แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 9 : ฝันร้าย

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 9 : ฝันร้าย

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

เสียงดีดซึงยังคงเร่งจังหวะคล้ายเรียกหา ฟังๆ อีกทีเหมือนเป็นเสียงลมหรือเสียงกิ่งไม้เสียดสีกันเหมือนว่าหูฝาด หูแว่วไปเอง ไม่รู้ทำไม จันทร์หล้าถึงรู้สึกว่าตัวเองล่องลอย ท่าทางไม่เหมือนคนปกติ ก่อนร่างกายจะค่อยๆ ลุกยืนขึ้นเองเหมือนมีคนจับดึงลุก เดินละเมอออกไปเหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ร่างที่เหมือนกับถูกบางอย่างบังคับให้เดินลัดฝ่าป่าแมกไม้ไปอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าเนินทุ่งไม้หนามเปลี่ยวร้างทุ่งใหญ่ ไกลจากทุ่งหนาป่ารกแห่งนี้ออกไปทางเบื้องหน้ามีภูเขาลูกหนึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวเป็นดอยโทนหัวล้าน เสียงเรียกแปลกประหลาดที่ว่านั้นดังมาจากดอยลูกข้างหน้านี้…

คนไร้สติยังคงยืนนิ่ง เหม่อมองออกไปทิศทางนั้นด้วยดวงตาดำด้านและใบหน้าเฉยเมย และในขณะที่กำลังจะตัดสินใจก้าวไปสู่เขตดอยแปลกประหลาดอยู่นั่นเอง ฉับพลันก็มีเสียงกระซิบหนึ่งแว่วลอยมาตามสายลม

ลูกอี่แม่…อย่าเข้าไป อันตราย…

เสียงผู้หญิงลอยมาอีกแล้ว เสียงแบบเดิมกับที่เคยได้ยินในป่าตรงนู้น…เป็นเสียงของผู้หญิงซึ่งคุ้นคล้ายว่าจะเป็นเสียงของแม่ หรือไม่ก็เป็นเสียงของพี่สาว อาจจะเป็นเสียงของเจ้าป่าเจ้าเขา หรือคนที่บ้านกำลังออกตามหานาง พวกเขาคงไปบนบานศาลกล่าวผีเสื้อบ้านอันเป็นเทพอารักษ์ให้ช่วยออกตามหานางอีกแรง

เสียงนั้นกล่าวซ้ำๆ เป็นประโยคเดียวถี่ๆ พยายามเรียกจนคนที่ถูกสิ่งลี้ลับเข้ากุมนิ่งจังงังไปชั่วขณะจนกระทั่งได้สติ ครั้นหญิงสาวรู้สึกตัวก็พบว่าตนกำลังยืนอยู่ในที่เปลี่ยวที่ร้างเพียงลำพัง มองไปรอบๆ ไม่เห็นใครหรือสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากตนเองที่กำลังยืนเคว้งคว้าง และแล้วความกลัวทั้งหมดก็พลันแล่นเข้ามาแทรกเกาะกุมจิตใจ

“ที่นี่ที่ไหนกัน ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

จันทร์หล้าหันรีหันขวาง มองไม่เห็นทางกลับ เดินมาจากทิศทางใดก็ไม่รู้ตัวแน่ชัด และทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเหมือนเสียงคนพูดคุยอยู่กันไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ตรงนี้ ครั้งนี้เป็นเสียงคนชัดเจนเต็มสองหู ไม่ใช่เสียงลมหรือเสียงสัตว์อะไรทั้งสิ้น

นางตัดสินใจเดินดุ่มๆ เข้าไป ภาวนาเอาไว้ว่าอาจจะเจอพวกชาวบ้านหรือคนหาของป่า พวกเขาอาจจะช่วยพานางออกจากที่นี่ได้ หญิงสาวคว้ายอดไม้แหวกกอไพรรกที่เต็มไปด้วยขวากหนามออกไป

….และแล้ว ภาพที่ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้า ก็ทำเอานางหยุดฝีเท้าชะงักไปโดยพลัน

ต่อหน้านาง ห่างออกไปสักสิบก้าวเท่านั้น มีคนซุ่มนั่งพักอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ คาดคะเนเอาจากสายตาดูแล้วนับได้เกือบยี่สิบกว่า พวกมันกำลังขนถ่ายอาวุธปืนด้ามยาวและอาวุธเครื่องหนักหลายอย่าง บรรจุหนาแน่นอยู่ในหีบลังไม้ขนาดใหญ่ อีกปลายขบวนหนึ่งที่เพิ่งเดินออกไปได้ไม่ไกลและยังทันเห็นหลัดๆ เป็นขบวนลูกหาบกระสุนปืน คานหามกระบุงเอนโก่งหนักเกินบ่าคนหามจะแบกได้ไหวด้วยซ้ำ พวกลูกหาบต่างเป็นเด็กชายตัวผอมโซ

หญิงสาวหน้าซีดใจตกลดฮวบลงไปด้วยความกลัว ถึงไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อน แต่จันทร์หล้าก็รู้ว่าคนพวกนั้นเป็นคนกลุ่มไหน พวกมันเป็นโจรชนกลุ่มน้อยติดอาวุธที่มักอาศัยซ่องสุมกองกำลังตามแนวป่าชายแดน และมักหาช่องทางลำเลียงยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมาย วันดีคืนดีพวกมันมักจะเข้าปล้นฆ่าชาวบ้าน อีกยังมักฉุดคร่าพวกเด็กๆ เอาไปเป็นลูกหาบและขายส่งค้ามนุษย์

โดยสัญชาตญาณ จันทร์หล้าผละหันหลังและเผ่นหนีอย่างไม่รอช้า นางรีบวิ่งลงดอยมาอย่างทุลักทุเล ก่อนจะวิ่งชนปะทะเข้ากับแผงอกแข็งแกร่งเข้าอย่างจัง แรงปะทะถึงกับทำเอาคนอ่อนแรงปลิวตกลงไปกองกับพื้น ก่อนมือใหญ่จะรีบโผเข้าปิดปาก แล้วลากนางเข้าไปในพุ่มไม้ข้างทาง

“พี่เอง จันทร์หล้า อย่ากลัว”

“นายกอง…”

คนขวัญกระเจิงเรียกไว้ด้วยความโล่งใจ ก่อนจะปล่อยตัวลงไปซบอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างหมดแรง อุ่นใจเหลือคณา

“นายกอง พวกโจร…”

“พี่เห็น”

“เฮาจะทำยังไงกันดี”

“เราต้องรีบออกไปจากที่นี่ ที่นี่เป็นเขตอันตราย พวกเราเดินหลงเข้ามาอีกฝั่งกันเสียแล้ว”

โดยไม่รอช้า นายกองหนุ่มรีบคว้ามือจันทร์หล้าหมายจะรีบออกไปจากที่นั่นโดยไว ทว่า ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาออกไปไหน ปลายกระบอกปืนสีดำทะมึนก็ยกขึ้นเล็งตรงเข้าหาคนทั้งสองจากเบื้องหลังอย่างไม่ทันได้ระวังตัว

ยังมีพวกมันอีกกลุ่มหนึ่ง…

เมื่อสกัดคนทั้งสองไว้ได้แล้ว พวกทรชนคนหยาบจึงค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาจากทุ่งหญ้าที่สูงท่วมทีละคน สองคน ใบหน้าพวกมันแต่ละคนเหี้ยมดุและถมึงทึงบ่งบอกถึงนิสัยที่ดุร้าย

จันทร์หล้ารีบโดดเข้าจับแขนคนข้างหน้าไว้อย่างใจเสีย นายราชเองก็รีบผลักให้หญิงสาวเข้าไปมาหลบอยู่ด้านหลังตนเอง แล้วเขาเองก็หันไปเผชิญหน้ากับพวกโจรกลุ่มนั้นอย่างอาจหาญ

ชายหนุ่มกัดฟันกรอดแต่ยังคุมเชิงไม่ผลีผลาม เขาพยายามที่จะควบคุมสถานการณ์ตรงหน้าเอาไว้อย่างมีสติ ประเมินการณ์อย่างถ้วนถี่ด้วยสัญชาตญาณนักรบ แต่ทว่าพวกโจรกลับอาศัยจำนวนคนที่มากกว่า กลับเข้ามาฉุดกระชากหญิงสาวออกไปจากเบื้องหลังอย่างอุกอาจ แถมยังใช้ด้ามปืนฟาดเข้าตรงท้ายทอยเขาอย่างจัง จนร่างใหญ่เสียหลักทรุดลงไปนั่ง รู้สึกมึนงงจนเห็นเดือนเห็นดาว

“นายกองระวัง!”

จันทร์หล้าหวีดร้องสุดเสียง เมื่อเห็นว่าพวกมันเตรียมจะปรี่เข้าไปรุมทำร้ายชายคนรัก ในขณะที่นางเองก็ทั้งดิ้นเพื่อพยายามสะบัดตัวเองให้หลุดออกจากมือหยาบที่กำลังจับกุมตัวเอาไว้

นายราชไม่ปล่อยให้ตนเองเสียเปรียบไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มรีบตั้งสติก่อนจะรีบกระโดดลุกขึ้นมาชักมีดซุยออกจากฝัก จังหวะเดียวกันกับที่หนึ่งในพวกมันเหนี่ยวไกปืนแล้วยิงดังโป้ง!

กระสุนนัดนั้นกึกก้องและซัดเข้าตรงกลางลำตัวในระยะประชิดอย่างจัง แรงกระสุนอัดร่างนายกองหนุ่มจนกระเด็นตกลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดทรมาน

จันทร์หล้าตาเหลือกค้าง ก่อนจะหวีดร้องขึ้นสุดเสียงจนเกือบเป็นลมล้มพับ ใจดวงน้อยแทบแตกสลายเมื่อเห็นร่างที่นอนจมกองเลือดแน่นิ่งไปต่อหน้าต่อตา

“นายกอง!”

พวกโจรรีบปรี่เข้าไปหมายจะยิงซ้ำเป็นครั้งที่สอง สบโอกาสที่จันทร์หล้าดิ้นหลุดออกและโดดเข้าป้องร่างของชายคนรักไว้ได้ทัน นางรีบยกมือไหว้ขึ้นเหนือหัวพลางร้องขอต่อชีวิต ร่ำไห้จวนใจจะขาด ก่อนจะหันไปกอดกระชับร่างใหญ่ที่นอนไม่ไหวติงเอาไว้อย่างแนบแน่น เลือดไหลทะลักออกจากท้องเขาไม่ขาดสายลมหายใจรวยรินจวนใกล้จะหมดลง

“นายกอง! นายกองตื่นขึ้นมา!…”

แม้จันทร์หล้าจะตะโกนเรียกคนรักเท่าไร แต่ก็ไม่เป็นผล อีกทั้งพวกโจรก็ยังปรี่จะเข้ามาฉุดกระชากลากนางออกไป หญิงสาวหันไปแข็งขืนตัวฮึดขึ้นสู้ เหวี่ยงทั้งหมัดทั้งกำปั้น สะบัดสะเปะสะปะ

คาดไม่ถึง หนึ่งในคนเถื่อนหวดด้ามปืนฟาดเสยเข้าตรงศีรษะคนไม่มีทางสู้อย่างไร้ความปรานีเสียงด้ามปืนหวดเข้าตรงขมับดังโพละเหมือนเสียงคนเอาค้อนทุบตีโอ่งน้ำจนแตก

อนิจจา ร่างหญิงสาวผู้โชคร้ายสะบัดตามแรงฟาด ตกลงไปนอนด่าวดิ้นกับพื้นด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส จอตาพลันดับมืดลงไปชั่วขณะ…เลือดสีแดงอุ่นๆ ไหลทะลักอาบฉาบเต็มใบหน้า แสบชาทางขมับด้านขวาเป็นบาดแผลแตกเหวอะหวะอ้าออกฉกรรจ์ เจ็บปวดร้าวรานไปทั้งซีกหน้า ถึงจะพยายามทานตัวเองจนลุกขึ้นมาได้ แต่สุดท้ายก็ต้องเซถลาตกลงไปนอนฟุบอยู่กับพื้นอยู่ดี

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งฟุ้งมากับไอชื้น สติสัมปชัญญะค่อยๆ วูบขาดจางหาย…

ก่อนห้วงสติจะขาดลงไป สำนึกสุดท้ายของหญิงสาวยังคงตั้งมั่นมองหาคนรัก ร่างใหญ่ที่นอนฟุบจมกองเลือดไม่ไหวติงตรงหน้านั้น ทำเอานางกรีดร้องสะอื้นไห้จนแทบบ้าคลั่งในห้วงอุรา พยายามรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีไขว่คว้า แต่ทุกอย่างก็กลับหมุนเคว้ง และมืดดับลงไปในที่สุด…

 

“นายกอง!”

คนนอนขดหดหนาวอยู่ภายใต้ผ้าห่มสะดุ้งเฮือกลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางค่ำคืนอันเหน็บหนาว ก่อนจะลุกพรวดขึ้นนั่งกลางเรือนด้วยความตกใจปนเหนื่อยหอบ ดวงตาที่กำลังปรับม่านขยายแสงมีน้ำรื้น
อยู่ตรงขอบ กวาดตามองไปรอบๆ อย่างสั่นๆ

กระทั่งเมื่อเห็นว่าตนไม่ได้อยู่ในสถานที่เดียวกันกับที่ปรากฏในความฝัน หญิงสาวก็จึงยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อที่แตกพลั่กเต็มหน้าผาก แต่ทว่า เมื่อลองนั่งนิ่งๆ อยู่สักพัก เพื่อกลับไปย้อนคิดทบทวนถึงเรื่องราวความฝันอันฟุ้งซ่าน ก็พบว่าทั้งหมดมันคือเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นกับตน…ในอดีต

พอนึกได้อย่างนั้นแล้วก็พลันรู้สึกเจ็บปวดซ้ำตรงรอยแผลเก่า เหมือนนึกเจ็บเอาเอง เหมือนฝันมันย้ำแผลใจ จันทร์หล้ายกมือขึ้นกุมขมับ น้ำตาไหลพราก

นายกอง…ครูราช

อากาศหนาวของค่ำคืนในเมืองหมอกใหม่ทำหญิงสาวเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส ตั้งแต่เดินทางมาที่นี่ จันทร์หล้าเอาแต่รำลึกถึงความหลังบ่อยครั้งขึ้นและถี่ขึ้น จนคล้ายเป็นภาพหลอน เป็นหูแว่ว

แผลที่เกิดจากการถูกทำร้ายครั้งนั้นแตกลึกลงไปจนถึงกะโหลกด้านใน หญิงสาวใช้เวลารักษาตัวอยู่นานพอสมควรกว่าบาดแผลจะสมาน ครั้นพอแผลกายหายดีแล้วก็ต้องมารักษาแผลใจต่อ ท่านหมอที่รักษาไข้บอกว่าจิตใจของนางเองก็ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักไม่ต่างจากแผลภายนอก และอาจจะไม่ปกติเหมือนเดิมนับจากผ่านเรื่องเลวร้ายมา…หรือบางครั้งอาจจะมีอาการทางจิตคิดเป็นภาพหลอนเกิดขึ้นอยู่บางครา จึงให้นางต้องคอยระวังหมั่นทานยา และอย่าปล่อยใจคิดฟุ้งซ่านไปเอง

ผู้อื่นกระซิบกระซาบป้องปากนินทาลับหลังว่านางเป็นคนบ้า เป็นคนจิตใจฟั่นเฟือน แต่มีเจ้านายเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เคยบอกว่า หากเกิดเห็นภาพหลอนหรือไม่สบายใจขึ้นมาคราใด ขอให้นางบอกท่าน

ในที่สุดจันทร์หล้าก็ตัดสินใจลุกออกมาจากเรือนนอน ก่อนจะวิ่งฝ่าอากาศหนาวออกไปด้านนอกมีเพียงผ้าตุ้มผืนเก่าห่มคลุมไหล่บางๆ

ฝันร้ายอีกแล้ว…ฝันถึงตอนนั้นซ้ำๆ

ปาดน้ำตาอาลัยอาวรณ์ถึงเรื่องวันวานความหลัง ที่ใครบางคนมาบรรจงสร้างรอยรักสลักในใจ เพียงไม่นานเขาก็มาด่วนตายจากไป ที่สำคัญ เขาตายเพื่อปกป้องนาง เพราะคำร้องของนางที่ขอให้เขาพาหนี

ข้ามันคนบ่ดี ข้านี่แหละคนบาป เป็นคนบาป เป็นผีเปรตที่ด่าทอพ่อแม่ ทั้งยังเอาชีวิตผู้มีพระคุณมาทิ้งกลางทาง เขาตายจากไปแต่ร่างกลับกลายเป็นซากให้สัตว์ป่ากัดแทะเป็นอาหาร ช่างไร้ค่า ข้าสมควรตายแทนเขา…ชีวิตเขามีค่ามากกว่าข้าด้วยซ้ำ ข้ามันคนเห็นแก่ตัว ไหว้พระธาตุร้อยรอบกรรมที่ทำก็คงไม่บรรเทาเบาบาง สิ่งที่จะนำข้าตกนรกมอดไหม้หรือขึ้นสวรรค์ได้คือการกระทำหลังจากการไหว้พระ นั่นข้าก็รู้

อโหสิกรรมให้ข้าเจ้าด้วยเถิดนายกอง…

…พระธาตุเวียงอินทร์เจ้าเอ๋ย ข้าเจ้าคนบาปได้มาไหว้สาท่านด้วยสวยดอกและเครื่องหอม แต่เหตุใดพระธาตุถึงยังบ่ยอมพาวิญญาณที่น่าสงสารดวงนั้นกลับขึ้นเมืองฟ้าไปเสียที ไยถึงปล่อยให้เขาต้องมาตายวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในห้วงความฝันของข้าเจ้าอยู่ได้ จิตใจข้าแหลกสลายซ้ำแล้วซ้ำอีกจนแทบบ่เป็นผู้เป็นคน ไยตอนนั้นคนที่ตายถึงบ่เป็นข้าเจ้าหนอ ไยถึงต้องเป็นนายกอง พระธาตุเวียงอินทร์เจ้าเอ๋ย…

คนมีความหลังฝังใจร่ำไห้น้ำตานองหน้าขณะวิ่งไปพลาง รู้ตัวอีกที ก็พบว่าตนเองมายืนปาดน้ำตาอยู่หน้าเรือนพักของเจ้านายเสียแล้ว

ตรงหน้าประตูไม่มีทหารยามยืนเฝ้า หญิงสาวจึงถือวิสาสะเปิดประตูเรือนเข้าไปในยามวิกาล

เจ้าสะอาดองค์ทรงกำลังบรรทมหลับอย่างสนิทอยู่บนเตียงนอนที่ตั้งอยู่กลางห้องโถงบนชั้นสอง เห็นดังนั้นจันทร์หล้าจึงค่อยๆ ย่องมานั่งปาดน้ำตาอยู่ตรงปลายเตียงท่านอย่างเบาเสียง ครู่หนึ่งนางรองบาทที่นอนเฝ้าอยู่ตรงหน้าเตียงสะดุ้งพรวดตื่นขึ้นมาร้องว้าย เจ้านายที่บรรทมหลับอยู่จึงพลอยตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ก่อนจะมองไปยังร่างเงาตะคุ่มๆ ที่นั่งซุ่มอยู่ในมุมมืด

“นั่นผีหรือคนนั่งอยู่ตรงนั้น”

“จันทร์หล้าเองบาทเจ้า” ขานรับอย่างสุภาพ ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวออกปรากฏต่อเบื้องหน้าเจ้านายผู้สูงศักดิ์ด้วยความรู้สึกผิด

“จันทร์หล้าหรอกหรือ ข้าเสียขวัญหมด”

“กะนึกว่าเป็นผี” นางรองบาทเจ้านายกล่าวอย่างอกสั่นขวัญแขวน น้ำเสียงยังไม่หายตกใจ

“ผีที่ไหนกันพี่คำส่า นี่คนชัดๆ”

“บ่รู้ละ ก็สูมามืดๆ หนิ ข้าเห็นกะนึกว่าเป็นผีน่ะสิ สูทำข้าขนหัวลุกไปหมดแล้ว”

“เข้ามาบ่ให้สุ้มให้เสียง สูนี่บ่ดีเลย” เจ้านางท่านเอ็ดสมทบ

“ข้าขออภัยเจ้าอามบาทเจ้า เห็นว่าทุกคนกำลังหลับอยู่ ข้าเลยบ่อยากเสียงดัง”

“บ่ควรทำแบบนี้อีกเน่อ คราวหน้าสูจะเข้ามายามวิกาลตามอำเภอใจแบบนี้บ่ได้อีก จะนอนกับข้าสูก็ต้องเข้านอนพร้อมข้า จะมาเข้าๆ ออกๆ อย่างนี้ได้ยังไง ยิ่งข้าสั่งทหารยามละเว้นจากหน้าที่ไปแล้ว ใครเห็นสูเข้าออกเรือนได้ง่ายๆ จะเข้าใจผิดคิดว่าประตูเรือนบ่มีกลอน เข้าใจหรือบ่เข้าใจ”

“เข้าใจบาทเจ้า” หญิงรับใช้รับคำเสียงสลด หากแต่ไม่คิดเคืองใจคำเอ็ดของเจ้านายตน เพราะยามปกติเจ้านายท่านจะใจดีกับนาง แม้ครั้งนี้น้ำเสียงท่านออกจะจริงจังกว่าทุกครั้งก็ตามที

“แล้วนี่ หนาวขนาดนี้ ไยสูบ่หาซุกนอนผ้าอุ่น หือ ตื่นขึ้นมาทำไม”

“ข้าเจ้านอนบ่หลับบาทเจ้า”

“นอนบ่หลับ?” นางรองบาทเจ้าชายาโพล่งเสียงสูง ทวนเหตุผลที่หญิงสาวตอบออกมาได้อย่างหน้าซื่อตาใส “…นอนบ่หลับ ก็เลยเดินออกจากโรงนอนมาหาเจ้าอามเนี่ยนะ อี่คนผีบ้า สติฟั่นเฟือนไปหมดแล้วหรือไง”

เจ้าสอาดองค์ทรงกระแอมหนึ่งครั้งเมื่อข้ารับใช้คนสนิทของท่านพูดแบบนั้น ว่าแล้วก็จึงหันไปสั่งสาวใช้อีกคนให้ไปหาเทียนสักเล่มเอาไปจุดตั้งไว้ในห้องโถงของอีกฟาก สักพักหนึ่งในเรือนก็มีแสงไฟสว่างขึ้น

จันทร์หล้าเดินตามหลังเจ้านายมานั่งลงกับพื้น ส่วนท่านนั่งบนโซฟา ก่อนที่นางจะหันไปหยิบผ้าห่มมาห่มปรกหน้าตักให้เจ้านาย

“ไหนๆ ข้าก็ตื่นแล้ว สูบ่หลับบ่นอน ข้าก็จะใจดีอยู่เป็นเพื่อนคุยกับสูอีกสักหน่อย…แล้วสูนี้เล่าไยถึงว่านอนบ่หลับ เปลี่ยนที่นอนใหม่หรือว่าดีใจที่ใกล้จะได้กลับแสนฟ้า ก็เลยนอนบ่หลับ”

“ก็ส่วนหนึ่งบาทเจ้า”

“เมื่อตอนหัวค่ำ ที่ว่ามาขอข้าไปแอ่วงานปอยที่ตลาดกับนางม่อนหอม เป็นอย่างไรบ้างล่ะ มันพาสูไปเที่ยวดูอันใดมาบ้าง ไหนเล่าสู่ข้าฟังที”

“ม่อนหอมพาข้าไปดูขบวนชาวบ้านช่วยกันแห่เทียนต้นเกี๊ยะไปถวายกันที่วัดบาทเจ้า พอได้เดินตามขบวนชาวบ้านไป ก็เลยได้พากันไปจุดเทียนเล่นไฟที่วัดใกล้ๆ กับตลาด ได้เห็นพวกชาวบ้านปล่อยโคมลอย เห็นพวกพระหน้อยสามเณรออกมาจุดไฟเทียนพันเล่มกับชาวบ้าน เสร็จแล้วก็พากันไปดูฟ้อนโตกับฟ้อนนก”

“เท่านั้นเองหรือ”

“แล้วก็…ไปดูม่านจ๊าดที่โรงมหรสพ ม่อนหอมบอกว่าเป็นคณะละครชื่อดังของเมืองนี้”

“อ้อ คณะละครของนางมยินท์มิ่นน่ะสิ ก็ฟังดูรื่นเริงดี…ข้าบ่ยักกะรู้ว่าสูฟังภาษาม่านออก”

“ฟังรู้เรื่องบ้าง บ่รู้เรื่องบ้าง อาศัยม่อนหอมแปลให้ฟังบาทเจ้า ถึงจะเข้าใจเนื้อเรื่องทั้งหมด”

“ม่อนหอมมีพ่อเป็นคนม่าน มีแม่เป็นคนไททางเฮา เกิดมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ปากก็เป็นสำเนียงม่านก่อนจะพูดภาษาไทด้วยซ้ำ บ่แปลกที่นางจะใช้ภาษาทางพ่อได้คล่อง”

เจ้าสอาดองค์ลอบเห็นความหมองหม่นที่คลุมเครืออยู่บนดวงหน้าเยาว์ก็ทรงถอนหายใจ ท่านไม่ได้ตื่นมานั่งตรงนี้เพียงเพราะสะดุ้งตื่นแล้วไม่ง่วง แต่เพราะท่านรู้ว่าจันทร์หล้าต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ดูเอาจากที่นางเดินดุ่มๆ เข้าหาท่านกลางดึกอย่างนั้นได้ และที่ท่านชวนนางคุยสัพเพเหระเรื่อยเปื่อย ก็เพราะอยากให้หญิงสาวผ่อนคลายสบายใจ ว่าแล้ว ท่านก็ให้นางลุกไปหยิบกระเป๋าผ้าที่วางอยู่ตรงหน้าตู้เก็บเครื่องเรือนมาให้ที

“ช่วงนี้…สูยังฝันร้ายอยู่ไหม”

หญิงสาวพยักหน้า “ยังฝันอยู่บาทเจ้า”

“ฝันเป็นเรื่องราวเดิมๆ อย่างที่สูเคยฝัน ที่เคยเล่าให้ข้าฟังทุกครั้งน่ะหรือ”

“เป็นเรื่องเดิมบาทเจ้า”

ถึงว่าล่ะ เจ้าชายาคิดไว้แล้วในใจ “แล้ว…สูยังกินยาแก้โศกที่หมอกุปป้าให้มาสม่ำเสมอดีอยู่หรือไม่ หรือว่าขาดกินยาไปแล้ว”

“ยังบ่ขาดบาทเจ้า ยังกินตามท่านหมอสั่งสม่ำเสมอ ยาที่ได้มาครั้งก่อนหน้านั้น ก็ยังบ่ทันหมด”

“เอ…ยาก็ยังบ่ทันหมดนี่นา แล้วไยถึงว่ายังฝันร้ายอยู่อีก…แต่ก็เอาเถอะ ไว้กลับไปที่แสนฟ้าแล้วสูคงต้องไปหาหมอท่านอีกครั้งเน่อ บ่อย่างนั้นจะบ่หายขาด หรืออาจต้องกลับเข้าไปรักษาตัวที่โรงยาหลวงกันอีกสักรอบ”

“คนเขาว่าข้าเป็นคนบ้าเพราะจิตใจข้าบ่ปกติ เจ้านางว่าข้าจะเป็นบ้าจริงๆ ไหมบาทเจ้า”

“สูบ่ได้บ้าจันทร์หล้า ใครจะว่าสูเป็นบ้าก็บ่ดีไปถือสา ฟังที่ข้านี้ผู้เดียว…” คนนั่งด้านบนโซฟากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “…สูเพียงเพิ่งผ่านเรื่องราวร้ายๆ มาเท่านั้น ภาพจำเหล่านั้นมันเลยยังฝังอยู่ในจิตใจสู แม้จะยังบ่ได้เล่าให้ข้าฟังทั้งหมด แต่ข้าก็พอรู้ว่าสูต้องผ่านเรื่องราวร้ายๆ มามาก สูต้องสงสารตัวเองหนา บ่ดีไปคิดมากกับคำว่าของคนอื่น”

ว่าแล้ว เจ้านางท่านก็หยิบด้ายสายสิญจน์ออกมาจากกระเป๋าผ้าปักดิ้น ก่อนจะผูกเข้าที่ข้อมือหญิงสาว พลางบริกรรมคาถา เสร็จแล้วก็จึงเป่าว่า หายเพี้ยง โอม สวาหะ…

“ตอนนั้นข้าคงใกล้ตายเต็มที จริงๆ ข้าเองก็ควรจะตายไปแล้วเสียด้วยซ้ำ”

“นั่นก็เป็นเพราะมีคนเขาอยากให้สูอยู่อย่างไงเล่า เขายังบ่อยากให้สูตาย”

“ใครหรือบาทเจ้า”

“คนที่ช่วยสูมา”

ว่าแล้วท่านก็ประคองจันทร์หล้าให้เอาหัวมาพาดหนุนนอนบนหน้าตักของท่าน เรียวนิ้วมือบางยกลูบไล้ไปตามรอยแผลเป็นเหนือกกหู เคล้าคลึงคลายความเจ็บปวดอย่างนุ่มนวล หญิงสาวผู้โหยหาความรัก ร่ำไห้อย่างน่าเวทนา นางคิดถึงแม่ของตน คิดถึงจนสุดหัวใจ นางเคยหนุนนอนตักแม่แบบนี้มาก่อน

“เจ้านางเป็นผู้ชุบชีวิตข้าไว้โดยแท้ ตอนนี้ข้ามีแต่เจ้านางเพียงคนเดียวเป็นที่ตั้ง”

“ข้าเองเคยคิดที่จะถามไถ่ไล่เลียงที่มาของสู แต่พอเห็นว่าสูเองก็หาใช่คนเถื่อนเสียทีเดียว ก็ได้แต่คิดเพียงว่า เมื่อไหร่ที่สูพร้อมจะเล่า สูก็คงจะเล่าให้ข้าฟังเองดอกกระมัง”

เจ้านางยังคงลูบศีรษะจันทร์หล้าไปมาอย่างอ่อนโยน

“ข้าเห็นสูครั้งแรกที่โรงยาหลวง สภาพสูตอนนั้นบ่ต่างอันใดกับนกปีกหัก ร่างกายซูบผอมจนเห็นแต่กระดูกเพราะถูกไข้ป่ากิน แถมที่หัวยังมีแผลใหญ่ แขนขาสูมีแต่รอยฟกช้ำถลอกปอกเปิกเต็มไปหมด คิดดูเอาเถิด ขนาดร่างกายสูยังแทบทานรับไว้บ่ไหว แล้วสูคิดหรือว่าจิตใจสูจะชื่นบาน ที่สูเศร้าหมอง ที่สูเอาแต่เห็นภาพหลอนไปมา มันบ่ใช่เรื่องแปลก สูบ่ใช่คนบ้า สูแค่บ่สบาย จำคำข้าไว้”

หญิงรับใช้ได้ยินดังนั้นก็ปาดน้ำตา รู้สึกเหมือนได้น้ำทิพย์มาชโลมใจ…เจ้าสอาดองค์ เจ้าแม่พระผู้แสนอารีเหมือนเทวีมาโปรด

“ความทรงจำของข้ามันบิดเบี้ยวไปแล้ว ขาดๆ หายๆ บางครั้งก็รู้สึกคล้ายว่าฟุ้งซ่าน”

“บ่เป็นไร ขอเพียงยามใดที่สูฝันร้ายก็ขอให้สูมาหาข้า หรือยามใดที่สูคิดถึงพวกคนที่สูจากมา ก็ให้สูมาหาข้าเหมือนกัน ข้าเป็นแม่ของสูนับแต่นี้ สูจะบ้าหรือจิตใจสูจะเพี้ยนไป สูก็เป็นลูกสาวของข้า”

“เจ้านางเมตตาข้าเจ้าเหลือเกินบาทเจ้า”

“จันทร์หล้าเอ้ย ความหลังครั้งเก่าพวกนั้น ลืมได้ให้ลืมมันเสีย เก็บมันไว้ก็บ่ดีมีแต่จะเป็นทุกข์เปล่าๆ ให้มันเป็นชีวิตที่เคยผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเถอะหนา สูยังอ่อนยังหน้อย ชีวิตยังต้องเจอวันข้างหน้าอีกมาก”

“ข้าเจ้าขอไหว้สาน้ำใจเจ้านาง”

“ใช่ข้าคนเดียวที่ไหนที่สูควรจะซึ้งใจขอบคุณ ยังมีคนผู้หนึ่งที่สูควรสำนึกถึงบุญคุณเขาด้วยเช่นกัน”

“ใครหรือบาทเจ้า” หญิงสาวยกหัวขึ้นมาจากตักเจ้านางท่าน ถามอย่างแปลกใจ

“ก็คนที่พาสูมาส่งโรงยานั่นแหละ” เจ้าชายาทรงถอนหายใจ ตรัสไปต่อ “เขานี่แหละ คนที่ช่วยชีวิตสูไว้ตัวจริง เขาเองเป็นคนร้องขอให้ข้าช่วยอุปการะสู คืนนั้นหลังจากส่งสูถึงมือหมอแล้ว เขามาพบข้า เอ่ยฝากสูไว้กับข้า”

“เขาเป็นคนที่ช่วยข้าออกมาจากที่นั่นหรือบาทเจ้า” จันทร์หล้ายังไม่หายแปลกใจ

“เขาจะช่วยสูมาจากที่แห่งใด ข้าเองก็บ่รู้แน่ชัดนักหรอก อาจจะช่วยมาเป็นทอดๆ หรือไปช่วยอยู่ระหว่างทางอย่างไรก็บ่ทราบ เขามาแบบเร่งรีบ รีบมาฝากสูแล้วก็รีบจากไป แต่ก่อนจะไป เขาเน้นย้ำกับข้าว่าบ่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้ ข้าเองก็บ่ทราบเจตนาแน่ชัดที่เขาสั่งแบบนั้น แต่ก็คิดว่าเขาคงมีเหตุผล”

เจ้านางส่งยิ้มให้แก่คนนั่งปาดน้ำตาเบื้องล่าง “เอาละ…สูกลับไปนอนเอาแรงเสียเถิด อยู่เที่ยวเล่นที่นี่กันต่ออีกสักสามสี่คืน แล้วเฮาค่อยกลับแสนฟ้ากัน เจ้าปลาคงจะบ่นคิดถึงเฮาทุกวันแน่ๆ”

“ข้าเจ้าก็คิดถึงแสนฟ้า คิดถึงเจ้าปลา ก่อนออกจากเมืองมา เจ้าปลายังอ่านหนังสือให้ข้าฟังยังบ่ทันจบเรื่อง บอกว่าจะรอจนข้ากลับไปก่อน ท่านถึงจะยอมอ่านหนังสือเรื่องนั้นอีกที”

“หนังสืออันใด”

“หนังสือที่หมอกุปป้าให้เจ้าหญิงท่านฝึกอ่านออกเสียงบาทเจ้า”

“เจ้าปลาก็อีกคนที่เจ็บป่วย แต่โชคดีได้สูอยู่ดูแลเอาใจ อาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่จึงพลอยทุเลา”

“แถมบ่นาน เจ้าปลาก็จะหายดี”

“หายสิ หายแน่…เจ้าปลาหายแล้ว สูก็ต้องหายด้วยหนา”

ครั้นแล้วจันทร์หล้าจึงได้กราบลาเจ้าชายาเพื่อกลับไปยังเรือนพัก พร้อมกับความฝันที่ปลุกปั่นให้นางต้องตื่นขึ้นมากลางดึกนั้น ก็ค่อยๆ มลายจางหายไป

เจ้าสอาดองค์เป็นเสมือนที่พึ่งทางใจ เป็นแสงสว่างจ้าในยามราตรี ความโอบอ้อมอารีและการที่เข้าใจในสภาวะอารมณ์ที่จันทร์หล้ากำลังเผชิญและเป็นอยู่ เป็นสิ่งที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกถึงหัวใจได้รับการเยียวยา

ว่าแต่ว่า ผู้มีพระคุณอีกคนนั้น เขาเป็นใคร…

พอจันทร์หล้าเริ่มนึกย้อนกลับไป ภาพเหตุการณ์ในหัวก็เริ่มตีกันอย่างโกลาหลยุ่งเหยิง

ในตอนนั้น หลังจากที่พวกโจรทำร้ายนางและพรากนางมาจากนายกอง จันทร์หล้าก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในซ่องโจรบนยอดเขา ที่นั่นเป็นโรงเรือนหลังใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่หลังหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงตรงเขตชายแดน เสียงจ้อกแจ้กจอแจของสำเนียงภาษาที่ไม่คุ้น โรงเรือนที่เต็มไปด้วยหญิงสาวที่ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว กลิ่นเหม็นหืนและควันฟุ้งของฝิ่นที่ลอยคลุ้งติดเสื้อผ้า…

ที่นี่เมืองหาง เขตรัฐไทคำหลวง

ใช่…ที่นั่น เมืองหาง

 



Don`t copy text!