปลายเท้าเพื่อมองดูขบวนกลางถนน แต่ก็มองไม่เห็นอะไร

“ม่อนหอม ข้ามองบ่เห็นขบวนเลย”

“ก็เพราะสูช้า ข้าเลยอดเห็นหนุ่มนักเรียนทุนเสียนี่”

“อ้าว ไหงมาโทษข้าซะงั้นล่ะ” จันทร์หล้าหน้าจ๋อยเมื่อถูกเพื่อนโยนความผิดมาให้ “ถึงบ่ทันได้เห็นตอนนี้ แต่เย็นนี้พวกเฮาก็ได้เจอพวกท่านที่งานเลี้ยงกันอยู่ดีบ่ใช่หรือ”

“ข้าบ่แม่นนางรำอย่างสูนี่ ใครเขาจะยอมให้ข้าไปเดินเพ่นพ่านแถวนั้นได้ล่ะ” ม่อนหอมหันมาแหวใส่ไม่เลิก “…เข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆ พลับพลาก็ไม่ได้เสียด้วยซี ทหารยืนเฝ้าแน่นหนายิ่งกว่าอะไร”

ว่าแล้วหล่อนก็พลันฉุกนึกอะไรได้บางอย่าง ก่อนจะรีบคว้าข้อมือคนชอบเนิบนาบ กึ่งวิ่งกึ่งลากกันออกไปทางด้านหลังบ้านเรือนผู้คน เลี่ยงหลบเส้นทางสัญจรปกติ เพื่อลัดเลาะไปตามตรอกซอกถนนอย่างชำนาญทาง ก่อนจะมาโผล่ที่หอนาฬิกาประจำเมือง ขนาดความสูงสี่ชั้น หันหน้าเข้าหาลานกลางเมืองชัดเจน

“สูจะทำอันใดม่อนหอม นี่หอนาฬิกาของเจ้าฟ้านะ ท่านบ่ให้ชาวบ้านขึ้นสูก็รู้ บ่กลัวต้องโทษหรือ”

“เออน่า บ่มีผู้ใดอยู่แล้ว ทหารยามก็แห่กันไปที่งานกันหมด”

“เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก” หญิงสาวยังรบเร้า

“บ่รู้ละ สูตามข้ามาก็แล้วกัน ถ้าบ่ตามมาข้าก็จะไปละ”

“เดี๋ยวก่อนสิ เดี๋ยวก่อน”

จันทร์หล้ารีบรั้งผ้าซิ่นออกวิ่งตามหลังม่อนหอมขึ้นไปบนชั้นบนสุดของหอนาฬิกา เมื่อลักลอบเข้ามาจนถึงด้านในแล้ว ทั้งสองก็ช่วยกันดึงสลักกลอนลงเพื่อปิดประตู ก่อนจะพากันมานั่งลงตรงใกล้ๆ หน้าต่าง มุมตรงนี้เป็นระเบียงมุมแอบ หากแต่เป็นมุมกว้าง เมื่อมองลงไปด้านล่างก็เห็นคนจำนวนหลายพันกำลังเบียดอัดกันจนล้นบริเวณ

“โห คนเยอะอย่างกะมดเลย”

“นั่น ขบวนที่เพิ่งผ่านไปเมื่อกี้ มาพอดี” ม่อนหอมหันมาบอก “…เป็นขบวนของพวกนักเรียนทุน”

“ไหน คนไหนคือเจ้าสามเมือง”

สาวหน้าแป้นมองลงไปด้านล่าง กล่าวละล่ำละลัก ชี้ไปยังเบื้องล่างด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสุดขีด

“นั่นไง คนที่ใส่เสื้อสีน้ำตาล สวมแว่นตา กำลังลงจากรถ เมื่อก่อนเจ้าชายท่านก็เคยเป็นนักเรียนที่โรงเรียนคอนแวนต์ เรียนจบแล้วก็สอบได้ทุนรัฐบาลไปเรียนต่อที่สยาม ท่านฉลาดและชอบขลุกอยู่กับตำรา เลยไปเรียนการแพทย์รักษาคน…ทั้งเก่งทั้งรูปงาม ว่าไหมล่ะ”

“อือ”

จันทร์หล้าเออออไปตามนั้น ก่อนจะมองตามนิ้วเพื่อนชี้ลงไป บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงเด่นผู้หนึ่งกำลังเดินมาที่ปะรำพิธี ยืนรวมกับคนอื่นๆ หากแต่โดดเด่น เขาอยู่ในชุดไทพื้นเมืองและเคียนศีรษะตามธรรมเนียม

“แล้ว…เจ้าชายที่ชื่อว่าเจ้าแกมเมืองล่ะ ท่านคือคนไหน ข้าอยากเห็นหน้าเจ้าชายท่าน”

“แกมเมืองบ่แม่นชื่อ แต่คือตำแหน่ง ตำแหน่งเจ้าอุปราชแกมเมืองหรอก” ว่าแล้วม่อนหอมก็ชี้ไปยังบุรุษที่นั่งอยู่เคียงข้างเจ้าฟ้าหลวงอยู่ในพลับพลา “…คนนั้นไง เจ้าแกมเมืองแห่งแสนฟ้า นามว่าเจ้าแสงหาญ”

หญิงสาวมองตามมือเพื่อนไป แต่ด้วยเพราะระยะไกล จึงทำให้มองเห็นไม่ชัด

เมื่อบรรดาราชอาคันตุกะทยอยลงจากรถเข้ามาในงาน เจ้าฟ้าหลวงและคณะรัฐมนตรีฝ่ายต้อนรับก็รีบออกไปเชื้อเชิญคณะของข้าหลวงท่านให้เข้ามานั่งในสถานที่รับรองอันเป็นศาลาที่สร้างขึ้นใหม่ ก่อนจะมีการมอบพวงมาลัยและช่อดอกไม้ให้กับเจ้าหน้าที่กงสุล ผู้ตรวจการรัฐและบรรดาตัวแทนรัฐบาลกลางที่ติดตามท่านข้าหลวงมา

เจ้าสุนันต่าเป็นเจ้าหญิงเพียงผู้เดียวที่ยืนเคียงข้างเจ้าพ่อของท่าน ทรงคอยช่วยหยิบจับส่งช่อดอกไม้ให้กับบรรดานักเรียนทุนที่กลับมาจากต่างประเทศ แถมยังคอยตอบคำถามและสนทนากับแขกเหรื่อคนอื่นๆ จันทร์หล้าเฝ้ามองท่านจากที่สูง มองเห็นเจ้าหญิงท่านก้าวผ่านความกลัวและความกังวลพวกนั้นได้ นางรู้สึกปลื้มใจเป็นสองเท่าที่เคยได้มอบกำลังใจให้แก่ท่าน

กลุ่มนางรำจากสำนักละครหลวงทั้งสามสิบสองคนออกมายืนตั้งแถวเพื่อรอทำการแสดง พวกหล่อนสวมเสื้อตัวสั้นเอวกระดกสีขาวและนุ่งซิ่นทะเมนลุนตยาสีแดงสดใส เมื่อเห็นว่าผู้คนต่างหันมามองด้วยความสนอกสนใจ เหล่านางรำก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันถ้วนหน้า

งานปอยมหรสพประจำฤดูหนาวของเมืองแสนฟ้าเริ่มบรรเลงกันตั้งแต่หัววัน เสียงดนตรีอึกทึกครึกโครมดังสนั่นไปทั่วทั้งเมือง ในงานมีทั้งออกร้านขายของ การประกวดสัตว์เลี้ยง เวทีการแสดงจ๊าดและซุ้มการพนันทุกรูปแบบ

ตกค่ำ บรรยากาศในหอหลวงก็ยิ่งครื้นเครง ทุกพื้นที่ในเขตพระราชฐานต่างประดับประดาไปด้วยโคมไฟดวงสว่าง นักแสดงของโรงละครหลวงทุกคนต่างวุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัว เพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมกับการแสดงร่ายรำต่อหน้าเจ้านายในคืนนี้ รีบจัดแจงเครื่องแต่งกายและแต่งหน้าทำผม

นางรำสาวหน้าใหม่มองตนเองผ่านกระจก ก่อนพี่เลี้ยงจะบรรจงเสียบปิ่นตัวสุดท้ายให้ไว้บนเกล้ามวย จับแต่งปลายผมให้ปล่อยยาวสยายลงมาไว้ด้านข้าง นางรำลุกยืนขึ้นเพื่อรับการจัดแจงผ้าซิ่นลุนตยาสีโอลด์โรสหางยาวอีกหน พร้อมกับรับเสื้อคลุมผ้าแพรผืนบางสีเดียวกันกับผ้าซิ่นมาสวมใส่ คลุมทับเสื้อด้วยผ้าคล้องคอลูกไม้สีเดียวกัน ตามด้วยแผงคอไข่มุกที่ประดับทับทิมเม็ดงาม ที่ส่งให้คนไหล่บางโดดเด่นขึ้นมาทันใด

…และแล้ว จากข้ารับใช้สาวก็กลายร่างเป็นเจ้าหญิงตะบินไดอย่างสมบูรณ์แบบ

สะหย่ามะก้าวพรวดเข้ามาในห้องแต่งตัว ก่อนจะจ้องมองคนที่เพิ่งแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จด้วยความตะลึงจังงัง ท่านเผยรอยยิ้มกว้าง นึกไม่ถึงเลยว่าคนต่างถิ่น บทที่จะต้องมาแต่งกายเป็นนางรำแบบม่านบุรีแล้วก็งดงามได้เหมือนกัน ทั้งทรวดทรงองค์เอวที่กลมกลึง ทั้งผิวพรรณที่นวลผ่องผุดผาด งามหมดจด งามพร้อมด้วยทุกอย่าง สุกใสเปล่งปลั่ง

เจ้าหญิงตะบินไดถูกพี่เลี้ยงพาขึ้นมาเก็บตัวยังห้องรับรองทางอีกฝั่งหนึ่งของตัวอาคาร ในห้องนั้นมีเจ้านายจากหอตะวันตกและพระสหายของพวกท่านประทับอยู่กันอย่างพร้อมหน้า ทั้งเจ้าชายา บุตรธิดา พร้อมด้วยหมอกุปป้าและภรรยาที่ถูกเชิญให้มาเป็นแขกในงานเลี้ยงสำคัญ

ทันทีที่โฉมงามที่จำแลงแปลงกายเสร็จดีได้ก้าวเข้ามาในห้อง ผู้คนก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดจนอ้าปากค้างกัน พวกท่านจดจำกันแทบไม่ได้ว่าหญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นเป็นใคร แต่พอเจ้าหญิงตะบินไดผู้งามงดนั่งลงตรงพรมเบื้องล่าง พร้อมกับยกมือไหว้ เหล่าเจ้านายก็ทรงอุทานขึ้นอย่างเหลือเชื่อ

“จันทร์หล้า บุตรสาวบุญธรรมของข้าหรือนี่ บ่อยากจะเชื่อ”

เจ้าชายาทรงรับสั่งชมเชยอย่างไม่เชื่อสายตา พลางยื่นมือไปเชยคางหญิงสาวเพื่อเชยชมใบหน้าที่งามแช่มชื่น แตกต่างกับตอนที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลก่อนหน้า

ด้านเจ้าสุนันต่าไม่รอช้า รีบกระโดดลุกขึ้นไปนั่งโอบกอดจันทร์หล้าเอาไว้ด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะทรงมองนางอย่างถ้วนถี่ แววตาของท่านเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

“จะ…เจ้าหญิงตะบินไดงามเหลือเกิน งามจนข้าแทบจำบ่ได้ พอ…พอแต่งหน้าทาปากอย่างนี้แล้วสูเหมือนใครก็บ่รู้ บ่…บ่คุ้นหน้าเลย” ว่าแล้วก็ทรงหันไปถามความคิดเห็นจากคนอื่นๆ ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างถึงที่สุด

“ขึ้นมานั่งข้างบนเถิด ทรงเครื่องด้วยเครื่องเพชรแล้วก็บ่ควรลงไปนั่งด้านล่าง”

เจ้าชายาบอกนางให้ขึ้นมานั่งด้านบน ก่อนจะหันไปทางบุรุษหนุ่มอีกคนที่กำลังนั่งยิ้มน้อยๆ อยู่ข้างๆ ท่าน ทรงกล่าวแนะนำนามของเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“…ท่านนี้คือเจ้าสามเมือง บุตรชายคนโตของข้า เรียกท่านว่าเจ้าเสือ ไหว้ท่านเสียสิ…รู้จักกันไว้ เจ้าทั้งสองเป็นคนมาจากทางสยามเหมือนกัน น่าจะพูดคุยกันถูกคอ”

จันทร์หล้ารีบยกมือขึ้นไหว้ ซึ่งเจ้าชายหนุ่มก็ยกมือรับไหว้พร้อมกับส่งยิ้มกลับมาอย่างเป็นมิตร

“เธอนี่เองที่เจ้าแม่ชื่นชมผ่านจดหมายที่ส่งให้ฉันทุกครั้ง เป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่แสนฟ้านี้ สุขสบายดีใช่หรือไม่”

“สุขสบายดีค่ะ”

“มีใครทำความยุ่งยากใจให้เธอบ้างหรือไม่ ระวังสุนันต่าน้องสาวของฉันเอาไว้ให้ดี เธอดื้อเอาเรื่อง”

หญิงสาวหัวเราะกิ๊ก หากอีกฝ่ายที่ถูกพาดพิงรีบหันขวับ ใบหน้าเอาเรื่อง

“หน็อยแน่ เจ้าอ้ายกล้านินทาข้าเผาขน คะ…คิดว่าข้าฟังภาษาสยามบ่ออกหรือไง”

“อ้ายบ่ได้ว่าร้ายอันใดเสียหน่อย” เจ้าพี่ชายทรงรีบแก้ตัวด้วยท่าทีที่ขบขัน

“ว่าสิ จะ…เจ้าอ้ายว่าข้าเป็นเด็กซน”

“เด็กซนคือคำชมต่างหาก”

เจ้าสุนันต่าทรงทำแง่งอนใส่พระเชษฐา เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน

“เจ้าปลาเป็นเด็กน่ารัก ท่านชอบอ่านหนังสือค่ะ”

เจ้าชายหนุ่มพยักหน้าลงเมื่อได้ยินคำลงท้ายเป็นแบบสำเนียงของชาวสยาม และเมื่อนั่นเป็นการได้ยินภาษาสยามเป็นครั้งแรกในแผ่นดินเมืองเกิด ท่านก็บังเกิดความพอใจบางอย่าง ทรงขยับแว่นตา ก้มลงมองคนแก้มแดงตรงหน้าแล้วทรงยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่

ในตอนนั้นเอง มหาดเล็กก็เข้ามาถวายบังคมเรียนเชิญเหล่าเจ้านายให้เข้าไปประทับยังด้านในท้องพระโรงตามคำสั่งของเจ้าฟ้า เนื่องด้วยอีกไม่ช้า คณะของข้าหลวงใหญ่ก็จะเสด็จมาในงาน

เมื่อทุกคนทยอยออกจากห้องไปกันหมดแล้ว เจ้าสอาดองค์ก็ทรงขยับเข้ามาใกล้ๆ

“คืนนี้สูบ่ดีทำให้ข้าขายหน้า จงฟ้อนรำตามที่สะหย่ามะท่านตั้งใจฝึกสอน ข้าขออวยพรให้การฟ้อนรำต่อหน้าเจ้านายในคืนนี้จงราบรื่น ไร้ซึ่งอุปสรรค”

เจ้าชายาทรงตรัสกับจันทร์หล้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะหยิบกำไลทับทิมล้อมเพชรวงงามออกมาจากถุงกำมะหยี่ใบเล็กแล้วจึงส่งยื่นให้

“นี่ รับไปสิ ผู้มีพระคุณของสูท่านฝากมาให้ บอกว่าเป็นของรับขวัญเจ้าหญิงตะบินได”

“ผู้มีพระคุณ…” จันทร์หล้าทวนคำ ดวงตามีประกายวาวใส ก่อนจะยกมือไหว้ แล้วรับของมาจากเจ้านางอย่างสั่นๆ

“ผู้มีพระคุณของข้า…ท่านผู้นั้นก็มาที่งานเลี้ยงคืนนี้ด้วยหรือบาทเจ้า”

เจ้าชายาทรงพยักพระพักตร์ลง ยิ้มหวาน “ท่านมาท่ารอชมเจ้าหญิงตะบินไดอยู่ด้านในงานยังไงเล่า ท่านฝากมาบอก ว่าจะรอปรบมือให้สูอยู่ตรงหน้าเวที”

“อยู่ตรงหน้าเวที”

หญิงสาวรู้สึกหัวใจสูบฉีดเร็วเมื่อได้ยินเช่นนั้น ด้วยเฝ้ารอที่จะมีโอกาสได้รู้จักและได้พบผู้มีพระคุณคนนี้มาโดยตลอด จันทร์หล้าอยากจะรู้เหลือเกินว่าท่านเป็นใคร หากได้เจอท่านแล้วนางจะอยากจะรู้ว่าท่านไปเจอนางที่ไหน ช่วยเหลือนางมาอย่างไร และเกิดอะไรขึ้นหลังจากค่ำคืนที่โรงพนันแห่งนั้น แถมยังมีเรื่องราวอีกมากมายหลายอย่างที่อยากจะถาม โดยเฉพาะเรื่องของชายดวงตามาดร้ายผู้กักขฬะคนนั้น นางจำได้ นางทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัส เป็นตายอย่างไรก็ไม่ทราบ…

ดวงหน้างามมองของล้ำค่า ก่อนจะสวมใส่มันไว้ที่ข้อมือขวา แต่ที่น่าแปลกก็คือสีของกำไลกลับเข้ากันดีกับสร้อยคอและเครื่องประดับอื่นๆ ที่นางกำลังสวมใส่ราวกับเป็นของคู่กัน เหมือนเป็นสิ่งที่เคยพลัดพรากจากกันมาก่อน และเพิ่งได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง…

 

งานเลี้ยงอาหารค่ำภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยบทสนทนาและเสียงหัวเราะอันรื่นเริงสนุกสนาน

พวกนักเรียนทุนที่มาถึงงานตั้งแต่ช่วงบ่าย ต่างคอยช่วยอำนวยความสะดวกหรือบ้างก็คอยเป็นล่ามคนกลางให้เจ้าฟ้าคนอื่นๆ ระหว่างการพูดคุยสนทนากับบรรดาเจ้าหน้าที่และข้าราชการชาวอังกฤษ

เวลาผ่านไปสักพัก ขบวนรถของท่านข้าหลวงใหญ่ก็มาถึง ก่อนจอมทัพในชุดเครื่องแบบราชนาวีอังกฤษเต็มยศจะปรากฏตัวและก้าวลงมาจากรถคันนั้น ข้างกายมีนายทหารชาวอังกฤษซึ่งเป็นผู้ติดตามอีกหลายนายติดสอยห้อยตามมา

พวกนางรำถูกจัดให้มาหลบมุมรอเข้างานอยู่ในห้องที่อยู่ติดกับที่จัดงาน ตรงนั้นมีช่องโพรงที่จะพอสามารถส่องลอดเข้าไปมองบรรยากาศภายในงานได้ พวกสาวๆ จึงมาแอบด้อมๆ มองๆ ก่อนจะร้องเสียงอย่างไก่แตกรังเมื่อเห็นจำนวนคนมากมาย

จันทร์หล้าตื่นเต้นไม่แพ้ใครเลยมาแอบยืนเมียงมองจากมุมตรงนั้นกับคนอื่นเขา และเมื่อมองลอดช่องเข้าไป นางก็เห็นเจ้านายของตนก่อนใครเพื่อน ท่านทรงปราศรัยและประทับนั่งอยู่ร่วมกับมหาเทวี ส่วนเจ้าสุนันต่าทรงประทับอยู่ที่เก้าอี้ด้านหลัง แถวเดียวกันกับเจ้าสิงห์ไชยและพระญาติคนอื่นๆ ส่วนเจ้าฟ้าหลวงทรงประทับอยู่ตรงโซฟาตัวยาว ที่หันหน้าเข้าเวที ประทับร่วมกับบุรุษชุดทหารชาวตะวันตกมาดองอาจ

จันทร์หล้ามองไปรอบๆ งาน ก่อนสายตาจะมองปราดไปสะดุดกับชายผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้แถวหลัง ใบหน้าของเขาโดดเด่นออกมาแม้จะนั่งอยู่ท่ามกลางคนจำนวนมาก

…เหมือนสายฟ้าฟาดลงมา หัวใจจันทร์หล้าหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะ นางผงะถอยหลัง

ความหนาวยะเยือกจากอากาศภายนอกแผ่ซ่านเข้ามาถึงด้านใน เจ้าหญิงตะบินไดหน้าเสีย นิ่งอึ้งลงไปในบัดดล ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น

และเมื่อเสียงดนตรีภายในงานโหมเร็วขึ้น จังหวะใจของหญิงสาวก็เต้นเร็วกว่า นางพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างช้าๆ ภาวนาว่าสิ่งที่กำลังเห็นอยู่นี้เป็นเพียงภาพหลอน เป็นอาการสติฟั่นเฟือนที่ยังหลงเหลือเล็ดลอดจากการรักษา

รอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์และดวงตามาดร้ายเหมือนเสือคู่นั้น มีอิทธิพลทำให้นางหายใจอย่างยากลำบาก และยังคุกคามแม้จะเห็นแต่เพียงไกลๆ

“ชะ…ชายที่นั่งอยู่ด้านหลังเจ้าฟ้าคนนั้น เขาเป็นใครหรือ”

“สูหมายถึงคนเสื้อสีน้ำเงินใช่ไหม”

นางรำคนอื่นๆ ถามคืน

“ชะ…ใช่” จันทร์หล้าเหงื่อตก ตอบตะกุกตะกัก

“เจ้าแกมเมืองยังไงล่ะ”

“มะ…หมายถึง เจ้าอุปราชแกมเมืองน่ะหรือ”

“ใช่ สูบ่รู้จักท่านหรือยังไง ท่านเป็นราชบุตรของเจ้าฟ้าหลวงนะ”

คราวนี้ หัวใจจันทร์หล้าตกฮวบลงไปกองอยู่ตรงตาตุ่ม หญิงสาวขนลุกซู่ ก่อนจะรีบผละออกจากขอบหน้าต่างอย่างเสียไม่ได้

ภาพและเสียงแห่งความน่ากลัวจากอดีตพลันถาโถมโลดแล่นเข้ามาใส่ จันทร์หล้านึกถึงยาของหมอกุปป้าขึ้นมาทันใด…

ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ…คนผู้นั้นหรือ เจ้าแกมเมืองแห่งแสนฟ้า มิสเตอร์โรเซสเตอร์ของเจ้าสุนันต่า เจ้าของรถยนต์สีฟ้าที่ม่อนหอมเคยตะโกนด่าตามหลัง ชายผู้ซึ่งมีนักฆ่าเป็นองครักษ์ประจำตัว

ถ้าเกิดว่าเขาคือเจ้าแกมเมืองจริงๆ ล่ะ

ถ้าอย่างนั้น ชายผู้นี้…

จันทร์หล้าเคยเจอเขามาก่อน

 



Don`t copy text!