เวียงวนาลัย บทที่ ๕ มิตซ่ากุลาเผือก “ฝรั่งต้นคอแดง”

เวียงวนาลัย บทที่ ๕ มิตซ่ากุลาเผือก “ฝรั่งต้นคอแดง”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

อาหารค่ำจัดเตรียมแล้วอย่างพรักพร้อมบนโต๊ะที่ทำมาจากไม้สักใหญ่กว้างเพียงแผ่นเดียว หญิงสาวยังหน้าซีดเซียวเมื่อนั่งแปะลงบนเก้าอี้ ประจำที่ครบแล้ววิลเลียมก็ยังไม่ให้สัญญาณเริ่ม หันไปถามแขกรับใช้ที่ยืนคอยบริการด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“เมืองกับมุ่ยอยู่ไหน รู้หรือเปล่าว่าถึงเวลาดินเนอร์แล้ว”

เบ็ตตี้ทำหน้าเบื่อหน่าย กำลังอารมณ์ดีว่ามื้อนี้ปราศจากเงาของสองพี่น้อง วิลเลียมก็ถามขึ้นมาจนได้ ซ้ำลีรอยยังสำทับขึ้นมาอีกคน

“นั่นสิ หรือว่ายังโกรธพวกเราเรื่องเมื่อบ่ายนี้”

ไม่มีใครให้คำตอบได้ นายแขกรับใช้ก็ได้แต่ยกมือส่ายหน้ากลอกตาไปมาว่าตนก็ไม่รู้เรื่องเช่นกัน วิลเลียมจึงลุกจากเก้าอี้ ปาผ้าเช็ดมือลงบนโต๊ะอย่างหัวเสียด้วยกิริยาที่เบ็ตตี้คิดว่าทำไมวิลเลียมต้องฉุนเฉียวถึงขนาดนี้ กะอีแค่สองพี่น้องไม่มาร่วมโต๊ะ

“ตั้งใจจะขอบคุณเสียหน่อย ก็มาทำงอนกันอย่างนี้” หันไปเค้นเอากับแขกยาม “ไม่รู้จริงๆ รึว่าเขาอยู่ที่ไหนกัน”

“ฉันไม่รู้จริงๆ จ้ะ ปักกาซาอิบ เห็นครั้งสุดท้ายก็ตอนเดินไปกับพวกคนงาน ซาอิบจะให้ฉันไปดูที่เรือนพักคนงานไหมจ๊ะ”

“ไม่ต้องหรอก ฉันไปดูเอง” ว่าจบวิลเลียมก็ก้าวฉับๆ ออกไปทันที

ลีรอยลุกตาม ครั้นได้ยินเสียงเก้าอี้เบ็ตตี้ขยับกำลังจะลุกขึ้นอีกคนก็รีบดักไว้ก่อน

“เธอไม่ต้องตามไปหรอก คอยอยู่ที่นี่” หางเสียงติดจะรำคาญนิดหน่อย แต่ลีรอยก็สะกดประโยคต่อไปมิให้พ้นริมฝีปากออกมาว่า…เธอไปด้วยเดี๋ยวก็มีเรื่องอีก แค่นี้ก็ชวนปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว

 

เรือนพักคนงานเป็นกระท่อมปลูกอย่างง่ายเพียงใช้อาศัยหลับนอนป้องกันลมฝนได้ก็เพียงพอ เพราะเมื่อต้องเข้าป่าไปสำรวจไม้ บางครั้งหลายวันก็ต้องไปตั้งแคมป์ในป่า หรือช่วงชักลากไม้ลงแม่น้ำก็มีที่พักปลูกไว้ริมฝั่ง เรือนพักคนงานแต่ละแห่งจึงเป็นเหมือนที่พำนักชั่วคราว เวียนอยู่ไปตามรอบปีของการทำไม้

เสียงร้องเล่นและโห่ฮาอย่างครื้นเครงดังนำมาก่อนที่วิลเลียมและลีรอยจะเดินเข้าไปถึง ไฟกองใหญ่จุดไว้ตรงกลาง คนงานนั่งล้อมกันเป็นวง บ้างนั่งบนพื้น บ้างนั่งบนขอนไม้ใหญ่ ปรบมือไปตามจังหวะดนตรี ‘สองพี่น้อง’ ก็นั่งรวมอยู่ในกลุ่มนั้น สีหน้าร่าเริงเบิกบานใจ วิลเลียมเดินเข้าไปยืนต่อหน้า พลันเสียงบรรเลงเฮฮาก็หยุดลง

“ถึงเวลากินข้าวแล้ว ไม่รู้หรือไงว่าทำให้คนอื่นเขาคอย”

มุ่ยลอยหน้าตอบ หาได้คิดว่าเป็นความผิดของตนไม่

“ท้องบ่ได้ติดกันนี่ ไผหิวก็กินไป หรือถ้าจะหิ้วท้องรอจนไส้ปุด ก็เป็นเรื่องของคนอดข้าว บ่ใช่ปัญหาของเฮา”

“มุ่ย!” วิลเลียมเสียงเข้มแล้วพลันอ่อนลง “สูมาเต๊อะ…ขอโทษด้วย”

หันไปทางพี่ชายของหญิงสาวให้ช่วยเกลี้ยกล่อมอีกทาง วิลเลียมรู้ว่าที่สองพี่น้องไม่ยอมไปร่วมโต๊ะด้วยเป็นความคิดของมุ่ย

“เมือง…พูดกับมุ่ยที ฉันอยากขอโทษแต๊ๆ และมีของให้มุ่ยแทนคำขอบคุณด้วย”

สีหน้าเมืองลำบากใจด้วยรู้ว่านายห้างสำนึกจริง แต่น้องสาวของตนก็ดื้อน้อยเสียที่ไหน ลีรอยแตะที่หลังมือชายหนุ่มเบาๆ ส่งสายตาเป็นเชิงขอร้องอีกคนหนึ่ง

“ช่วยวิลเลียมหน่อยเถอะนะ”

ยังไม่ทันที่เมืองจะได้เกลี้ยกล่อมน้องสาว มุ่ยก็ดักคอไว้เสียก่อน

“บ่ไป…เรื่องอะหยังเฮาจะพลาดมื้อวิเศษวันนี้”

วิลเลียมมองตามสายตาของมุ่ยไปยังกลุ่มคนงาน การรวมกลุ่มวันนี้มิใช่การพักผ่อนหลังเลิกงานอย่างธรรมดา แต่มันคล้ายการฉลองในวาระพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง หน้าตาบางคนก็แดงก่ำฟ้องว่ากระดกสุราไปแล้วหลายอึก กับแกล้มพรักพร้อม

“เฮาก้าย…เบื่อ ขนมปังมันอะลู…มันฝรั่ง กับซุปบะฟักแก้ว…ซุปฟักทอง” มุ่ยบอกเหตุผล “สาบนม สาบเนย…เอียน”

“ถ้าอย่างนั้นก็แบ่งอาหารที่นี่ไปขึ้นโต๊ะ คนที่นี่กินอะไรฉันก็จะกินด้วย” ออกคำสั่งแล้วหันมาทางไอ้ตัวร้าย “ทีนี้คงหมดข้ออ้างจะกลับไปดินเนอร์ด้วยกันแล้วนะ”

“ได้…” มุ่ยลากเสียงหลิ่วตาที่วิลเลียมคิดว่าไม่ค่อยน่าไว้ใจ แต่ก็ยังไม่เห็นทางใดจะดึงตัวไอ้จอมแสบกลับไปได้ จึงต้องเอออวยตามมันไปก่อน

“แบ่งกับข้าวไปขึ้นโต๊ะนายห้าง ตักมานักๆ” มุ่ยกำชับให้ตักมากๆ ในขณะที่เมืองอ่านแผนการของน้องสาวออกทะลุปรุโปร่ง จึงท้วงนายห้างทั้งสอง

“มันดิบนานายห้าง จะกินได้กา”

มุ่ยตวัดตาคมมายังพี่ชายแล้วหันไปสั่งคนที่กำลังแบ่งกับข้าว ‘ดิบ’ ใส่จานว่า

“เอาไปผัดหื้อสุกจานนึง แล้วยกไปตั้งโต๊ะนายห้างเวยๆ เฮาหิวข้าวไส้จะปุดละ” ว่าจบ คนหิวข้าวจนไส้จะขาดก็เดินนำคนมาตามกลับไปที่ตึกออฟฟิศ แสร้งร้องครวญครางมือกุมท้องไปพลาง

“หิวโว้ย…หิวข้าวโว้ย…หิวข้าวไส้จะปุดแล้วโว้ย…”

 

อาหารของพวกคนงานที่วิลเลียมสั่งให้แบ่งมาขึ้นโต๊ะเป็นเนื้อดิบคลุกกับเครื่องเทศกลิ่นฉุนโรยด้วยต้นหอมซอยที่เบ็ตตี้เห็นแล้วแทบจะเบือนหน้าหนี แต่ลีรอยบอกว่าไม่น่าจะต่างกับสเต๊กตาตาร์หรือเซวิเช่เท่าไร เพราะเป็นเมนูดิบเช่นกัน

“เราต้องมาใช้ชีวิตที่นี่อีกนาน คนงานกินอะไร เราก็ควรกินเหมือนเขา” วิลเลียมหันไปสั่งเมือง “จากนี้ไปทุกเย็น คนงานทำอะไรกินกัน ก็ขอปันมาขึ้นโต๊ะด้วย”

เมื่อไม่มีใครว่าอย่างไรอีกวิลเลียมก็ให้สัญญาณเริ่มรับประทานอาหาร เขาตัก ‘ยำเนื้อดิบ’ เป็นสิ่งแรกเพราะรู้ว่ามุ่ยจับตามองเขม็งว่าเขาจะรักษาคำพูดหรือไม่ ลีรอยทำตาม มีเพียงเบ็ตตี้เท่านั้นที่ไม่ยอมแตะต้อง จนวิลเลียมคะยั้นคะยอให้ชิมจานที่ผัดจนสุกหญิงสาวถึงยอมชิมไปหนึ่งคำ รสชาติของเครื่องเทศที่ผสานเข้าไปในเนื้อดิบดับกลิ่นคาวกลายเป็นรสชาติที่จัดจ้านแต่หยุดตักไม่ได้ ทั้งที่เบ็ตตี้ไม่นิยมอาหารรสจัด รู้ตัวอีกทีก็เมื่อ ‘ยำเนื้อ’ ทั้งดิบและสุกหมดเกลี้ยงจาน จึงต้องอาศัยซุปฟักทองเป็นตัวบรรเทาความเผ็ด แม้จะเป็นการกินที่ผิดธรรมเนียมตะวันตกก็ตาม

มุ่ยยิ้มกว้างตาพราว วิลเลียมก็หันมาสบตาตรงๆ ส่งแทนคำพูดว่า…ฉันบอกแล้วว่าฉันรักษาสัญญา

วิลเลียมหยิบของสิ่งหนึ่งส่งให้มุ่ย อันที่จริงมันวางอยู่บนโต๊ะตั้งแต่แรก มุ่ยได้กลิ่นของมันตั้งแต่เข้ามา แต่มิได้สนใจเพราะใจมุ่งเอาชนะเรื่องยำเนื้อมากกว่า

“กลิ่นมันหอมมาก หาตั้งนานว่าอยู่ตรงไหน จนพบว่ามันบานอยู่บนคาคบไม้สูงโน่น” ทั้งน้ำเสียงและท่าทางของวิลเลียมบอกให้รู้ว่าสูงจริงๆ

“เอื้องแซะ…” มุ่ยบอกทันทีที่เห็นเพียงผ่านๆ แต่มั่นใจเพราะกลิ่นหอมแรงเป็นเอกลักษณ์ของเอื้องชนิดนี้ “นายห้างไต่ขึ้นไปเก็บมาเองกา”

“แน่นอนสิ ฉันอยากตอบแทนที่มุ่ยช่วยชีวิตฉัน ฉันสังเกตมาหลายทีแล้วว่าเวลามุ่ยเกล้าผมจะต้องมีดอกไม้แซมประดับอยู่เสมอ พอดีได้กลิ่นดอกเอื้องนี้ เลยปีนขึ้นไปเก็บมาให้”

น้ำเสียงมุ่ยคล้ายจะอ่อนลงเมื่อเอ่ยเล่า

“นายห้างรู้ก่ เอื้องแซะนี้ขึ้นอยู่เฉพาะบนที่สูง และเป็นเอื้องป่าหายาก เจ้าหลวงทางเหนือนี้ใช้เอื้องแซะถวายเป็นเครื่องบรรณาการแด่กษัตริย์สยาม มีค่าเทียมคำ…ทอง เลยเน่อ”

“ถ้าเอื้องแซะนี้มีค่าเทียมทองคำเช่นเจ้าว่า ก็เหมาะสมแล้วที่ฉันจะเก็บมาให้มุ่ย แทนคำขอบคุณ”

วิลเลียมยื่นส่งให้ คราวนี้มุ่ยไม่อิดออดที่จะเอื้อมมือมารับพร้อมกล่าวขอบคุณ

“ยินดีเน่อ”

วิลเลียมยิ้มเต็มหน้า หันมาเผื่อแผ่ไปยังพี่ชายของมุ่ยด้วย

“ขอบคุณเมืองด้วยเช่นกัน แล้วอย่าลืมเรื่องที่เราสั่ง ยำเนื้อของคนงานวันนี้ลำขนาด…อร่อยมาก”

สีหน้าเมืองก้ำกึ่งระหว่างแหยและพิพักพิพ่วนเมื่อถามกลับไปว่า

“ลำแต๊ๆ กา นายห้าง”

“แต๊ก่ะ…ฉันพูดจริงๆ นะ ไม่รู้ว่าเนื้ออะไร ฉันคิดว่าเป็นเนื้อไก่ แต่ไม่ว่าจะเป็นเนื้ออะไร ถ้าคนงานกินได้ ฉันก็กินได้” ว่าแล้วก็หันไปขอคำรับรองจากเพื่อน “จริงไหมลีรอย”

“แล้ว…เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อบ่าย” เบ็ตตี้ถามไม่เต็มเสียงเพราะภาพชวนขนลุกยังติดตามิอาจสลัดให้พ้นได้ ขดเชือกสีดำเส้นใหญ่ม้วนบิดอย่างทุรนทุรายก่อนที่ร่างของมันจะสงบนิ่ง “คนงานเอาไปทิ้งหรือฝังไว้ที่ไหน”

“จะทิ้งทำไมให้เสียดายของ” มุ่ยโพล่งขึ้นมาทันควัน “รู้ไหมว่านั่นน่ะของดี”

คิ้วเรียวลู่มาแทบจะชนกัน หากเบ็ตตี้ก็ยังไม่คลายสงสัย

“พวกคนงานจัดการมันยังไง”

“ก็แบ่งกันไปแกงบ้าง ลาบบ้าง ที่นายแหม่มกับนายห้างกินเข้าไปนั่นละ เสียดายนายแหม่มกินแต่จานสุก ถ้ากินดิบนะ เด็ดกว่าเยอะ เนื้อหวานอย่าบอกไผเลย จริงไหมนายห้าง”

เบ็ตตี้อ้าปากค้าง มองจาน ‘ยำเนื้อ’ ที่บัดนี้ว่างเปล่าเพราะทั้งหมดอยู่ในท้อง

วินาทีต่อมาหล่อนก็อาเจียนออกมาโพรกใหญ่ ขนลุกชันไปทั้งร่าง รู้สึกสยองผวาไปตลอดทั้งคืน

มุ่ยแอบกลั้นหัวเราะที่แผนการของตนสำเร็จ วิลเลียมส่งสายตามาบอกว่าเขารู้ทัน มุ่ยก็ลอยหน้าทำไม่รู้ไม่ชี้ ส่งสายตากลับไปว่า…รู้แล้วจะทำไม

มิสเตอร์โรเจอร์ย้ำวิลเลียมและลีรอยอยู่เสมอว่าอย่าเล่นหัวกับพวกคนงานพื้นเมืองมากนัก เพราะถ้าพวกนี้คิดว่าตนเองสนิทสนมกับนายห้างก็จะพลอยหาเรื่องรักสบาย ไม่ทำงาน แต่ขอค่าจ้างเต็มจำนวน

‘พวกนี้เหมือนลาโง่ คิดอะไรไม่เป็น ต้องมีคำสั่งอย่างเดียวเท่านั้น’

สามสี่วันที่ผ่านมานี้วิลเลียมพอจะเห็นเค้าแต่ก็ยังไม่เหมาว่าเป็นความจริงตามอย่างที่มิสเตอร์โรเจอร์บอก เพราะฝ่ายนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าแรงงานชาวพม่าก็วางท่าข่มจนคนงานทั้งหลายกลัวลาน แต่หาได้หวั่นเกรงจริงจังไม่ ส่วนที่ว่าพอเห็นเค้าก็เพราะช่วงนี้ยังไม่ถึงเวลาเข้าไปตรวจไม้ในป่า แรงงานขมุและพม่าที่อยู่ในเขตของบริษัทก็ทำงานเล็กๆ น้อยๆ เช่น ผ่าฟืน จักตอก หรือซ่อมแซมอุปกรณ์ทำไม้ ซึ่งมิได้ดูขะมักเขม้นจดจ่อมากนัก ในวันต่อมาคนงานเกือบทั้งหมดก็หายไป กว่าคนงานจะกลับมาอีกทีก็สองวันหลังจากนั้น

เมืองชี้แจงกึ่งแก้ต่างให้คนงาน

“ญาติของคนงานคนหนึ่งตาย เขาเลยไปช่วยงานปอย” งานปอยในความหมายของคนถิ่นนี้คืองานศพ หาใช่งานปอยที่แปลว่างานรื่นเริงไม่

“ต้องยกโขยงกันไปทั้งหมดนี่เลยหรือ ถ้าจะแสดงความเสียใจ ก็ไปแค่วันฝังก็ได้” วิลเลียมแสดงความคิดเห็นออกไป มุ่ยที่รู้ว่านายห้างต้องคิดเช่นนี้คอยทีอยู่แล้วจึงโต้แย้ง

“พวกเขาไปช่วยนี่ นายห้างบ่คิดว่าเป็นการแสดงน้ำใจต่อกันหรอกรึ คนเมืองเฮานี้ สืบสายกันไปมาก็เทือกเถาเหล่าตระกูลเดียวกัน เป็นญาติพี่น้องกัน ไผตายไปสักคนก็เหมือนญาติพี่น้องตนตายไปนั่นละ”

“เรื่องแบบนี้คงเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ นายห้างเตรียมใจไว้เต๊อะ วันใดถ้าคนงานหายไปทั้งปาง ก็รู้ไว้ว่าญาติไผสักคนตาย เขาพร้อมจะสวะ…ละทิ้งงาน ไปช่วยงานปอยได้ทุกเมื่อ” เมืองบอกเป็นเชิงให้เตรียมใจไว้ล่วงหน้า

ในวันนี้เมื่อรับอาหารเช้าแล้ว วิลเลียมจึงออกมายืนสำรวจรอบบริเวณของบริษัทหรือสถานีป่าไม้เพื่อตัดสินใจว่าจะเริ่มเข้าไปสำรวจไม้ในป่าที่ได้สัมปทานเมื่อไรดี ปัญหาของบริษัทที่มีกับบริษัทหลุยส์ก็พอจะรู้บ้างแล้ว แต่รอฟังรายละเอียดจากมิสเตอร์อีแวนเดอร์ก่อนน่าจะดีกว่า

แรงงานชาวพม่าและขมุหิ้วน้ำจากแม่น้ำวังมาใส่ในภาชนะด้วยอาการเอื่อยเฉื่อย จะกี่รอบก็ไม่สน จะเต็มเมื่อไรก็ช่างมัน ส่วนคนที่ผ่าฟืนก็นานๆ ทีจะเงื้อขวานขึ้นสับลงที่ท่อนไม้ราวคนไร้เรี่ยวแรง

วี้ด…วี้ด…

เสียวเป่าปากดังขึ้นแล้วก็เป่าส่งต่อกันไปเป็นสัญญาณ ครู่เดียวภาพคนงานที่เฉื่อยชาก็แข็งขันกระฉับกระเฉงขึ้นมาราวกับได้ยาวิเศษเติมกำลัง ลีรอยและเบ็ตตี้ขยับเข้ามาสมทบพลางถามในสิ่งที่ต่างก็ไม่มีใครตอบได้

“เกิดอะไรขึ้น”

คำตอบปรากฏในนาทีต่อมาในรูปของชาวอังกฤษวัยกลางคนร่างสูงหน้าตาดุดันจนเกือบเป็นถมึงทึงเปลือยเท้าเดินย่ำหนักๆ ตรงเข้ามาที่ออฟฟิศ วิลเลียมเห็นว่ายามใดที่ร่างนี้กรายผ่าน คนงานจะยิ่งแข็งขันขึ้นอีกเท่าหนึ่ง จนกระทั่งเขาเข้ามาใกล้ จึงเห็นใบหน้าและต้นคอแดงก่ำเพราะกรำแดด มิใช่เพราะฤทธิ์สุรา เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ชวนพิศวง เพราะแทนที่จะใส่เสื้อและกางเกงสีทรายสวมบูตหนังถึงเข่า ชายผู้นี้กลับนุ่งคิลท์สีแดงลายตารางแบบอย่างการแต่งตัวของชาวไอริชหรือสกอตแลนด์ และน่าพิศวงจรดปลายเท้าก็คือ เขาเดินเท้าเปล่าอย่างไม่สะทกสะท้านต่อความร้อนและกร้านของพื้นดินเลย

หยุดต่อหน้ากับหนุ่มสาวสามคน ชายเท้าเปลือยต้นคอแดงก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงอันดังราวตะคอก ทั้งที่อยู่ห่างกันไม่กี่ฟุต

“ผู้จัดการคนใหม่สินะ คนไหนวิลเลียม คนไหนลีรอย”

คนถูกถามโดยฉับพลันแนะนำตัวราวเด็กกำลังถูกครูปกครองไต่สวนเพื่อพิจารณาความผิด

“แล้วคนนี้ใคร ภรรยาของใคร” เขากวาดตาไปยังเบ็ตตี้แล้วถามชายหนุ่มทั้งสองที่อ้อมแอ้มปฏิเสธทั้งคู่ เขาจึงขมวดคิ้ว “มาได้ยังไง เราไม่ได้รับพนักงานหญิง”

เมืองกับมุ่ยที่อยู่เรือนพักคนงานวิ่งกระหืดกระหอบมารับหน้าเมื่อคนงานส่งสัญญาณผิวปากและตะโกนบอกกันว่า…นายฝรั่งคอแดงมาแล้ว นายฝรั่งคอแดงมาแล้ว

“นายห้างอีแวนเดอร์…” เมืองทักทายทั้งที่ยังหอบ คนทั้งหมดจึงรู้ทันทีว่าชายแปลกหน้าท่าทางประหลาดนี้เป็นใคร “มีเหตุอันใดหรือเปล่า นายห้างจึงกลับมาก่อนเวลาที่กำหนด”

“ไม่มีอะไร ฉันแค่คิดว่านัดหมายหยุมหยิมพวกนั้นไม่สำคัญ และฉันก็ไม่รู้ว่านายห้างคนใหม่จะมาถึงเมื่อไหร่ ฉันเบื่อการคุย คุย คุย อยากรีบเข้าป่าไวๆ แล้วเรื่องที่ฉันฝากบอกไว้ เธอบอกนายห้างคนใหม่หรือยัง”

มิสเตอร์อีแวนเดอร์หรือ ‘นายฝรั่งคอแดง’ ที่คนงานตั้งสมญาให้ซักไซ้เมืองด้วยภาษาถิ่นที่ฝึกฝนจนใช้ได้คล่องแม้สำเนียงจะแปร่งปร่าไปบ้าง ในขณะที่ตลอดการสนทนา เมืองใช้ภาษาอังกฤษ เพราะมิสเตอร์อีแวนเดอร์กำชับและถือเป็นระเบียบในการสื่อสารระหว่างกัน

ครั้นเมืองแจ้งว่าเขาได้ชี้แจงรายละเอียดบางส่วนแก่นายห้างวิลเลียมและลีรอยแล้ว มิสเตอร์อีแวนเดอร์ก็พยักหน้าแรงๆ เป็นเชิงรับรู้และพอใจ แต่ก็ย่นคิ้วตำหนิตอนท้าย

“ภาษาอังกฤษของเธอดีขึ้นนะเมือง แต่บางคำยังติดสำเนียงค็อกนีย์ แก้ไขด้วย ฉันไม่นิยม” อบรมทั้งงานและลูกศิษย์ในเรื่องภาษาแล้วจึงวกกลับมาที่หญิงสาวชาวอังกฤษเพราะยังไม่ได้ความกระจ่าง

“ตกลงว่าแม่คนนี้เป็นภรรยาของใคร”

เสียงใสตอบเป็นภาษาอังกฤษ

“แหม่มเบ็ตตี้ยังไม่ใช่ภรรยาของนายห้างคนใด แต่เป็นคนรักของนายห้างวิลเลียม”

ทุกหน้าหันไปหามุ่ยที่ตอบคำถามอย่างไม่เกรงกลัวกุลาเผือกร่างใหญ่ เบ็ตตี้พอใจกับคำตอบของสาวน้อยทว่าวิลเลียมย่นคิ้วมองตาขวางแต่ก็ไม่แก้ไขอย่างใดเพราะไม่มีโอกาส

“อ้อ…เช่นนี้เอง” อีแวนเดอร์มองหนุ่มสาวชาวอังกฤษส่งสายตาว่าเขาเข้าใจถึงแรงรักของหนุ่มสาวที่อยู่ในห้วงรักแล้วมีเหตุให้ต้องพรากจากกันโดยไม่อาจรู้ได้ว่าจะพานพบกันอีกเมื่อไร “ก็ดีแล้ว อีกไม่นานคงได้ฉลองงานวิวาห์ของเธอ ตอนนี้ช้างชักจะมากขึ้นทุกที เราควรควบคุมช้างเกิดใหม่เสียมั่ง” ว่าจบเสียงหัวเราะก็ดังขำขันอยู่คนเดียวโดยที่คนอื่นไม่รับรู้ด้วยว่าจำนวนช้างเพิ่มหรือลดนี้มันชวนหัวตรงไหน คนเดียวที่เข้าใจเรื่องนี้คือเมืองแต่ไม่อาจอธิบายได้ในตอนนี้

“แล้วแม่สาวคนนี้เป็นใครกัน ภาษาอังกฤษของเธอใช้ได้ทีเดียว” มิสเตอร์อีแวนเดอร์วกกลับมาที่มุ่ย

“มุ่ยเป็นครูสอนภาษาให้ผมครับ เธอเรียนมาจากมิสซิสสจ๊วต”

“อ้อ…” คำตอบรับเพียงคำเดียวนั้นเกินพอที่จะไม่ต้องสรรหาคำอธิบายเพิ่มเติมว่าสาวน้อยบ้านป่าหน้าตาหมดจดคนนี้มีภูมิหลังเป็นมาอย่างไร พลันเขาก็นึกได้ว่าคุ้นเคยจึงหรี่ตาลงราวพิจารณาตุ๊กตากระเบื้องเนื้อดี “ฉันคิดว่า คุ้นหน้าเจ้าอย่างไรบอกไม่ถูก”

“คุ้นเพราะตามติดพี่หนูกระมังเจ้า” มุ่ยตอบฉาดฉานไม่กลัวเกรง…พี่หนูที่หญิงสาวอ้างถึงนั้นก็คือภรรยาชาวพื้นเมืองของมิสเตอร์อีแวนเดอร์

“ใช่แล้ว! จริงด้วย ฉันนึกออกแล้วแม่หนูน้อย” โดยที่ไม่มีใครทันตั้งตัว หนุ่มใหญ่ในชุดอย่างสกอตก็โผเข้าไปรวบร่างหญิงสาว “เธอโตไวมากจนฉันจำแทบไม่ได้”

อารามตกใจ ทั้งวิลเลียมและเมืองก็ปราดเข้าไปช่วยแกะมุ่ยให้พ้นจากอ้อมแขนของมิสเตอร์อีแวนเดอร์ หากเขาก็ยังไม่หยุดรุกคืบ

“หนูพูดถึงเธออยู่ทุกวันว่าคิดถึง ไม่ได้การละ ฉันต้องทำเซอร์ไพรส์ภรรยาสุดที่รักของฉันเสียวันนี้” มิสเตอร์อีแวนเดอร์คิดและสั่งการรวดเร็ว “เธอไปเก็บเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้แล้วไปที่บ้านฉัน ถ้าหนูพบเธอคงจับตัวคุยกันทั้งวันทั้งคืนไม่จบแน่ เฮ้ย! ไอ้คนข้างล่างน่ะ เตรียมม้าให้ตัวหนึ่ง ข้าจะพาแม่สาวน้อยคนนี้กลับบ้าน”

“ไม่ได้นะครับ!” วิลเลียมโพล่งขึ้นมาทันที “มุ่ยเป็นครูของผม และวันนี้เราก็มีบทเรียนที่ต้องทบทวนกัน”

มิสเตอร์อีแวนเดอร์ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างสบอารมณ์

“โอ้…พ่อหนุ่มน้อย ฉันจะบอกวิธีลัดในการเรียนภาษาถิ่นให้เธอ เพียงแค่เธอหาเมียสักคนเป็นคนที่นี่ ขี้คร้านแค่เดือนเดียวเธอจะด่าภาษาถิ่นได้ปร๋อเลยเชียว แต่เอ๊ะ…เธอมีสวีตฮาร์ตติดตามมาด้วยนี่นะ” ว่าแล้วก็หันไปทางเบ็ตตี้ “บางทีหนูคงต้องมอบบัตรสีชมพูไว้ให้พ่อหนุ่มน้อยบ้าง ใจกว้างสักหน่อย แล้วชีวิตของเธอจะราบรื่น”

ไม่มีใครเข้าใจความหมายในคำพูดของอีแวนเดอร์ แต่ยามนี้สิ่งที่ต้องทำก็คือกันท่าให้ถึงที่สุด มิอาจปล่อยให้อีแวนเดอร์ทำตามอำเภอใจโดยไม่เห็นหัวใครเช่นนี้

วิลเลียมขัดใจอยู่อย่างเดียวที่เจ้ามุ่ยทำตัว ‘ว่าง่าย’ เสียเหลือเกิน ในขณะที่ทุกคนหาทางช่วยปกป้องสวัสดิภาพของเจ้าหล่อน มุ่ยกลับหันหลังจะเดินไปทางเรือนพักคนงาน วิลเลียมจึงเรียกด้วยเสียงทั้งแข็งและเขียว

“จะไปไหน!”

“ไปเก็บผ้า นายห้างบ่ได้ยินที่เปิ้นบอกกา”

“ได้ยิน แต่ฉันไม่อนุญาตให้เธอไป” บอกแล้วก็หันมาทางคนออกคำสั่ง “ถ้าจะไปที่บ้านมิสเตอร์ ผมคิดว่าเราควรไปด้วยกันทั้งหมดนี่ ผมมีข้อสงสัยในบัญชีของปางไม้หลายเรื่องต้องการคำปรึกษา โดยเฉพาะเรื่องที่เรามีปัญหากับบริษัทหลุยส์”

“ถ้าฉันบอกว่าขัดข้อง…” มิสเตอร์อีแวนเดอร์แกล้งยั่วลองใจ

“นั่นก็เป็นปัญหาของท่าน แต่ถ้าครูของผมต้องไปกับท่าน พวกเราก็จะไปด้วยกันทั้งหมด”

มิสเตอร์อีแวนเดอร์ยักไหล่อย่างไม่เห็นว่าเป็นปัญหา กระเซ้ากลับไปพร้อมตบบ่าเบาๆ

“เลือดร้อนไฟแรงเชียวนะ นายห้าง”

และในขณะเดียวกันก็แอบปรายตามองเบ็ตตี้พลางนึกสงสารเจ้าหล่อนที่ตอนนี้จะรู้ตัวหรือไม่ว่า หัวใจของชายหนุ่มที่หล่อนติดตามข้ามน้ำข้ามทะเลมานั้นไม่ได้อยู่ที่หล่อนอีกแล้ว

 

มื้อค่ำวันนี้เต็มไปด้วยอาหารพื้นเมืองที่หนู…ภรรยาของมิสเตอร์อีแวนเดอร์กับมุ่ยช่วยกันทำจัดมาในสำรับขันโตกนั่งล้อมวงกินร่วมกัน มิสเตอร์อีแวนเดอร์นั้นหากลบภาพฝรั่งร่างใหญ่ผิวขาวต้นคอแดงออกไปแล้ว กิริยาท่าทีทั้งหมดก็ไม่ผิดอะไรกับคนเมืองแต่กำเนิดที่นั่งขัดสมาธิหน้าขันโตก ปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อนจิ้มน้ำพริกส่งเข้าปาก ตามด้วยผักลวกผักสดเคี้ยวกร้วมๆ อย่างถูกปาก

“นายห้างชอบกินอาหารเมือง” หนูบอกกับมุ่ยและเมือง พร้อมกับให้นายห้างผู้มาใหม่รู้ด้วย “จิ้นเกลือ จิ้นควายแห้ง แกงผักกาดจอ ยำจิ้นไก่ กินได้บ่เบื่อ”

“กินขนมปังแค่อิ่มแต่ไม่อยู่ท้อง กินข้าวเหนียวแน่นกว่า” มิสเตอร์อีแวนเดอร์บอกหนุ่มๆ “ทำงานในปางไม้กำลังกายต้องพร้อมอยู่เสมอ ก่อนที่เธอจะทำไฟแรงเข้าไปสำรวจป่า เธอควรฝึกเดินเพื่อประเมินกำลังของตัวเสียก่อน อย่าให้เสียชื่อคนอังกฤษว่าเดินเข้าป่าไม่ถึงไมล์ก็หน้ามืดเป็นลมล้มฟุบไป นอกจากน่าอายแล้วยังเป็นภาระของพวกคนงานอีก”

วิลเลียมส่งไส้อั่วเข้าปากพลางพยักหน้าน้อยๆ น้อมรับคำสอนของมิสเตอร์อีแวนเดอร์ ตลอดทั้งวันมานี้เขาได้ค้นพบแล้วว่า มิสเตอร์อีแวนเดอร์เป็นคนพูดจาเสียงดังโผงผาง และค่อนข้างตรงไปตรงมาราวว่าไม่มีความจำเป็นต้องรักษาน้ำใจใคร หากกระนั้นก็เป็นไปด้วยความจริงใจไม่มีสิ่งใดเคลือบแฝงหรือประชดประชัน

หลังมื้ออาหารจึงเป็นเวลาที่จะได้หารือกันเรื่องปัญหาที่ค้างคาอยู่ มุ่ยกับหนูแยกตัวออกไปล้างถ้วยชามและพูดคุยกันให้หายคิดถึงให้สมกันที่ไม่ได้พบกันนาน ส่วนกลุ่มผู้ชายก็ตั้งวงสูบซิการ์จิบคอนยัคใต้แสงตะเกียงน้ำมัน เบ็ตตี้ลำบากใจเพราะหาที่อยู่ให้ตนเองไม่ได้ หล่อนรู้ธรรมเนียมอังกฤษดีว่าหลังมื้ออาหารผู้ชายและผู้หญิงมักแยกไปจับกลุ่มคุยกัน ในขณะที่ผู้หญิงชวนกันสนทนาเรื่องกระจุ๋มกระจิ๋ม พวกผู้ชายจะแสดงทัศนะต่อกันในเรื่องการเมือง กีฬา และมักจบท้ายด้วยการนัดไปเข้าป่าล่าสัตว์ ทว่าเบ็ตตี้มิอาจร่วมวงกับหนูและมุ่ยได้ หล่อนจึงนั่งสมทบเป็นหญิงเดียวในวงสนทนาของหนุ่มๆ

“ผมยังไม่เข้าใจเรื่อง ‘ช้าง’ ที่นายห้างพูดถึง” ลีรอยเป็นตัวแทนถามขึ้นมาเพราะทั้งวิลเลียมและเบ็ตตี้ก็อยากรู้ และคิดว่ามีนัยเกี่ยวข้องกับตน

มิสเตอร์อีแวนเดอร์หัวเราะดังอย่างถูกใจ อัดซิการ์เข้าเต็มปอด พ่นควันลอยขึ้นมาเป็นสายก่อนอธิบาย

“มันเป็นแค่การเปรียบเปรยน่ะ ก่อนหน้านี้ที่บริษัททำไม้ต่างๆ ไม่อนุญาตให้พนักงานชั้นล่างพาครอบครัวมาอยู่ด้วยหรอกนะ ต้องทำงานตามสัญญาครบสามปีหรือห้าปีก่อนถึงจะลากลับบ้านได้ แล้วยังไงล่ะ…เลือดหนุ่มๆ มันมีวันโรยราเสียที่ไหน ไอ้พนักงานพวกนั้นมันก็เลยลงขันไปเช่าเมียแขกยามหรือแขกเลี้ยงวัวมาแบ่งปันความสดชื่นกันไงเล่า ครั้นยายเมียแขกมันตั้งท้อง ผัวก็ไม่ยอมรับอย่างสนิทใจจนกว่าจะคลอดออกมาแล้วเห็นชัดว่าผิวขาวหรือผิวคล้ำ หัวดำหรือหัวแดง”

“ถ้าคลอดแล้วผิวขาวหัวแดงล่ะครับ” วิลเลียมถามบ้าง

“นี่แหละปัญหา นังแม่มันอุ้มลูกมาถามถึงปางไม้ว่าใครจะรับเป็นพ่อ” มิสเตอร์อีแวนเดอร์หัวเราะหึๆ ก่อนเล่าต่อว่า “ใครมันจะไปยอมรับว่าเป็นลูกตัว ก็เช่ามาใช้ด้วยกันตั้งหลายคน สุดท้ายก็เลยใช้วิธีจับไม้สั้นไม้ยาวเพื่อหาคนรับผิดชอบอุปถัมภ์เลี้ยงดู นางเมียแขกนั่นละน่าสงสารที่สุด เพราะผัวแขกก็ไสหัวส่ง พวกนายห้างชั้นต่ำก็ไม่มีใครรับผิดชอบสักคน ไอ้เด็กลูกครึ่งหาคนจับมือมาเป็นพ่อไม่ได้นี่แหละ ที่เราเรียกว่า ช้าง”

คราวนี้ทุกคนพยักหน้าเข้าใจอย่างสิ้นสงสัย หลังจากได้รู้ว่าเรื่องนี้มิได้รอดพ้นจากสายตาบริษัท เพราะมีหนังสือเตือนมาอ้อมๆ ถึงปริมาณช้างลูกผสมในปางไม้พร้อมกับผลิตภัณฑ์เพื่อคุมกำเนิดมาแจกจ่ายพนักงาน

“ปริมาณ ‘ช้าง’ ในปางไม้ของเราลดลงบ้างหรือยังครับ” ลีรอยถามเพราะนึกสนุกขึ้นมาก็ได้คำตอบว่า

“ก็ถือว่าดีขึ้น เพราะหลายบริษัทปรับนโยบายเพื่อควบคุมปริมาณ ‘ช้าง’ นี่แหละ จึงยอมให้พนักงานไม่ว่าระดับไหนพาครอบครัวมาอยู่ด้วยได้” น้ำเสียงของมิสเตอร์อีแวนเดอร์เบาลงนิดหน่อยเมื่อเอ่ยประโยคต่อมา “แต่มันก็มิได้หมดไปเสียทีเดียวหรอก บางคนก็ไม่นิยมเมียแขกเพราะผิวคล้ำซ้ำดูสกปรก ครั้นจะหาคนผิวขาวด้วยกันก็ต้องติดต่อผ่านบริษัทแม่สื่อที่อินเดียหรือลอนดอน ค่าใช้จ่ายมากโขอยู่ สู้หาหญิงพื้นเมืองมาเป็นเมียไม่ได้ และที่สำคัญก็คือ ผู้หญิงผิวขาวดีๆ ที่ไหนจะข้ามน้ำข้ามทะเลมาผจญภัยในต่างแดนในฐานะโสเภณี”

เบ็ตตี้รู้สึกชาวาบไปทั้งตัวราวกับว่าคำพูดของมิสเตอร์อีแวนเดอร์เป็นเหล็กในของผึ้งที่ต่อยให้หล่อนแสบร้อนไปทั้งร่าง หากก็ทำได้เพียงยิ้มเจื่อนทำหน้าชื่นดุจว่ามิได้สะทกสะท้านสิ่งใด มิใช่เรื่องของตน พอดีกับวิลเลียมเอ่ยถามเรื่องที่สำคัญกว่า

“ปัญหาของเราที่ยังค้างอยู่กับบริษัทหลุยส์ ผมดูแล้วว่าน่าจะจบได้ง่ายๆ ถ้าเพียงแค่หลุยส์จ่ายเงินที่ค้างไว้เท่านั้น”

“ความคิดง่ายเสมอ พ่อหนุ่ม แต่ครั้นลงมือทำแล้วเธอจะรู้ว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด”

วิลเลียมและลีรอยเอียงหน้าแววตาฉงน ทว่าเมืองสีหน้าเรียบเฉยเพราะรู้ว่าก่อนหน้านี้มิสเตอร์อีแวนเดอร์ได้จัดการทวงถาม หรือว่าให้ถูกก็คือ ‘ทวงหนี้’ มาหลายหนแล้วหากก็ไม่เป็นผล มิใช่ว่ามิตซ่าหลุยส์จะไม่ยอมรับ แต่ปัญหาคือเขาตุกติกบ่ายเบี่ยงเลี่ยงไปไม่ยอมจ่ายเสียทีต่างหาก

มิสเตอร์อีแวนเดอร์กดเสียงต่ำลง จ้องนายห้างหนุ่มสองคนอย่างจริงจัง

“พรุ่งนี้ เธอสองคนน่าจะไปเจรจากับหลุยส์ด้วยตัวเอง”

 



Don`t copy text!