นิราศรักสองนครา บทที่ 13 : เรื่องดีและร้ายภายในหนึ่งวัน

นิราศรักสองนครา บทที่ 13 : เรื่องดีและร้ายภายในหนึ่งวัน

โดย : ปรียนันทนา

นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้  จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co

 

ท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ของสองสามีภรรยาเมื่อแรกก้าวเข้ามาในอาณาเขตบ้านลานดูผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อได้เห็นด้วยตาว่าสถานที่นัดหมายและจะเป็นถิ่นพำนักของบุตรสาวคนเดียวนับแต่วันนี้เป็นต้นไปร่มรื่นน่าอยู่แลดูไม่เหมือนบ้านเจ้าขุนมูลนายที่นายฉ่ำเคยพบเจอ  อาจเพราะนายผู้หญิงของบ้านผู้เป็นภรรยาขุนนางระดับคุณพระมีอาชีพค้าขายมาแต่เดิมทำให้ความเจ้ายศเจ้าอย่างและระเบียบในบ้านไม่ได้เคร่งครัดเช่นบ้านขุนนางผู้อื่น  หากแต่เป็นไปในลักษณะบ้านผู้มีอันจะกินในย่านค้าขายอันเป็นศูนย์รวมผู้คนที่เดินเข้าออกขวักไขว่ตลอดวัน

ไม่นานนักนายฉ่ำและครอบครัวก็ถูกพาตัวไปบนเรือนซึ่งมีโชติและมารดานั่งรออยู่แล้ว  นายฉ่ำและนางทองก้อนยกมือไหว้หญิงผู้อาวุโสกว่าผู้มีใบหน้าประพิมประพายคล้ายกับโชติ  ส่วนหญิงสาวผู้ที่พวกเขาได้พบเมื่อวานมีสีหน้าแววตายินดียิ่งเมื่อสบตากับกลอยผู้นั่งขนาบมารดาตนเองไม่ห่าง

“นายฉ่ำแลแม่ทองก้อน  ลูกสาวฉันเล่าเรื่องให้ฟังแล้ว  มิต้องเป็นกังวลดอก  แม่โชติเขาเป็นคนมีน้ำใจ  รับปากว่าจะดูแลแม่กลอยเยี่ยงไรก็เป็นไปเยี่ยงนั้นแหละนะ”

“ขอรับ”  แม้ว่าผู้หญิงตรงหน้าไม่ได้มีท่าทางอวดอำนาจบาตรใหญ่หากแต่กิริยาวาจายามเอื้อนเอ่ยที่น่าเกรงขามก็ทำให้นายฉ่ำสงบปากสงบคำได้มากกว่าเมื่อวาน

“แม่กลอย  ปีนี้อายุเท่าใด”  นางแสงหันไปสนใจเด็กหญิงหน้าตาคมคายผู้มีแววว่าเติบโตไปจะเป็นที่สะดุดตาชายหนุ่มเป็นแน่

“กำลังจะสิบสี่เจ้าค่ะคุณท่าน  ปีหน้าก็สิบห้าแล้ว”  เด็กหญิงตอบแววตาสดใสท่าทางมั่นใจแม้ยังประหม่าอยู่บ้างแต่บรรยากาศบนเรือนนี้ทำให้เธอแน่ใจว่าจะใช้ชีิวิตต่อไปได้อย่างราบรื่น

“มาอยู่ที่นี่ก็มิต้องทำสิ่งใด  คอยอยู่เป็นเพื่อนกับแม่โชติเขาก็พอ  งานการที่บ้านนี้มีคนทำเพียงพอแล้ว  เข้าใจใช่ไหมจ๊ะ”  เจ้าของบ้านส่งยิ้มให้กลอยอย่างใจดี

“เจ้าค่ะ”

“ส่วนเรื่องการไถ่ตัวนั้นหากมีเมื่อใดก็มารับตัวแม่กลอยกลับคืนไปได้  ฉันมิได้หวงห้าม  แลหากคิดถึงลูกก็มาเยี่ยมเยียนได้เสมอ”

นางแสงหันไปบอกบิดามารดาเด็กหญิงอย่างมีเมตตาโดยเฉพาะฝ่ายนางทองก้อนนั้นเธอตั้งใจเป็นพิเศษที่จะทำให้มารดาของกลอยคลายกังวลเพราะได้รับการบอกเล่าจากโชติว่าตัวนางทองก้อนนั้นหาได้ประสงค์ให้ขายลูกสาวแลกเงิน  แต่จนใจด้วยผู้เป็นสามีมีหนี้สินมากมาย  การต่อรองระหว่างสามีภรรยาจึงเกิดขึ้นและจบลงที่การนำตัวกลอยมาไว้ที่เรือนนี้

“ขอบพระคุณท่านเหลือเกินเจ้าค่ะ  คุณโชติมีเมตตาต่อกลอยจริง ๆ เจ้าค่ะ”  นางทองก้อนหันไปประนมมือไหว้หญิงสาวและมารดาอย่างซาบซึ้ง

“น้ามิต้องกังวลไปนะจ๊ะ  ฉันจะดูแลกลอยตามที่รับปาก”

เด็กหญิงลอบมองใบหน้าผู้มีบุญคุณกับเธออย่างชื่นชม  ในความคิดของเด็กหญิงพี่โชติเป็นคนใจดีและเป็นผู้หญิงที่ต่างจากหญิงสาวคนอื่นในพระนคร  ด้วยว่าเธอช่างมีอิสระในการกระทำและมีความคิดสมัยใหม่  อาจเพราะคลุกคลีกับครูแหม่มผู้มีความคิดว่าเด็กหญิงควรได้รับการศึกษาเพื่อหาเลี้ยงชีพจะได้ไม่ต้องพึ่งพาใครยามเติบโตไปภายหน้าก็เป็นได้  ยิ่งกลอยมาเห็นบ้านช่องของพี่โชติและมารดาของเธอแล้วยิ่งกระจ่างแจ้งแก่ใจว่าเหตุใดพี่โชติของเธอจึงเป็นหญิงสาวผู้แตกต่างจากผู้ใดในพระนครเยี่ยงนี้

 

ตรงข้ามเตียงนอนขนาดใหญ่ในห้องนอนของหญิงสาวมีเบาะรองนอนยัดนุ่นอย่างดีวางอยู่  แรกทีเดียวบ่าวในบ้านนำเพียงผ้าห่มปูนอนแบบบางและหมอนหนุนแข็ง ๆ มาวางไว้เพื่อให้กลอยใช้เป็นที่นอน  แต่โชติต้องลงไปกำชับใหม่ว่าจะจัดมุมหนึ่งในห้องของตนเองเป็นที่นอนของเด็กหญิงมิใช่ให้มานอนเช่นบ่าวเฝ้านาย  เมื่อทำความเข้าใจกันดีแล้วแม้จะใช้เวลานานแต่ก็ได้ที่นอนอย่างดีสมใจผู้เป็นนาย  ทั้งยังเป็นที่แปลกใจผู้มาใหม่ไม่น้อยด้วยคิดว่าตนเองเป็นเพียงผู้ติดตามคงไม่จำเป็นที่พี่โชติจะใส่ใจหาที่นอนหมอนมุ้งอย่างดีมาให้

“พี่โชติไม่ต้องจัดที่นอนแลของใช้อย่างดีให้ฉันดอกจ้ะ  ฉันอยู่อย่างไรก็ได้”  เด็กหญิงออกตัวอย่างเกรงใจ

“มิได้ดอก  อย่าลืมว่าแม่กลอยมิใช่บ่าวแต่เป็นคนสนิทของพี่  อยู่ด้วยกันเช่นนี้ไปก่อนหากโตกว่านี้พี่จะบอกให้แม่ขยับขยายห้องให้เสียใหม่”

“ฉันมิรู้จะตอบแทนพี่โชติแลคุณท่านทั้งสองเยี่ยงไรที่ช่วยให้ฉันพ้นจากการเป็นเมียท่านขุน”  สีหน้าของเด็กหญิงยังประหวั่นเมื่อเอ่ยถึงเรื่องเก่า  แต่เพียงครู่เดียวกลอยก็สลัดความรู้สึกเหล่านั้นออกไปแล้วหันมาสนใจพี่สาวแสนใจดีของเธอ  “ว่าแต่วันพรุ่งฉันต้องทำสิ่งใดบ้างจ๊ะ”

“เราก็ไปบ้านครูอย่างไรเล่า  แต่หากเสร็จจากที่นั่นแล้วพี่อาจต้องเข้าไปพบคุณป้า  หายหน้ามาหลายวันทางนั้นคงบ่นถึงแย่แล้ว  กลอยก็ไปกับพี่นะ”

“คุณป้าของพี่โชติที่เป็นคุณหญิงแลเป็นสะใภ้ท่านเจ้าคุณกลาโหมใช่ไหมจ๊ะ”  กลอยส่งเสียงเจื้อยแจ้วสดใสขณะลำดับความทรงจำที่เธอเคยได้ยินโชติเล่าให้ฟัง  เด็กหญิงถือว่าจากนี้ไปทุกเรื่องของหญิงสาวตรงหน้าจะมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

“แลพี่โชติต้องไปนอนที่เรือนท่านหรือไม่จ๊ะ”  กลอยจำได้ว่าหญิงสาวเคยเล่าว่าเธอมักไปนอนค้างที่บ้านคุณป้าเสมอ

“พรุ่งนี้คงจะยังมิได้ค้าง  แต่หากไปวันใดกลอยก็ต้องไปกับพี่แหละจ้ะ”

“ได้ยินว่าบ้านท่านใหญ่โตเชียว  ใช่ไหมจ๊ะ”  กลอยตื่นเต้นตามประสาเด็ก

“ใช่จ้ะ  เป็นตึกใหญ่ปลูกในละแวกเดียวกันกับบ้านท่านเจ้าคุณกลาโหม  ไม่ไกลจากวัดประยุรวงศาวาส”

“ฉันอยากเห็นจริง”  กลอยนั่งฟังตาแป๋วอย่างเพลิดเพลิน  หากเพียงครู่เดียวก็มีเสียงเอะอะนอกห้องจนทำให้ทั้งสองคนสะดุ้งตกใจ

“เสียงพวกบ่าวตะโกนอยู่หน้าเรือน  มีเหตุใดกัน  กลอยอยู่ที่นี่แหละ  เดี๋ยวพี่จะลงไปดู”

“ฉันไปด้วยจ้ะพี่โชติ”  เด็กหญิงลุกปราดเดียวก็มายืนหน้าประตูแล้วรีบเปิดให้โชติอย่างกระตือรือร้น

“เอะอะอันใดกันพวกเอ็ง”  นางแสงลุกออกจากห้องมาพร้อมกับบุตรสาวพอดี  นางส่งเสียงถามบ่าวที่อยู่ตรงหน้าบ้านผู้กำลังยืนมองไปทางท่าน้ำของวัด

“มีโจรขอรับ  เขาว่ามาทางวัด  กำลังช่วยกันจับอยู่”

“คุณพ่อยังไม่กลับหรือจ๊ะแม่”  หญิงสาวเดินไปจับแขนมารดาไว้พลางถามถึงบิดาอย่างร้อนใจ

“เพิ่งถึงเมื่อครู่  กำลังผลัดผ้าอยู่เดี๋ยวคงออกมา”  เธอบอกบุตรสาวอย่างกังวล

“คุณพ่อ”  สิ้นคำของมารดา  พระนรินทรราชเสนาผู้เป็นบิดาก็ก้าวออกจากหอนอน  เขามองตรงมายังบุตรสาวและเด็กหญิงผู้ยืนอยู่ข้างหลัง  กลอยรีบทำความเคารพผู้เป็นนายใหญ่ของบ้าน  ก่อนที่อีกฝ่ายจะส่งเสียงสั่งการบ่าวผู้ชายอย่างแข็งขันขณะก้าวลงจากเรือน  โดยไม่วายหันมากำชับภรรยาและบุตรสาว  “แม่แสงกับแม่โชติอยู่แต่บนเรือน  มิต้องลงไป  เข้าใจไหม”

“ค่ะ”  สตรีสองคนรับคำอย่างพร้อมเพรียงพลางหันมามองหน้ากันอย่างกังวลว่าจะมีเหตุร้ายแรงแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะต้องจัดการเรื่องให้เรียบร้อยได้เป้นอย่างดี

“กลอย  กลับเข้าห้องไปเถิด  พี่จะอยู่กับแม่ตรงนี้เอง”

“ฉันอยู่กับพี่โชติแลคุณท่านดีกว่าจ้ะ  มีเหตุใดจะได้ช่วยกัน”  แววตากล้าหาญเด็ดเดี่ยวทำให้โชติต้องยอมในน้ำใจของเด็กหญิง  ทั้งสามนั่งตรงหอนั่งซึ่งมีบ่าวผู้หญิงอีกสองสามคนอยู่ด้วย

เวลาผ่านไปครู่เดียวหากก็เนิ่นนานในความรู้สึกของหญิงสาว  เสียงเอะอะรอบบริเวณบ้านเงียบลงแปรเปลี่ยนเป็นเสียงฝีเท้าของใครหลายคนที่กำลังมุ่งหน้ามาที่เรือนโดยมีพระนรินทรราชเสนาเดินนำมา

“จับได้แล้วหรือคุณพี่”  นางแสงเอ่ยขณะที่กำลังลงจากเรือนไปยังลานโล่งชั้นล่างอย่างรวดเร็ว  โชติและกลอยเดินตามไปติด ๆ อย่างอยากรู้

“ได้แล้ว”  คุณพระเบี่ยงตัวให้เห็นบ่าวผู้ชายผู้กำลังคุมตัวชายหน้าตาซื่อเนื้อตัวขะมุกขะมอมราวกับไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน  “แม่โชติ  พ่อบอกมิให้ลงจากเรือนอย่างไรเล่า”  เขาบ่นบุตรสาวอย่างไม่จริงจังนัก

“ลูกอยากรู้นี่คะว่ามีขโมยจริงหรือไม่”

“ฉันมิใช่ขโมยนะ”  เสียงแผ่วเบาหากฟังดูองอาจของชายผู้ถูกกดให้นั่งลงบนพื้นดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด

“หากมิใช่เหตุใดจึงย่องเบาไปเอาอาหารในโรงครัวไปแถมทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ในเขตวัดเล่า”  บ่าวผู้ชายสาธยายพฤติกรรมของอีกฝ่ายราวกับตาเห็นทั้งที่ความจริงเพียงได้ยินชาวบ้านบอกต่อ ๆ กันมา

“ฉันยังมิทันได้หยิบสิ่งใด  เพียงแต่เดินเข้าไปเท่านั้น  ก็คนไม่ได้กินข้าวน่ะ  กะว่าจะมาขอข้าววัดกินสักหน่อย”  เขานั่งลงอย่างอ่อนใจในโชคชะตา

“เอ็งชื่อไรฤา”  เจ้าของบ้านฝ่ายชายถามด้วยน้ำเสียงเมตตาด้วยว่ารู้สึกได้ถึงความไม่มีพิษภัยของชายตรงหน้า

“ฉัน  เอ๊ย  กระผมชื่อเทิดขอรับ  มาจากปากแพรก”  โชติพิจารณาลักษณะการแต่งกายของชายตรงหน้าที่แสดงอัตลักษณ์ของเชื้อชาติญวนก็พอจะรู้ว่าเขาพูดจริงแต่สิ่งที่คาใจคนในบ้านคงเป็นสาเหตุของการมาอยู่ที่นี่แบบไม่มีที่มาที่ไปมากกว่า

“แล้วเอ็งมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด”  คำถามมารดาของหญิงสาวราวกับจะรู้ความในใจของเธอเป็นอย่างดี

“กระผมเดินทางมาเพื่อหาญาติที่อยู่แถวบ้านญวนในพระนคร  มีญาติที่อพยพมาเป็นพวกเข้ารีตอยู่ที่นี่  ส่วนบ้านของกระผมถือพุทธจึงตั้งรกรากอยู่ที่ปากแพรกขอรับ  ตัวกระผมเกิดที่นั่นแต่พ่อแม่เป็นคนอพยพมา  ตอนนี้ทำการค้าขายอยู่แถวปากแพรกขอรับ”  เขาบรรยายประวัติตนเองอย่างละเอียด

“ปากแพรก  เมืองกาญจน์น่ะหรือ”  โชติถามอย่างสนใจด้วยรู้ว่าตั้งแต่แผ่นดินก่อนมีการกวาดตอนชาวญวนเขามาในสยาม  โดยชาวญวนที่นับถือศาสนาคริสตใหไปตั้งบานเรือนที่สามเสน  สวนชาวญวนที่นับถือศาสนาพุทธนั้นในหลวงทรงใหตั้งบานเรือนอยู่เมืองกาญจนบุรีเพื่อรักษาปอมปราการเมืองกาญจนบุรีใหมที่เพิ่งสรางขึ้น

“ขอรับ”

“มาตามหาญาติเหตุใดจึงทำตัวเยี่ยงคนเร่ร่อนเช่นนี้เล่า  รู้ไหมว่าทำเอาชาวบ้านเข้าใจผิดคิดว่าเอ็งเป็นขโมย”  นางแสงตั้งข้อสังเกตอย่างระแวง

“คือว่ากระผม”  แววตาชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นลังเลราวไม่แน่ใจว่าจะเล่าเรื่องที่พบเจอมาดีหรือไม่  ด้วยว่าเขาค่อนข้างมั่นใจว่าชายท่าทางน่าเกรงขามในเรือนนี้ต้องเป็นขุนนางยศศักดิ์ใหญ่โตเป็นแน่  และจากประสบการณ์ที่เทิดได้เจอมาเกี่ยวกับขุนนางนั้นทำให้เขาระแวงว่าจะเจอคนไม่ดี  เขาจึงยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเปิดเผยเรื่องตนเองมากกว่านี้ดีหรือไม่

“เอาละ  หากยังมิอยากเล่าก็มิเป็นไร  ฉันว่าพามันไปพัก  หาข้าวหาปลาให้กินเสียดีหรือไม่  วันพรุ่งค่อยมาทวนความว่าจะเอาเยี่ยงไรต่อไป  แลจะพามันไปเรือนพ่อพร้อมเพื่อตามหาญาติมัน  ดีหรือไม่แม่แสง”

พระนรินทรราชเสนาผู้เป็นเจ้าของเรือนเอ่ยเสียงเรียบทว่าเด็ดขาดในที  กระแสเสียงที่มีความปรานีทำให้เทิดรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง  ได้ยินเช่นนี้เขาจึงมั่นใจที่จะเปิดเผยสาเหตุที่เขาต้องเดินทางมาที่นี่ในวันพรุ่งให้ท่านผู้นี้รับทราบ  การมาขออาศัยอยู่กับญาตินั้นไม่ได้ไร้ที่มาที่ไปเพราะเขาก็มิได้ลำบากหรือขัดสนสิ่งใดเมื่อยู่ปากแพรก  หากแต่เหตุที่ต้องมานั้นเพราะเขาเข้าไปรู้เห็นการกระทำบางอย่างของคนบางคนที่ไม่น่าเกิดขึ้น

ทั้งตัวเขายังเป็นคนที่บุคคลผู้นั้นเพ่งเล็งให้พ้นไปจากชีวิตอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอีกด้วย

 



Don`t copy text!