เวียงวนาลัย บทที่ ๑๔ ลำนำแห่งชีวิต “ที่สุดขอบฟ้า”

เวียงวนาลัย บทที่ ๑๔ ลำนำแห่งชีวิต “ที่สุดขอบฟ้า”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

อากาศยามเช้าสดชื่นและโปร่งสบาย นายห้างวิลเลียมตื่นแต่เช้ามืดเสมอด้วยวัยประการหนึ่งและด้วยความตั้งใจของตัวเองอีกประการหนึ่ง ลุกจากเตียงล้างหน้าแล้วจึงออกมาที่ระเบียงชั้นสอง หย่อนกายลงบนเก้าอี้ไม้นั่งพิงตามสบายมองดาวประกายพรึกที่กะพริบพรายอยู่ที่ปลายฟ้า ประกายของมันสดใสกว่าดาวอื่นใดในอาณา สักครู่หนึ่งแม่นายมุ่ยก็ยกถาดกาแฟมาวาง รินจากเหยือกลงถ้วยโดยไม่ปรุงเพิ่ม ส่งให้นายห้างสามีก่อนรินให้ตนเอง จากนั้นสองสามีภรรยาสูงวัยก็จับตาดูดาวประกายพรึกเคลื่อนผ่านฟ้าไปเงียบๆ

ริ้วสีส้มจางแรอยู่ตรงริมขอบฟ้า เสียงไก่ป่าไก่บ้านขันขานรับกันเป็นช่วงๆ ไป ควันไฟจากห้องครัวบ้านเรือนลอยขึ้นไปในอากาศ ทัศนียภาพโดยรอบค่อยปรากฏชัดต่อสายตา ดวงดารกาค่อยจางแสงลงเมื่อม่านอรุโณทัยสีส้มแกมทองคลี่ฉายดุจเปิดฉากชีวิตของวันใหม่ แม้กาแฟในเหยือกจะคลายความร้อนลงไปแล้วแต่วิลเลียมและมุ่ยยังนั่งนิ่งรับไออุ่นจากแสงอรุณรุ่ง

เมื่อแรกมุ่ยไม่เข้าใจว่าทำไมสามีจึงตื่นแต่เช้า หน้าที่การงานต่างๆ เขาก็วางมือไปเกือบหมดแล้ว ฐานะครอบครัวก็ห่างไกลจากคำว่าอัตคัดขัดสน นายห้างวิลเลียมจะนอนบนเตียงนุ่มตื่นสายเท่าไรก็ได้ ไม่ว่าเขาจะลุกจากเตียงกี่โมงยาม อาหารจะมีพร้อมไว้เสมอ มุ่ยจึงถามสามีในวันหนึ่งถึงเหตุผลที่เขาตื่นแต่เช้ามืดเสมอ

“ฉันอายุมากแล้ว จะตายวันไหนก็ไม่รู้ แต่ฉันไม่เคยคิดว่าฉันกำลังนับถอยหลังสู่วันสิ้นลมหายใจหรอกนะ ลมเป็นของขวัญจากธรรมชาติและดาวเป็นเข็มทิศให้กับชีวิตของเรา” เขาชี้ให้ดูดาวประกายพรึกเมื่อเล่าว่า “ตอนตัดสินใจลงเรือจากอังกฤษไปอินเดีย ฉันจะมองดูดาวเหนือเป็นประจำ อยากรู้ว่าลมทะเลและลมแห่งโชคชะตาจะพัดนาวาชีวิตของฉันไปที่ไหน…ไปอินเดีย แล้วก็มาฝากชีวิตและลมหายใจสุดท้ายไว้ที่นี่”

ยามพูด ‘ที่นี่’ นายห้างวิลเลียมมิได้ขยายว่าหมายถึงเวียงละกอน เชียงใหม่ หรือแผ่นดินไทย หากเขากุมมือภรรยาบีบแน่น

“ฉันอยากขอบคุณสายลมและดาวดวงนั้นที่พาฉันมาปักหลักที่นี่ ในวัยที่ความตายพร้อมจะมาเยือนเราทุกวินาที ทุกวันที่ฉันตื่นในตอนเช้าแล้วพบว่าตนเองยังหายใจอยู่ ฉันจึงอยากเห็นแสงอรุณของวันใหม่…วันใหม่ การเริ่มต้นใหม่ ชีวิตใหม่ โอกาสครั้งใหม่…มันดีเสมอ จริงไหม มุ่ย”

มุ่ยยิ้มให้สามีแทนคำตอบ เมื่อเข้าใจเหตุผลทั้งปวงของเขาแล้ว ในวันต่อมามุ่ยจึงตื่นพร้อมกับเขา ลงไปต้มน้ำชงกาแฟแล้วยกมาจิบชมพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันจนอิ่มใจแล้วจึงลงไปที่ห้องอาหารเพื่อรับมื้อเช้าก่อนตรวจงานในบ้านและโรงงานเฟอร์นิเจอร์

“เช้านี้ฟ้าสวยกว่าทุกวัน” นายห้างวิลเลียมปรารภขึ้นมา มุ่ยก็เห็นจริงตามนั้น ยิ่งยามแสงทองจับยอดลมแล้งที่ผลิดอกเป็นช่อพวงเหลืองอร่ามเต็มต้นกับดอกซอมพอสีแดงส้มยิ่งดูงามจับตา ต้นขะยอมหรือพะยอมที่ผลิดอกขาวส่งกลิ่นหอมละเอียดเมื่อปลายฤดูหนาวบัดนี้ติดลูก ยามลมพัดแรงลูกมีปีกสองข้างอย่างลูกยางบินคว้างหมุนควงก่อนตกลงบนผืนดิน

“ฟ้าปีใหม่ก็งามจะอี้แล” ปีใหม่ที่มุ่ยว่าคือสงกรานต์

วิลเลียมยังนั่งดูท้องฟ้าอีกพักหนึ่งแล้วหลับไป แดดสายแผดกล้าเกินกว่าจะให้ความอบอุ่น มุ่ยจึงปลุกสามีให้ลุกไปนอนในห้อง

“ฉันเผลอหลับไปหรือนี่” วิลเลียมถามภรรยา

“แม่นละ ถ้านายห้างอยากนอนต่อย้ายไปนอนข้างในดีกว่า ตรงนี้แดดฮ้อนแล้ว”

“บ่นอนละ” วิลเลียมตอบเป็นภาษาถิ่นเช่นยามที่เขาอยากหยอกล้อกับภรรยา “กินข้าวงายแล้วฉันจะไปที่ยิมคานาหน่อย”

“เจ้า” มุ่ยตอบรับทว่าน้ำเสียงบอกว่า ‘รู้ทัน’

 

สโมสรยิมคานายังต้อนรับสมาชิกใหม่อย่างต่อเนื่อง นายห้างวิลเลียมไม่เคยพลาดกิจกรรมประจำปีของสโมสร ไม่ว่าจะเป็นการแข่งกีฬาประจำปีอย่างคริกเก็ต โปโล และกอล์ฟ หรือการประชุมคณะกรรมการประจำปี ส่วนในวันปกติ…เป็นที่รู้กันทั่วไปจนนำมาหยอกล้อกันเล่นว่า ถ้านายห้างวิลเลียมอยู่ที่สโมสรแปลว่าเขากำลังหลบหนีจากการทำงานบ้าน

นายห้างวิลเลียมจะใช้เวลาอยู่ที่สโมสรนานเท่าที่กะว่างานบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว

เมื่อมาถึงสโมสรนายห้างวิลเลียมจะรวบรวมหนังสือพิมพ์ที่ส่งมาจากอังกฤษทุกตัวอักษร แต่ก่อนอ่านเขาจะรวบรวมหนังสือพิมพ์ทุกฉบับของสัปดาห์นั้นมาเรียงกันตามวันที่พิมพ์ หากพบว่าหายไปฉบับหนึ่งเขาจะเดินหาทั่วสโมสรจนพบ นำมาเรียงซ้อนกันตามลำดับแล้วจึงเริ่มลงมืออ่านที่ระเบียง อ่านหมดแล้วหากยังอยากอยู่ต่อก็จะเล่นเกมอักษรไขว้ในหนังสือพิมพ์นั้น ในช่วงปัจฉิมวัย นายห้างวิลเลียมไม่ใคร่เล่นกีฬามากนัก เป็นเพียงผู้ชมและแนะนำทริกให้แก่นักกีฬาสมัครเล่นเท่านั้น รู้กันอีกว่าถ้านายห้างวิลเลียมไปนั่งจิบเครื่องดื่มที่บาร์ด้านใน แสดงว่าตอนนั้นมีคนที่นายห้างไม่อยากสนทนาด้วยอยู่ที่สโมสร ยิ่งถ้าปลีกตัวไปอยู่ในห้องสมุดแปลว่าไม่อยากพูดกับใครสักคนเดียว

อินถามาถึงสโมสรในตอนบ่าย นายห้างวิลเลียมไม่ได้นัดหลานชายวัยหนุ่มลูกของไอเดนที่นี่ แต่ก็ดีใจที่ได้พบเด็กหนุ่ม จึงชวนเขานั่งดื่มกาแฟด้วยกันพลางคุยถึงการจัดการโรงงานเฟอร์นิเจอร์ไม้สัก

ทุกครั้งที่พบอินถา นายห้างวิลเลียมอดสงสารเด็กหนุ่มไม่ได้ที่ต้องเสียพ่อไปตั้งแต่อายุยังน้อย พลอยนึกถึงทั้งไอเดนและมิสเตอร์อีแวนเดอร์ คนตระกูลนี้อายุสั้น หากสั้นด้วยอายุขัยตามธรรมชาติก็คงไม่น่าสลดใจเท่าอายุสั้นเพราะถูกลอบฆ่า เห็นหน้าอินถาครั้งใดก็ให้นึกไปถึงพ่อของเด็กหนุ่ม ที่สโมสรนี้ เก้าอี้ตัวเดียวกันนี้ที่วิลเลียมยกหุ้นส่วนโรงงานเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดที่เขาถือให้ไอเดน

ไอเดนเป็นผู้มีหัวการค้าโดยแท้ ความก้าวหน้าและรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของโรงงานเฟอร์นิเจอร์เป็นเพราะฝีมือของไอเดน หลังสงครามเลิกมีทั้งการซ่อมแซมและก่อสร้างอาคารใหม่หลายแห่ง เฟอร์นิเจอร์ไม้สักเป็นที่ต้องการของผู้มีอันจะกิน นอกจากคุณภาพแล้วเฟอร์นิเจอร์ของที่นี่ยังมีดีไซน์สวยงามอย่างที่เรียกกันให้พอเข้าใจว่าคลาสสิกแต่ชี้ให้กระจ่างลงไปไม่ได้ว่ายังไง นั่นเป็นเพราะฝีมือออกแบบของลีรอยที่ผสานความรู้สึกแบบตะวันออกและตะวันตกใส่ลงไปในรูปร่างและลวดลายของเครื่องเรือนจากไม้สักเหล่านี้ ไอเดนมีงานล้นมืออยู่ตลอดเวลาแต่ก็ได้กำไรคืนกลับมาไม่น้อยคุ้มเหนื่อย นายห้างวิลเลียมเห็นความทุ่มเทของไอเดนที่ทำให้กิจการรุ่งเรืองยิ่งขึ้นจึงยื่นข้อเสนอให้ เจ้าตัวเองก็ยังประหลาดใจเมื่อได้ยินว่า

‘อาขอยกหุ้นโรงงานเฟอร์นิเจอร์ที่อาถืออยู่ทั้งหมดให้หลาน’

‘ทำไมล่ะครับ’ ไอเดนไม่เข้าใจเหตุผลของอาวิลเลียม เพราะยิ่งโรงงานมีกำไรเท่าใด อาวิลเลียมก็จะได้เงินปันผลมากเท่านั้น ไอเดนไม่เคยตำหนิบ่นว่าทั้งต่อหน้าและลับหลังว่าวิลเลียมเอาเปรียบ ยิ่งอาวิลเลียมมีลูกหลานมากก็ยิ่งต้องมีเงินสำรองไว้มากๆ อยู่เฉยๆ เป็นเสือนอนกินก็สบายไปอีกหลายปี จะตัดปิดช่องรับผลประโยชน์ของตัวเองไปทำไม

แต่นายห้างวิลเลียมก็มีเหตุผลของตนเอง

‘ลูกอาทุกคนมีอาชีพการงานกันหมดแล้ว หลานเองก็ทุ่มเทให้โรงงานอย่างเต็มที่จนเกินตัวไปเสียด้วยซ้ำ ความเหนื่อยยากทั้งหลายที่หลานทุ่มลงไปก็ควรกลับไปสู่ครอบครัวของหลาน อาเต็มใจยกหุ้นให้จริงๆ’

‘ขอบคุณครับ คุณอา แต่ผมสัญญาว่าจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งให้น้องๆ ลูกคุณอา สัก 15% คุณอาคงไม่เห็นว่าน่าเกลียด’

‘ถ้าไอเดนตั้งใจอย่างนั้น อาก็ขอบคุณแทนน้องๆ จะให้เท่าไหร่อาไม่ว่าหรอก’

กิจการโรงงานเฟอร์นิเจอร์ดีวันดีคืนพร้อมกับมีคู่แข่งที่เขม่นอยู่ทั้งต่อหน้าและซุ่มซ่อนอยู่ในเงามืดเพราะขัดผลประโยชน์ โดยเฉพาะพ่อเลี้ยงป่าไม้และโรงงานเฟอร์นิเจอร์อีกหลายแห่งที่เป็นผู้มีอิทธิพลเช่นกัน ในวันหนึ่งเมื่อไอเดนขับรถกลับบ้านจากโรงงานก็ถูกลอบยิงเสียชีวิตคาที่โดยจับตัวคนร้ายไม่ได้ มากที่สุดก็เพียงแต่สงสัยว่าผู้บงการอาจเป็นใคร แต่ไม่สามารถชี้ตัวชัดได้เพราะไม่มีหลักฐาน

อินถาจึงเป็นพ่อเลี้ยงหนุ่มลูกครึ่งที่ยิ่งเป็นที่หมายปองของสาวๆ แต่เขายังด้อยประสบการณ์ที่ต้องรับช่วงบริหารกิจการต่อจากบิดาอย่างปุบปับ นายห้างวิลเลียมจึงดูแลเป็นพี่เลี้ยงและที่ปรึกษาแต่ไม่เรียกหุ้นคืน ทุกครั้งที่กล่าวคำอำลาพ่อเลี้ยงหนุ่ม นายห้างวิลเลียมภาวนาอยู่ลึกๆ ในใจว่าขอให้พ่อเลี้ยงอินถามีชีวิตยืนยาวกว่าพ่อและปู่ของเขา

อินถาดีใจทุกครั้งที่ได้พบนายห้างวิลเลียม เขาจะเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านี้ได้ทำอะไรมาบ้างและแผนการขยายงานในอนาคต

“ตอนนี้เฟอร์นิเจอร์ไม้สักประเภทเลียนแบบของเก่าอย่างตู้พระธรรมเป็นที่ต้องการมากครับ ผมไปดูตัวอย่างที่วัดหลายแห่งโดยเฉพาะที่ลำปาง ไม่ใช่เฉพาะตู้พระธรรมหรือธรรมาสน์นะครับ แต่ทั้งวัดเลย” อินถาเล่ามาถึงตรงนี้นายห้างวิลเลียมก็มั่นใจว่าเป็นวัดที่หนานทิพย์เคยควบคุมการบูรณะในครั้งกระโน้น “ยายหนูบอกว่าฝีมือสล่าคนนี้ไม่มีใครเทียบได้ ขนาดไปตั้งครอบครัวอยู่ที่เมืองระแหง ท่านเจ้าหลวงยังไปตามตัวมาซ่อมวัดท่าน หลานก็เลยไปวัดที่ลุงเมืองบวชอยู่ก็เหมือนได้โชคสองชั้น”

“ยังไงหรือ…” วิลเลียมถามเพื่อให้พ่อเลี้ยงหนุ่มได้พัก ก่อนเขาจะเล่าต่อด้วยตาเป็นประกาย

“หลานพบไม้แกะสลักอีกมากอยู่ที่นั่นยังไม่ได้ประกอบเป็นชิ้นใหญ่ แต่ละชิ้นลวดลายสวยงาม หลานเลยหอบกลับมาให้ช่างที่โรงงานแกะลายและหัดทำ ใครไม่มีงานสนใจอยากฝึกหลานก็ยินดีรับ ไม่น่าเชื่อว่ามีสาวๆ สมัครมาเป็นช่างแกะสลักเยอะเลยครับ”

“โรงงานเราเห็นทีจะไม่หยุดแค่นี้ครับ” อินถายังคงเล่าต่อ “ลูกค้าฮ่องกงมาขอให้ทำตัวอย่างชุดเครื่องเรือนไม้แกะสลักฝังมุก คนงานที่นี่ฝีมือดีนะครับ ไม่ว่าจะแกะลวดลายอย่างจีนหรือการตัดเจียนเปลือกหอยมุกฝังเป็นรูปหงส์ มังกร หรือดอกโบตั๋น ก็ทำได้งามไปหมด ฝีมือชาวบ้านที่นี่ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ หลายเลยคิดจะขยายโรงงานแล้วแบ่งเป็นสัดส่วน ที่เป็นโรงไม้ขึ้นโครงก็โรงหนึ่ง ฝ่ายแกะสลักก็โรงหนึ่ง ฝ่ายทำสีแยกมาอีกโรงหนึ่ง ไม่ปะปนกัน”

“เห็นทีหลานจะยืนด้วยตนเองได้แล้วนะ อินถา” นายห้างวิลเลียมเอ่ยออกมา สีหน้าของอินถาที่เบิกบานแจ่มใสอยู่ก็หุบลงโดยพลัน เอ่ยถามร้อนใจ

“ทำไมล่ะครับ ผมยังต้องขอคุณปู่เป็นที่ปรึกษาผมอีกหลายเรื่อง”

วิลเลียมไม่ตอบคำถาม มีเพียงแต่รอยยิ้มให้และเอ่ยคำร่ำลาก่อนออกจากสโมสรว่า

“สักวันหนึ่งหลานก็ต้องยืนด้วยตนเอง เท่านั้นไม่พอ หลานยังต้องเป็นเสาหลักให้กับคนอื่นๆ ด้วย”

 

ลูกๆ ของวิลเลียมเติบโตมีหน้าที่การงานและครอบครัวกันหมดแล้ว ต่างคนมีเส้นทางชีวิตของตนเองที่ต้องเดินไปทำให้ต้องห่างกันบ้าง แต่วิลเลียมก็ขอร้องแกมกำหนดอยู่ในทีให้ในปีหนึ่งพี่น้องมาพบกันพร้อมหน้ากินข้าวด้วยกัน จึงกลายเป็นธรรมเนียมของบ้านบูรวนาวงศ์ในปีต่อๆ มาว่าทุกคนจะมาพบกันที่บ้านในช่วงคริสต์มาสและสงกรานต์ โดยเว้นให้ภูพายัพเพียงคนเดียว เพราะหน้าที่การงานของเขาอยู่ต่างประเทศมากกว่าไทย

แม้กระนั้นภูพายัพก็ไม่เคยขาดเลยสักปี เขาจัดสรรเวลาได้ดีเสมอมา ทว่าสงกรานต์ปีนี้ภูพายัพยังไม่ปรากฏตัวจนมาลีบ่นเมื่อทุกคนพร้อมหน้าบนโต๊ะอาหาร เหลือเก้าอี้ว่างอยู่ตัวเดียว อาหารหลายชนิดทั้งขนมปัง แกงอย่างไทยและอาหารท้องถิ่นที่ล้วนเป็นเมนูโปรดของแต่ละคนวางเพียบพร้อมกินแล้ว แต่ยังไม่มีใครแตะต้องเพราะรอคอยสมาชิกคนสำคัญ

“พี่ม่อนนะ เรื่องสำคัญอะไรก็ไม่แย้มให้รู้บ้าง แล้วตัวเองก็ไม่มาเสียที มาลีจะอกแตกตายอยู่แล้ว”

ถ้าเป็นครั้งก่อนๆ แค่ภูพายัพมาช้าไปหน่อย มาลีก็จะชักชวนให้ทุกคนกินก่อน แต่ครั้งนี้หล่อนกินไม่ลงด้วยเรื่องคาใจ เจตสิกพี่ชายคนรองจึงแกล้งแหย่

“ที่จะอกแตกตายนี่เพราะอยากรู้เรื่องสำคัญหรือหิวกันแน่”

“ก็ทั้งสองอย่างนั่นละพี่มาย มาลีหิวไส้จะขาดแต่ก็กินไม่ลงถ้าไม่รู้เสียก่อนว่าเรื่องสำคัญที่ท่านทูตอมพะนำไว้มันคือเรื่องอะไร”

“เรื่องเลื่อนขั้นเป็นท่านทูตละมัง” สิสิระหรือหมอกคาดเดา แม้มาลีน้องเล็กจะเรียกพี่ชายว่า ‘ท่านทูต’ แต่ตำแหน่งของภูพายัพในขณะนี้ยังเป็นเลขานุการเอก

พ่อนายวิลเลียมและแม่นายมุ่ยดูลูกๆ เย้าแหย่กันพลางอมยิ้ม แม้บัดนี้แต่ละคนจะเติบโตมีครอบครัวและประสบการณ์ชีวิตกันมาพอสมควรแล้ว แต่ในสายตาพ่อแม่ลูกทุกคนก็ยังเป็นเด็กอยู่อย่างนั้น รอยเมืองผู้เป็นพี่ใหญ่เคยสุขุมและเสียสละให้น้องมาแต่ไหนแต่ไร ตอนที่ทุกคนทุ่มเถียงกึ่งหยอกล้อกันอยู่นี้เขาก็ยังคงนั่งนิ่ง คอยจังหวะถ้าเรื่องบานปลายจึงจะยื่นมือเข้าไปห้ามทัพ

“แน่ะ ท่านทูตมาแล้ว อายุยืนจริงเชียว” มาลีทักพี่ชายกึ่งหยอกล้อ ภูพายัพยกมือไหว้ทุกคนแล้วจึงลงนั่ง มองอาหารบนโต๊ะที่ยังไม่มีผู้ใดแตะต้อง นายห้างวิลเลียมจึงเอ่ยกับลูกชาย

“พวกเรารอให้พร้อมหน้ากันจริงๆ ก่อนจึงค่อยลงมือ”

“แล้วก็รอฟังข่าวดีของท่านทูตด้วย” มาลีสำทับ “พี่ม่อนนี่ละก็ น่ารำคาญนักเชียว มาแหย่ให้อยากรู้แต่ไม่ยอมบอกอะไรเลย”

“เรื่องมันยาวน่ะครับ พ่อนาย เรากินข้าวกันก่อน อิ่มแล้วค่อยเล่าให้ฟังดีไหมครับ”

คำตอบดีและไม่ดีดังขึ้นพร้อมกัน นายห้างวิลเลียมจึงพยักไปทางรอยเมืองให้เป็นผู้ตัดสิน

“ว่ายังไง พี่ใหญ่ จะตัดสินเรื่องนี้อย่างไร” รอยเมืองยิ้มน้อยๆ ส่งสายตาถึงนายห้างวิลเลียมว่า…โธ่ พ่อนายผลักภาระมาให้ลูกอีกแล้ว…แต่มิใช่ด้วยความรู้สึกหนักอกหรือลำบากใจอย่างไร ตรงกันข้ามวิลเลียมมักแสดงออกอยู่เสมอว่ารอยเมืองเป็นลูกชายคนโตของพี่น้องห้าคน ภูพายัพเองก็ให้ความเคารพนับถือรอยเมืองเป็นพี่ใหญ่ทั้งที่โดยสายสัมพันธ์แล้วมีฐานะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน

“ถ้าเช่นนั้น…ในฐานะของนักหนังสือพิมพ์เก่า ขอให้ท่านทูตบอกพาดหัวข่าวมาเสียก่อน อิ่มข้าวแล้วค่อยเล่ารายละเอียด ดีไหมครับ” รอยเมืองถามความเห็นของทุกคน ภูพายัพยิ้มกริ่มอย่างมีความหมายว่าตนเป็นผู้ชนะ

“ได้ครับ ถ้าทุกท่านต้องการเช่นนั้น กระผมก็ขอเรียนให้ทุกท่านทราบว่า” เขากระแอมนิดหนึ่งเพิ่มความตื่นเต้นแก่หัวข้อ “ผมพบลุงเมืองและลุงลีรอยแล้ว”

หา! จริงหรือ! พบที่ไหน?

มาลี สิสิระ และเจตสิกรบเร้าพี่ชายถามรายละเอียด แต่หนนี้ภูพายัพปิดปากเงียบ แกล้งพิโยกพิเกนหลบหลีกทำไขหูต่อเสียงของน้องทั้งสามจนมาลีค้อนขวางอย่างหมั่นไส้

ภูพายัพหันไปยังพ่อนายวิลเลียมและแม่นายมุ่ยบอกสั้นๆ ให้สบายใจว่า

“ลูกพบคุณลุงแล้วจริงๆ ทั้งสองท่านปลอดภัยและสบายดี”

 

ครอบครัวบรูคหรือบูรวนาวงศ์นั่งหย่อนอิริยาบถหลังเสร็จมื้อค่ำกันที่หน้าเตาผิง ซึ่งในฤดูร้อนกลางเดือนเมษายนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของบ้าน ทว่าก็เป็นพื้นที่ที่ทุกคนคุ้นเคยมานานปี มาลีรับหน้าที่แจกเครื่องดื่มและขนมกินเล่นให้พี่ๆ ทุกคน เพราะบ่อยครั้งที่นายห้างวิลเลียมต้องการความเป็นส่วนตัว ‘เฉพาะคนในบ้าน’ คนรับใช้ก็จะปลีกออกไปคอยห่างๆ อยู่ข้างนอก ปล่อยให้คุณๆ ทำกันเอง

ภูพายัพไม่อิดเอื้อนแกล้งขยักเรื่องสำคัญไว้เช่นตอนที่อยู่บนโต๊ะอาหารอีก เขาเล่าว่าตอนไปที่อินเดียพบโฆษณาชายี่ห้อหนึ่งแปะอยู่ตามกำแพงปนกับป้ายอื่นๆ กลมกลืนกันไปหมด ทว่าภูพายัพกลับสะดุดตาภาพโฆษณารูปยอดชา มันเป็นภาพวาดลายเส้นที่ดึงดูดเขาเหมือนมีมนตร์สะกดให้ต้องถามคนที่นั่นว่าไร่ชาแห่งนี้อยู่ที่ใด

หน้าที่การงานอำนวยให้ภูพายัพเดินทางไปหลายประเทศ เขาเป็นเลขานุการเอกซึ่งน้องๆ เรียกกึ่งล้อเลียนว่า ‘ท่านทูต’ การสูญหายของคนสามคนทำให้ภูพายัพรับปากพ่อนายแม่นายและน้องสาวว่าจะตามหาทั้งสามคนสุดความสามารถ ภูพายัพเริ่มเสาะหาจากประเทศข้างเคียงก่อนคือพม่า ขึ้นเหนือไปถึงอินเดีย และไปยังอังกฤษ ด้วยเบาะแสที่มีอยู่น้อยนิดหรือแทบไม่มีเลย คาดเดาเอาก็มาก การกลับบ้านของภูพายัพทุกครั้งจึงเป็นการบอกความคืบหน้าในการติดตามหาผู้ที่สูญหาย

“ภาพโฆษณานั้นเป็นฝีมือลุงลีรอยจริงๆ” ภูพายัพบอก “ทั้งที่ผมไปตามหาลุงที่อินเดียหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีเบาะแสอะไรเพิ่มเลย มารู้เอาตอนพบกันว่าลุงทั้งสองเปลี่ยนชื่อใหม่ เป็นคนใหม่ ปลูกบ้านเล็กๆ ทำไร่ชาที่อัสสัม เป็นเพียงซัปพลายเออร์ปลูกชาส่งโรงงานเท่านั้น ไม่ได้ตั้งโรงงานหรือทำการตลาดเอง”

“แค่รู้ว่ายังอยู่รอดปลอดภัย พ่อนายก็ดีใจมากแล้ว” วิลเลียมบอกลูกชาย

“ลูกชวนลุงทั้งสองกลับมาอยู่บ้านเราแล้ว แต่ลุงไม่กลับมา บอกว่าตอนนี้เป็นคนใหม่แล้วขออยู่กับชีวิตใหม่ที่นั่น คนที่สูญหายไปแล้วก็ให้หายไปเถิด เหลือเก็บไว้ในความทรงจำก็พอ”

“ลุงเล่าไหมว่าตอนนั้นหนีไปได้อย่างไร” แม่นายมุ่ยถามบ้างเพราะหนึ่งในนั้นคือพี่ชาย

“เล่าครับ แต่รายละเอียดมาก เล่าอย่างสั้นๆ ก็คือลำบากพอสมควร เกือบเอาชีวิตไม่รอดก็หลายครั้งจนเข้าไปถึงอินเดียได้ อยู่ในเขตแนวของกองทัพอังกฤษ ได้เห็นหน้าคนที่รู้จักแวบหนึ่งแล้วก็หมดสติไป ไม่คิดว่าจะได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง”

“คนรู้จักหรือ ใครกัน” วิลเลียมถามลูกชาย ภูพายัพควักสมุดเล่มเล็กที่พกติดตัวไว้เสมอมาเปิดดูชื่อที่จดไว้เพราะจำไม่ได้

“ชื่อ…มัลลิกา…”

“อ้อ…หมอมัลลิกา เธอก็ช่างอายุยืนจริง” วิลเลียมรำพึงกับตัวเอง

“ใช่ครับพ่อนาย คุณหมอเธออายุมากแล้ว อาสามาช่วยดูแลผู้ป่วยที่ค่ายตรงแนวชายแดน คุณลุงลีรอยบอกว่ารู้จักกันตั้งแต่ลุงมาอินเดียครั้งแรก แต่ตอนนี้คุณหมอเธอเสียแล้วนะครับ ตอนลูกพบคุณลุงทั้งสองก็ไม่ได้พบเธอ”

ภูพายัพหยิบภาพถ่ายที่เสียบในสมุดบันทึกส่งให้พ่อนายพร้อมหีบเพลงสีเงินหม่น นายห้างวิลเลียมรับไปด้วยความรู้สึกเหมือนรับเพื่อนกลับบ้าน

“คุณลุงทั้งสองค่อนข้างเก็บตัวจากโลกภายนอก ลูกต้องอ้อนวอนหลายครั้งกว่าลุงจะยอมให้ถ่ายรูปนี้ ท่านว่าให้โอกาสกดชัตเตอร์เพียงครั้งเดียว ลูกก็เกร็งไปหมดกลัวจะปรับกล้องผิดพลาดถ่ายรูปมาไม่ติด ส่วนหีบเพลงนี้ลุงลีรอยให้คุณพ่อไว้เป็นที่ระลึกครับ”

นายห้างวิลเลียมรับหีบเพลงนั้นมาพลิกดู แต่ไหนแต่ไรมามันเป็นของคู่กายลีรอยไม่ต่างกับพู่กันและจานสี ลีรอยเป็นคนอ่อนไหว มีจิตวิญญาณของศิลปิน เขาเห็นลีรอยคู่กับหีบเพลงนี้มานานเท่ากับเดือนปีที่ผ่านไปตั้งแต่รู้จักฝ่ายนั้นมาจนวันนี้ ต่อให้เห็นที่ไหนวิลเลียมก็จำได้แม้จะไม่มีเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ใดแสดงความเป็นเจ้าของ หากบัดนี้บนเนื้อเงินมีรอยจารึกตัวอักษรภาษาอังกฤษเล่นลายเส้นสวยว่า

Brook & Bloomer   

วิลเลียมยกหีบเพลงนั้นขึ้นประทับปากเป่าเป็นเพลง Spanish Cavalier แม้เนื้อเพลงจะพูดถึงคำสัญญาของคนหนึ่งว่าเขาจากไปเพราะสงครามตามหน้าที่ เมื่อสงครามยุติเขาจะรี่กลับมาพร้อมแสงตะวัน

ถ้อยทำนองนั้นระคนกันระหว่างอาวรณ์และอวยชัย วิลเลียมฝากเพลงนี้ไปกับสายลมกลางฤดูร้อนให้พัดไปถึงไร่ชาสักแห่งบนเขาในอัสสัมที่ลีรอยและเมืองลงหลักปักฐานใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ขอให้แสงตะวันส่องฉายให้เส้นทางของทั้งคู่แจ่มใสเบิกบานดุจยอดชาผลิรับไออุ่นจากแสงอรุณ

นายห้างวิลเลียมส่งหีบเพลงอันนั้นให้เจตสิกลูกชายคนที่สาม

“มายเป็นนักดนตรี เป็นกวี เป็นศิลปิน…เหมือนลุงลีรอย”

เจตสินรับมาถือไว้อย่างทะนุถนอม รู้ถึงเหตุผลอีกมากมายที่พ่อนายมิได้เอ่ยออกมา

“พี่ม่อน…” มาลีลากเสียงอ่อนเบา ปกติมาลีจะเรียกพี่ชายกึ่งล้อว่า ‘ท่านทูต’ แต่หากเรียกชื่อเล่นหรือชื่อตัวแปลว่ากำลังอ้อนขออะไรสักอย่างหนึ่ง “ได้ข่าวโอลิเวอร์ไหม”

ภูพายัพส่ายหน้า มาลีน้ำตาร่วงทันที หล่อนคิดว่าทั้งสามคนหนีไปด้วยกันแต่ทำไมจึงรอดมาเพียงสองคน

“โอลิเวอร์พลัดกับลุงทั้งสองก่อนถึงอินเดีย” ภูพายัพปลอบน้องสาว “พลัดจากกัน…ไม่ได้…ระหว่างทาง” เขาเว้นไม่เอ่ยคำว่าตายออกมา

“มาลี พี่ไม่อยากทำลายความหวังของน้อง พี่สัญญาว่าจะยังตามหาโอลิเวอร์ต่อไป แต่ตัวน้องเองไม่ควรจมปลักกับความเศร้าโศกไม่สิ้นสุด โอลิเวอร์ก็คงไม่อยากเห็นน้องจมทุกข์อยู่อย่างนี้ต่อไป หลายปีมานี้พี่คิดว่าปรันต์ก็ได้พิสูจน์ตัวเองเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเขาพร้อมดูแลน้องเพียงใด กับปาร์กกิงลูกสาวน้องก็เข้ากันได้ดี”

มาลียกมือปาดน้ำตาที่รินไหล หล่อนยอมรับตามที่พี่ชายว่า ปรันต์อยู่เคียงข้างหล่อนนับแต่โอลิเวอร์จากไป เขาปฏิบัติตนเสมือนเงาของโอลิเวอร์แต่ไม่เคยล่วงล้ำเข้าไปเกินกว่าที่มาลีอนุญาต เขาเคยถามหล่อนให้กระจ่างในวันหนึ่งว่า หล่อนคิดอย่างไรถ้าจะสร้างครอบครัวใหม่กับเขา หล่อนตอบไปว่า…จนกว่าจะรู้แน่ชัดว่าโอลิเวอร์ไม่กลับมาแล้ว

หากเป็นคนอื่น…นั่นคือการปฏิเสธอย่างนุ่มนวลและไม่มีหวังให้ต้องรอคอย แทบทุกคนเชื่อว่าโอลิเวอร์จากโลกนี้ไปแล้ว เพียงแต่ไม่พูดว่าตายให้สะเทือนใจเท่านั้น ปรันต์ควรจะถอยห่างจากมาลีตั้งแต่วันที่ได้คำตอบ แต่เขาก็ยังดำรงตนกับหล่อนเสมอต้นเสมอปลายอย่างที่เคยเป็นมาจนแม่นายมุ่ยอ่อนใจแทน แอบกระซิบกับชายหนุ่มบ่อยๆ ว่ามาลีใจแข็งปากแข็งนัก ถ้าปรันต์พบผู้หญิงที่ดีกว่าก็จงเลือกหล่อนผู้นั้นเสีย บางครั้งแม่นายมุ่ยนั่นเองที่กลับค้อนลูกสาวอย่างหมั่นไส้ จนนายห้างวิลเลียมต้องปรามว่าอย่าค้อนมากนัก คนเขานินทาว่าแม่นายมุ่ยอยากได้ลูกเขยทั้งฝรั่งและไทย

“ชีวิตคนเราสั้นนักนะลูก สิ่งใดทำแล้วมีความสุขก็จงทำเถิด อดีตที่ผ่านไปก็เก็บไว้เป็นความทรงจำ เป็นสิ่งให้ระลึกถึงวันที่ผันผ่าน” เป็นครั้งแรกที่นายห้างวิลเลียมเห็นพ้องกับเมียและลูกชาย “ถ้ามาลีจะเริ่มต้นใหม่กับปรันต์ก็คงไม่มีใครตำหนิ แม้แต่โอลิเวอร์เอง พ่อรู้จักโอลิเวอร์ดี พ่อมั่นใจว่าถ้าเขารู้เขาก็ไม่ขัดข้อง”

มาลีเม้มปากนิ่งเงียบไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

ความเงียบเข้าครอบงำอยู่ครู่หนึ่ง พลันวิลเลียมก็ร้องขึ้นมา

“ควิซ”

“เอคโค่” สิริระร้องตอบเป็นคนแรก

นายห้างวิลเลียมล้วงมือควานหาของในกระเป๋าเสื้อและกางเกง ยกมือกำขึ้นมาสองข้าง

“มารับรางวัลไปสิ หมอก”

หากเป็นสมัยเด็ก ของรางวัลผู้ชนะคือทอฟฟี่รสต่างๆ ทว่าวันนี้ในกำมือของพ่อนายวิลเลียมเมื่อแบออกต่อหน้าลูกชายคือความว่างเปล่า นายห้างวิลเลียมยกมือตบหัวลูกชายเบาๆ อย่างเอ็นดู

“ในบรรดาลูกทั้งหมด มายน่าจะเป็นแอปเปิลใต้ต้น” เขาเอ่ยเป็นสำนวนอังกฤษ รู้ว่าเจตสิกจะต้องคันปากจึงหันไปถามเพื่อความมั่นใจว่า “สำนวนไทยคือลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นใช่ไหม”

“ใช่ครับ พ่อนาย” เจตสิกตอบแต่ก็ขอให้พี่ชายอีกคนช่วยย้ำ “ใช่ไหมพี่รอยเมือง”

นายห้างวิลเลียมเอ่ยกับลูกชายคนเล็กต่อไป

“พ่อนายไม่มีของขวัญพิเศษจะให้นอกจากอวยพรให้มายประสบความสำเร็จในทุกเรื่องที่ทำด้วยเจตนาดี” สิสิระก้มศีรษะซบตักพ่อนายกอดเอวแน่นเหมือนครั้งยังเป็นเด็กติดพ่อติดแม่และขี้อาย ทิ้งภาพอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ผู้กำลังเป็นที่จับตามองเพราะโครงการวิจัยที่ทำ

“กล้วยไม้ของไทยมีเยอะมากแล้วก็สวยๆ ทั้งนั้น บางรูปที่ลุงลีรอยวาดมายหาแทบพลิกป่าก็ไม่พบ พอป่าเปลี่ยนไป สภาพอากาศสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป กล้วยไม้หลายอย่างก็ขยายพันธุ์ไม่ได้ เสี่ยงสูญพันธุ์ก็มาก มายเลยอยากหาวิธีขยายพันธุ์ด้วยวิธีอื่นดีกว่าจะรอให้มันผสมเกสรติดผลเองตามธรรมชาติซึ่งยากเต็มที”

โครงการวิจัยเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้ของอาจารย์สิสิระ บูรวนาวงศ์กำลังเป็นที่จับตามองของทั้งโลกวิชาการและเกษตรกร หากทำสำเร็จจะช่วยขยายพันธุ์กล้วยไม้ได้อีกมาก อนุรักษ์ชนิดที่หายาก และขยายไปสู่การปลูกขายในเชิงเศรษฐกิจ

“ถ้าทำสำเร็จนะ หมอกจะทำฟาร์มกล้วยไม้ ตัดดอกขายส่งทั่วโลกเลย”

วิลเลียมรู้ว่าลูกชายคนนี้ต้องพิสูจน์ตัวเองในแวดวงของเขาแค่ไหน ลำพังเรื่องสติปัญญาความรู้ความสามารถไม่น่ากังวลกระไรนัก เพราะสิสิระฝึกฝนในเรื่องที่สนใจอย่างเต็มที่จนเชี่ยวชาญ แต่สิ่งที่ไม่เกี่ยวกับความสามารถแต่มีผลในการสร้างความกดดันแก่เขาคือคำครหาว่า ที่สิริระเลือกเรียนทางด้านวนศาสตร์ ทำวิจัยเกี่ยวกับการฟื้นฟูป่าและอนุรักษ์พันธุ์ไม้หายากนั้นไม่ใช่เพราะเจ้าตัวสนใจ แต่เป็นเพราะอยากชดใช้ให้บรรพบุรุษชาวตะวันตกของเขาที่ได้สัมปทานป่าไม้ในไทย กอบโกยผลประโยชน์ไปยังมิหนำ แต่ปู้ยี่ปู้ยำจนป่าไม้ที่เคยอุดมสมบูรณ์ต้องเสื่อมโทรม ภูเขาเขียวหลายลูกต้องโล้นเตียนเหี้ยนไปเพราะไอ้พวกฝรั่งทำไม้ แม้งานวิจัยของอาจารย์สิริระจะเป็นที่ยอมรับในแวดวงวิชาการ บางผลงานขยายสู่ภาคเกษตรกรรมแล้ว แต่สิสิระก็ยังไม่สามารถเดินฝ่าพ้นพายุอคติของอื่นไปได้

นายห้างวิลเลียมกอดลูกชายแน่นอวยพรอีกครั้ง

“พ่อนายขอให้หมอกทำสำเร็จ”

ภูพายัพ เจตสิก และมาลีขยับเข้ามาใกล้ ย่อตัวลงกอดพ่อนายพร้อมกันเป็นกลุ่มใหญ่ นายห้างวิลเลียมกางแขนกว้างให้เพียงพอจะโอบรับภรรยาและลูกๆ ไว้ในอ้อมแขน หากยังไม่หุบลงเพราะสมาชิกยังไม่ครบ หันไปทางร่างสูงที่อยู่ห่างออกไป

“มาให้พ่อนายกอดพร้อมกับน้องๆ สิลูก รอยเมือง”

รอยเมืองจึงขยับเข้ามาใกล้ ย่อตัวลงให้ต่ำที่สุดให้พ่อนายกอดได้สะดวก นายห้างวิลเลียมใช้โอกาสนี้บอกแก่ลูกทุกคน

“ถ้าวันข้างหน้าพ่อนายแม่นายไม่อยู่แล้ว ขอให้ลูกๆ รักกัน ช่วยเหลือกัน อย่าขัดแย้งจนกลายเป็นศัตรูกันเอง รอยเมือง…พ่อฝากน้องๆ ด้วย และลูกๆ ทุกคนจนเชื่อฟังพี่เขา ให้ถือว่าคำพูดของพี่รอยเมืองก็คือคำพูดของพ่อนาย”

เวลาผ่านไปเนิ่นนานในความรู้สึกของทุกคนที่กอดกันภายใต้ความอาทรของนายห้างวิลเลียม ครั้นคลายอ้อมแขนแล้วนายห้างวิลเลียมจึงแยกตัวขึ้นห้องนอน ปล่อยลูกๆ คุยกันต่อประสาพี่น้อง แม่นายมุ่ยลุกไปดูความเรียบร้อยในครัว ข้าวตอกดอกไม้ น้ำขมิ้นส้มป่อย และอาหารหวานคาวสำหรับไปวัดพรุ่งนี้ก่อนตามสามีขึ้นห้อง

ตลอดหลายปีที่ใช้ชีวิตเคียงคู่กันมา หากไม่นับช่วงที่อยู่ในปางไม้และค่ายเชลย นายห้างวิลเลียมและมุ่ยไม่เคยแยกห้องนอนส่วนตัว แม้บางครอบครัวจะแยกห้องเมื่อสามีภรรยามีอายุมากขึ้น ด้วยเหตุผลว่าเวลาตื่นของแต่ละคนต่างกันจึงไม่อยากรบกวนกัน แต่ไม่ใช่สำหรับวิลเลียมและมุ่ย

ตอนที่มุ่ยเอนตัวลงนอนข้างสามีเบาๆ เพื่อไม่ให้เขาตื่น จัดผ้าห่มให้เรียบร้อยนั้น พลันวิลเลียมก็พลิกตัวมาสวมกอด เขาเคยบอกเสมอว่าการได้เข้านอนพร้อมกันและตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่โดยมีคนที่รักอยู่เคียงข้างคือของขวัญล้ำค่าที่สุดที่สวรรค์มอบให้

ในปีหลังๆ นายห้างวิลเลียมไม่อธิบายอีกแต่แสดงออกด้วยอ้อมกอดที่กระชับแน่น ส่งกระแสอบอุ่นและรักอย่างสุดซึ้งให้ถ่ายทอดถึงกันดุจน้ำทิพย์ซึมซาบเข้าสู่เนื้อใจ

เช้าวันใหม่เริ่มต้นอีกครั้งด้วยเสียงปืน เสียงตีเกราะเคาะไม้ ส่งไล่ตัวสังขารอันหมายถึงปีเก่าให้ล่องผ่านไป ลมหายใจของนายห้างวิลเลียมก็ล่องไปพร้อมกับตัวสังขารนั้น

มุ่ยเกาะระเบียงมองต้นพะยอมยามอรุณไขแสงของปีใหม่จับเรือนยอดไม้ สายลมของวันใหม่พัดเอาพะยอมลูกสุดท้ายหลุดจากขั้ว ปีกสองข้างอย่างลูกยางประสานกับแรงลมพาพัดห่างออกไป การเดินทางของชีวิตใหม่เริ่มต้นขึ้น

พะยอมลูกนั้นจะปลิวไปตกที่ไหนไม่มีใครรู้ เช่นเดียวกับดวงวิญญาณของนายห้างวิลเลียมที่ล่องลอยไป

บางทีอาจไกลถึงที่สุดขอบฟ้า

 



Don`t copy text!