หน้ากากมยุเรศ บทที่ 12 : เปิดใจ (2)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 12 : เปิดใจ (2)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

เนื่องจากสุขุมาลและโปรดปรานยังคงซื้อของที่ปารีส ส่วนประเสริฐและภรรยาอยู่ระหว่างการเดินทางกลับ ในบริษัทจึงเหลือแค่ปวินท์กับภวัตกำลังรอพวกเธอในห้องทำงานของประธาน การสะสางเรื่องคาใจกับผู้ที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายทั้งสองไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก เพราะส่วนใหญ่พวกเขาก็พอรู้เรื่องมาจากประเสริฐ ปวินท์อาจมีบ่นบ้างแต่ทำหูทวนลมเสียก็จบ

ช่วงบ่ายวิมลินจึงได้ต้อนรับพนักงานใหม่แต่เป็นหน้าเก่าในวงการแฟชั่นโชว์ เจคผู้ยืนอยู่ข้างๆ หญิงสาวพอจะนึกใบหน้าซีดเซียวของเทวิกาได้ชัดแจ้งทีเดียว

นับตั้งแต่นั้นบุหรงกาญจน์ก็เป็นดั่งม้าติดปีก แฟชั่นโชว์เดินหน้าอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค งานจึงยุ่งน้อยลงมาก ตรงกันข้ามเจคกลับได้รับบัตรเชิญไปงานเลี้ยงสังสรรค์แทบไม่เว้นแต่ละวัน คงเพราะอิทธิพลจากการเปิดตัวได้น่าประทับใจเกินไป แม้ไม่อยากรับทว่าปฏิเสธคงดูผิดปกติ เขาต้องวิ่งรอกออกงานสายตัวแทบขาด แต่อย่างน้อยมีวิมลินเป็นคู่ควงไปด้วย ชายหนุ่มจึงยิ้มแทบไม่หุบ

คืนนี้เป็นงานแต่งงานของลูกสาวคนสุดท้องของชานนท์ประธานสมาคมธุรกิจสิ่งทอ แน่นอนเขาต้องส่งบัตรเชิญให้เจคซึ่งเป็นลูกชายเพื่อนสนิท หนุ่มใหญ่ยิ้มร่าเมื่อเห็นทั้งสองปรากฏตัวในงาน เขาถอยหลังเพื่อสำรวจคู่หนุ่มสาวให้ชัด แววตาอ่อนแสงลง

“พี่น้องอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า ถ้าเจ้าศลได้มาเห็นเองคงดีใจ”

หางคิ้วเจคกระตุกนิดหนึ่ง หวังว่าอีกฝ่ายคงไม่ทันสังเกต “ยินดีด้วยนะครับคุณชานนท์ เจ้าสาวสวยมาก” จากนั้นทำเป็นมองซ้ายขวา “ว่าแต่ผมยังไม่เห็นคุณเทวิกาเลย”

วิมลินเหล่มองชายข้างตัวอย่างรู้เท่าแต่เขาทำหน้าเฉยได้ทนทายาด ส่วนชานนท์ตอบอ้อมแอ้ม “ช่วงนี้เธอไม่ค่อยสบายน่ะ เลยได้แต่อวยพรมาทางโทรศัพท์”

รอจนแยกตัวจากชานนท์แล้ว เจคก็ฉีกยิ้มไม่หุบจนวิมลินต้องถองศอกใส่ “เก็บอาการหน่อยสิคุณ”

“สนใจทำไม คนแบบเทวิกาควรรับบทเรียนซะบ้าง” ชายหนุ่มตอบเสียงระรื่น

“โดนคุณเล่นงานคงเข็ดไปพักใหญ่ละค่ะ ยกเรื่องที่เธอเคยวางยาพี่แคนมาขู่ซะขนาดนั้น” เสียดายที่ไม่อาจหาพยานหลักฐานเอาผิดเทวิกา จำใจต้องปล่อยมันไว้เป็นเพียงอดีต

“ผมเล่นงานคนเดียวที่ไหนกัน คุณเองก็ออกแรงฟาดใส่เธอไปตุ้บสองตุ้บเหมือนกันแหละ อีกอย่างอย่าประมาท คนแบบนั้นเกิดบ้าเลือดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ยิ่งเธอเงียบอย่างนี้เรายิ่งต้องระวังตัว”

ภายใต้กิริยาทีเล่นทีจริงกลับแฝงด้วยความห่วงใยเธอทุกครั้ง วิมลินจึงพยักหน้าตามอย่างว่าง่าย ทำเอาชายหนุ่มอารมณ์ดี ระหว่างนั้นกวาดตามองรอบๆ เผอิญสายตาปะทะเข้ากับใครบางคน

“นั่นแชมเปญไม่ใช่หรือ”

อดีตเพื่อนสนิทของโปรดปรานก็เห็นเขาเช่นกัน เธอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนรีบหลบไป ชายหนุ่มจึงหันมาถามสาวข้างกาย “ลูกปลายังคบเธออยู่ไหม”

“ไม่ค่ะ อาสุเล่าความจริงให้ฟังหมดแล้ว ลูกปลาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลย”

เจคพยักหน้ารับรู้ วันนี้เป็นการจัดเลี้ยงแบบค็อกเทลพวกเขาจึงเดินรอบงานไปเรื่อยๆ จนถึงมุมห้องด้านหลังที่เปิดไปสู่เฉลียงโดยมีม่านกั้นไว้ครึ่งๆ ชายหนุ่มก็ดันตัววิมลินไปทางหลังม่าน โอบเอวไว้อย่างถือสิทธิ์ หญิงสาวหน้าตื่น

”อย่าค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็น” พูดพลางทั้งหยิกทั้งข่วนให้เขาปล่อยมือ แต่เจคทำนิ่งเหมือนพระอิฐพระปูน

“ไม่ละ จะเอาคืนที่คุณถองศอกใส่เมื่อครู่”

หลังแกล้งจนหนำใจจึงยอมปล่อยเชลยเป็นอิสระ หญิงสาวหน้าไม่แดงเพราะเครื่องสำอางบังไว้แต่ติ่งหูขึ้นสีเข้มจัดจนเขากลั้วหัวเราะ แต่แล้วเสียงหัวเราะพลันหายไปดื้อๆ จนหญิงสาวสงสัย พอมองดูก็เห็นเจคหันหน้าไปอีกทาง

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”

ชายหนุ่มกลับยักไหล่ตอบ “ไม่มี ผมคงตาฝาดน่ะ”

พูดจบก็เลิกม่านขึ้น เปิดทางให้หญิงสาวกลับเข้างานเลี้ยงอีกครั้ง จนกระทั่งงานเลิกเตรียมเดินทางกลับ เพิ่งก้าวขึ้นรถเจคก็สลัดเสื้อสูทและเนกไท ทิ้งตัวกับเบาะพลางพ่นลมหายใจพรืด วิมลินเฝ้าสังเกตนิ่งๆ สำหรับเขาที่ชอบอยู่กับธรรมชาติ งานเลี้ยงประเภทนี้คงสูบพลังงานไปไม่น้อย จึงเอ่ยถามหลังเจคบังคับพาหนะเคลื่อนตัว

“เหนื่อยไหมคะ”

เขาตอบแม้สายตายังมองแต่ถนน “เติมพลังหน่อยสิ”

แล้วยื่นมือซ้ายมาข้างหน้าเธอ หญิงสาวประสานนิ้วกับเขาก่อนวางที่ตักตัวเอง รอยยิ้มบางจึงผุดยังใบหน้าชายหนุ่ม ส่วนวิมลินพอรู้ตัวก็กำลังแย้มริมฝีปากอยู่เหมือนกัน

ความสุข…มักเรียบง่ายเช่นนี้เอง

เจคไล้นิ้วไปตามหลังมือนุ่มนวล ยามคิดว่าเจ้าของมือเล็กๆ นี่ต้องฟันฝ่าสิ่งใดมาบ้าง หัวใจก็ถูกบีบจนเจ็บ “ถามผมเหนื่อยไหมแต่ที่จริงตัวคุณต่างหาก กลางวันก้มหน้าทำงาน กลางคืนปั้นหน้าใส่คนอื่น แถมยังต้องคอยระวังคนอย่างเทวิกาจะแว้งกัดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เหนื่อยไหมครับ”

วิมลินไหวไหล่ “ชินแล้วละ”

“ผมไม่ชิน” ต้องมองคนที่รักเผชิญสภาพแบบนั้นวันแล้ววันเล่า ใครมันจะยอมรับไหว แต่หญิงสาวกลับตีความคำพูดเขาไปอีกทาง ชายหนุ่มคงเหนื่อยมากจนเผลอบ่นออกมา จึงรีบปลอบ

“อดทนอีกนิดเดียว พอเดือนหน้าหลังประชุมกรรมการเสร็จคุณก็ไม่ต้องอยู่แล้ว”

ทั้งห้องโดยสารพลันเงียบกริบ วิมลินแตะริมฝีปากพร้อมดวงตาเบิกกว้าง นึกอยากดึงคำพูดย้อนกลับมาแต่ไร้ประโยชน์ ทั้งที่เตือนตัวเองให้ระวังมาตลอด แต่ก็เผลอหลุดปากเรื่องต้องห้ามเข้าจนได้

หากเจคกลับไปนิวซีแลนด์…ระหว่างเขากับเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป

เจคย่นหัวคิ้วทันควัน ตั้งท่าจะเอ่ยบางอย่างแต่เธอกลับรีบห้าม

“อย่าเพิ่งค่ะ ฉันขอโทษที่หลุดปากไปแต่ขอเถอะ…อย่าเพิ่งพูดถึงมันเลยได้ไหม”

น้ำเสียงอ้อนวอนเบาหวิวราวแสงตะเกียงริบหรี่ สีหน้าชายหนุ่มคล้ายมีผนึกน้ำแข็งเกาะไว้อีกชั้น กล้ำกลืนคำพูดลงไปอย่างยากลำบาก ทำได้เพียงออกแรงบีบมือที่กุมไว้ แต่อย่างไรก็ไม่อาจช่วยให้ปลายนิ้วเย็นเฉียบของเธออบอุ่นขึ้นมาเลย

 

ช่วงเวลาสงบสุขเจือรสขมปร่าดำเนินไปอย่างราบรื่น จนวันหนึ่งประเสริฐก็ปรารภขึ้น

“หยุดพักผ่อนกันเสียหน่อยเถอะ รวมญาติไปที่บ้านเขาใหญ่กันไหม”

บุหรงกาญจน์มีบ้านพักตากอากาศหลังใหญ่อยู่ที่นั่น นานๆ ครั้งก็จะใช้จัดชุมนุมรวมญาติกันสักที ถือเป็นโอกาสเหมาะให้ผ่อนคลายหลังลุยงานหนักกันมาตลอด จึงไม่มีใครคัดค้าน

บ้านพักตากอากาศตั้งอยู่บนส่วนหนึ่งของเนินเขา อาคารสามชั้นสไตล์ทัสคานีทรงเหลี่ยมสีครีมปนน้ำตาลหลังคาปั้นหยา ครึ่งหนึ่งของชั้นสองเป็นลานระเบียงขนาดใหญ่ไร้หลังคา มองลงไปเห็นสนามหญ้ารอบบ้านกว้างขวางตกแต่งด้วยไม้พุ่มและหินประดับ เมื่อพวกเขามาถึงต่างแยกย้ายเข้าห้องงีบหลับเอาแรง จนตอนเย็นจึงเริ่มจัดงานเลี้ยงที่สนามหญ้า

เจคถือเครื่องดื่มในมือ พิงตัวกับราวระเบียงชั้นสอง ก้มมองพวกญาติๆ กำลังเพลิดเพลินกับการปิ้งบาร์บีคิว หรือจับกลุ่มคุยกันบริเวณลานสนามหญ้าข้างล่าง งานเลี้ยงสังสรรค์ดำเนินไปจนเข้าสู่ช่วงดึกทว่าทุกคนยังดูสนุกสนาน อาจเพราะมีฤทธิ์แอลกอฮอล์ช่วยเสริม หลังมองจนเบื่อก็เปลี่ยนเป็นแหงนดูดาวบนท้องฟ้า จู่ๆ พลันมีมือมาแตะไหล่ หันไปเจอประเสริฐกำลังยิ้มพลางชูแก้วไวน์

“เอาหน่อยไหม”

ชายหนุ่มรีบแสดงเบียร์เต็มแก้วในมือให้ดู “ขอเว้นเถอะครับ ไปงานเลี้ยงดื่มแต่ไวน์มาทั้งอาทิตย์แล้ว อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”

ประเสริฐหัวเราะ ยืนพิงระเบียงชมวิวไปพร้อมกับเขา เจคได้จังหวะเริ่มบ่นเรื่อยเปื่อย

“ผมละนับถือพวกคุณลุงคุณอาจริงๆ ทั้งงานราษฎร์งานหลวงยุ่งไปหมด” ทำเป็นทุบไหล่อั้กๆ “ผมเจอเข้าไปแค่นิดเดียวยังเหนื่อยสายตัวแทบขาด”

เพื่อปูทางไปสู่การถอนตัวจากบุหรงกาญจน์อย่างละมุนละม่อม วิมลินจึงแนะนำให้เจคเริ่มบ่นเรื่องงานเรื่องรอบตัวให้คนอื่นฟังเยอะขึ้น เวลาอ้างทีหลังว่าทนไม่ไหวขอถอนตัวจะได้ดูแนบเนียน

“เดี๋ยวก็ชินน่า”

“ไม่รู้สิครับ ผมก็พยายามแล้วนะแต่มันอึดอัด” จากนั้นระบายอีกหลายประโยค ก่อนเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อไม่ให้ดูเป็นการจงใจเกินไปนัก “ข้างล่างคนเยอะครึกครื้นกันดีนะครับ”

“ปกติเยอะกว่านี้อีกนะ นู่น” ชี้ไปที่ลูกชาย “มาเขาใหญ่ทีไรเจ้าปริ้นต้องพกแฟนมาด้วยตลอด แต่ครั้งนี้กลับมาคนเดียว”

“สงสัยจะวางเขี้ยวเล็บชั่วคราว” เจคแซวแต่อีกฝ่ายกลับยิ้มขำ

“รายนั้นน่ะไม่มีทางหรอก สาวเจ้าคงไม่ว่างซะมากกว่า” ก่อนทำท่านึกขึ้นได้ “ปีหน้าคนเยอะกว่านี้แน่ เพราะปริ้นเซสเรียนจบจะกลับมาจากต่างประเทศแล้ว”

ประเสริฐพูดถึงลูกสาวคนเดียวด้วยน้ำเสียงร่าเริงแต่คนฟังกลับย่นหัวคิ้วนิดๆ ยังจำสิ่งที่เธอคนนั้นเคยทำไว้กับวิมลินเมื่อสมัยเด็กได้แม่น แล้วเหมือนมีบางอย่างดลใจ ชายหนุ่มเริ่มเลียบเคียงขึ้นว่า

“ลุงเสริฐจะให้เธอกลับมาช่วยงานที่บริษัทหรือครับ”

“ไม่ละ” ประเสริฐปฏิเสธทันควัน “งานพวกนั้นปล่อยผู้ชายทำกันเองเถอะ”

“เอ๋ แต่อาสุกับอิงก็เป็นผู้หญิงนะครับ” เขาแกล้งแหย่

“กรณีของสุน่ะเธออยากทำเพราะไม่พอใจคำสั่งกีดกันของพ่อมากกว่า พวกเราเลยตกกระไดพลอยโจน ส่วนอิงนั่น…” เขาอ้อมแอ้มตอบเสียงเบาลง “เธอก็เก่งจริงๆ นั่นแหละ”

“ครับ ผมก็ว่าเธอเก่ง” ชายหนุ่มรับลูก “สารภาพกันแบบไม่อาย เธอเหมาะจะเป็นประธานบริษัทมากกว่าผมซะอีก ผมว่าตัวเองไม่ค่อยถนัดงานนี้เท่าไหร่”

ประเสริฐสะดุ้งโหยง “พูดอะไรอย่างนั้น เป็นไปไม่ได้!”

“ทำไมล่ะครับ อย่าบอกนะเพราะเธอเป็นผู้หญิง ระดับลุงเสริฐไม่ล้าสมัยแบบนั้นหรอกใช่ไหมครับ”

สีหน้าคนฟังบ่งชัดว่าถูกแทงใจดำดังอึ้ก “ไม่ใช่หรอก แต่อิงเคยทำข้อผิดพลาดครั้งใหญ่ไว้ต่างหาก”

“อ๋อ เรื่องนั้นเอง” เจคตัดบท “ลุงเสริฐไม่สงสัยเหรอครับคนเก่งขนาดนั้นทำไมพลาดง่ายๆ ผมก็เพิ่งทราบเมื่อไม่นานนี้ เป็นเพราะเทวิกาแอบแกล้งอิงอยู่เบื้องหลัง ถ้าไม่มีเทวิกาความเสียหายจะไม่เยอะขนาดนั้นหรอกครับ”

ประเสริฐเบิกตาโต “จริงเรอะ ลุงไม่เคยรู้มาก่อนเลย”

“ลุงเช็กกับอิงดูได้เลยครับ พูดอีกอย่างจะโทษเป็นความผิดอิงทั้งหมดก็ไม่ยุติธรรม ผมว่าเธอไม่ควรโดนตัดสิทธิ์จากการเป็นทายาทคุณพ่อ เพื่อผลประโยชน์บุหรงกาญจน์เราเลือกคนเก่งๆ มาเป็นประธานไม่ดีกว่าหรือ ผมยินดีหลีกทางให้ครับ”

ประเสริฐยื่นมือมาตบบ่าเขา “หลีกทางอะไรล่ะ เราก็ดำรงตำแหน่งประธานไปนั่นแหละ อิงเขาเป็นน้องสาวต้องคอยช่วยเราอยู่แล้ว สองแรงแข็งขันจะมาแบ่งทำไมใครเก่งไม่เก่ง”

กล่าวเสร็จรีบขอตัวจากไปอย่างรวดเร็ว เจคเยาะยิ้มใส่แก้วเบียร์เย็นชืดในมือ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแทนวิมลิน แต่เมื่อทราบความจริงก็ได้แต่ปลงอนิจจัง ที่วิมลินยอมปล่อยครอบครัวเอาเปรียบมาตลอดไม่ใช่เพราะเธอใจเสาะ หญิงสาวทราบดีจะเอาคืนและเหยียบหัวพวกนั้นขึ้นไปเมื่อไรก็ได้ เธอแค่ไม่อยากทำ!

ชายหนุ่มหมดอารมณ์จะลงไปร่วมสังสรรค์ แม้แต่ภาพคนเบื้องล่างก็ไม่อยากมอง จึงหันหลังพิงราวระเบียงจมลึกในภวังค์ความคิด พักใหญ่ค่อยเห็นวิมลินเดินมาหายื่นแก้วเบียร์เย็นเฉียบให้ เขารับมาดื่มเงียบๆ อารมณ์หดหู่พลันจางหายพร้อมแอลกอฮอล์ที่ล่วงลงคอ

เจคหมุนตัวกลับไปเท้าศอกยังราวระเบียง จิบเบียร์รอจนหญิงสาวเดินมาหยุดข้างๆ ก็คว้ามือเธอไปกุมไว้ด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ทำเอาวิมลินสะดุ้ง

“อย่าค่ะ เดี๋ยวคนเห็น” นับจากงานแต่งลูกสาวชานนท์ชายหนุ่มก็ทำตัวสงบเสงี่ยมขึ้นมาก แทบเก็บไม้เก็บมือไว้ในลิ้นชัก ทำไมวันนี้ตบะแตกเสียได้

“กำแพงปูนกั้นระเบียงทึบจะตาย คนข้างล่างมองขึ้นมาเห็นแค่หัวกับอกเราเท่านั้นละ”

“แต่ถ้าเกิดมีคนเดินขึ้นบันได”

เจคพยักพเยิดไปทางสวน “ทุกคนอยู่ที่นั่นกันหมดจะมีใครขึ้นมาได้ อีกอย่างกำลังสนุกกันจะตายสนใจบนนี้ทำไม ต่อให้ผมจูบคุณก็คงไม่มีใครเห็น” เขากลั้วหัวเราะเมื่อเธอหน้าร้อนผ่าว ทำท่าจะเดินหนีจนต้องรีบดึงตัวไว้ “โอเคไม่แกล้งแล้ว แค่จับมือก็พอ”

“ลงไปเถอะค่ะ” วิมลินต่อรอง “ทุกคนเรียกหาคุณเลยให้ฉันขึ้นมาตาม”

ชายหนุ่มสั่นหัวดื้อดึง “ลงไปต้องคุยกับคนนู้นคนนี้ผมขออยู่ข้างบนดีกว่า อยากมีสมาธิชมดาว”

เขาชี้นิ้วขึ้นฟ้าหญิงสาวจึงแหงนมองตาม ค่ำคืนไร้จันทร์ไร้เมฆมีแค่ดวงดาวอวดโฉมเต็มผืนนภาสีดำสนิท ส่องแสงระยับประหนึ่งอัญมณีแห่งท้องฟ้าไร้ผู้ครอบครอง ทำได้เพียงประทับไว้ในห้วงความทรงจำ

แสงดาราสะท้อนประกายอยู่ในดวงตาดำขลับของเธอ ชายหนุ่มทั้งชื่นชมแกมอิจฉา อยากให้เธอมองมาที่เขาเหมือนที่มองดาว เงาของเขาจะได้ประทับอยู่ในนั้นบ้าง

“ถ้ายอมอดนอนอยู่ดึกกว่านี้ อีกสองสามชั่วโมงจะเห็นทางช้างเผือกโผล่ออกมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ด้วยนะ”

วิมลินหัวเราะเบาๆ “จะอยู่ดูดาวทั้งคืนเลยใช่ไหม”

“เปล่าหรอก แต่พอเห็นแล้วก็อดนึกไม่ได้ ถ้าดาวสามารถบอกหนทางแก้ไขปัญหาพวกเราได้เหมือนที่มันใช้บอกทิศทางก็คงดี”

หญิงสาวนิ่งงัน เคลื่อนสายตาจากบนฟ้าลงมาจับตรึงยังใบหน้าเขา เจคบีบมือที่เกาะกุมเอาไว้ คล้ายอยากมอบความอบอุ่น หรือไม่ก็เรียกหาความกล้าเพื่อระบายความอัดอั้นซึ่งสะสมมานาน

“หลังจบเรื่องทั้งหมด คุณจะยอมทิ้งบุหรงกาญจน์ไปอยู่กับผมไหม“

นิ้วเรียวในอุ้งมือเขากระตุกวูบขึ้นทันที หัวใจชายหนุ่มทิ้งหล่นแทบเท้า กลั้นใจรอฟังคำปฏิเสธอย่างคนพ่ายแพ้ ทว่าจนแล้วจนรอดอีกฝ่ายกลับไม่เอ่ยปาก พริบตานั้นในที่สุดเจคก็รับรู้ แม้มือที่เขากุมไว้ยังคงสั่นสะท้านห้ามไม่อยู่ แต่เจ้าของมือกลับไร้ทีท่าจะพยายามดึงกลับหรือสะบัดทิ้งแม้แต่น้อย

หัวใจเขาเต้นรัวแทบกระดอนจากอก วางแก้วเบียร์กับขอบระเบียง ใช้สองมือกุมมือเธอไว้แนบแน่น ดวงตาเป็นประกาย “คุณยอมรับใช่ไหม ถ้าออกจากบุหรงกาญจน์คุณจะลำบากมาก ผมเคยกลัวว่าคุณจะไม่ฟังข้อเสนอเห็นแก่ตัวของผมซะอีก”

ใช่ เขากลัวจริงๆ อย่างแรกเขากลัวเธอจะไม่ยอมปล่อยมือจากครอบครัวที่คอยแต่เอารัดเอาเปรียบ หรือถ้าเธอฝืนใจเพราะรักเขา แต่เขาคงไม่มีวันดูแลเธอได้ดีแบบที่บุหรงกาญจน์เคยทำ ความคิดเหล่านี้เหมือนหลุมดำที่ดูดเอาความกล้าจมหายหมดสิ้น จนแล้วจนรอดก็ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร

หญิงสาวช้อนสายตาขึ้นประสานกับชายหนุ่ม “ตรงกันข้ามเลยค่ะ ฉันแอบคิดเรื่องนี้มาตลอดแต่ไม่กล้าบอกคุณ เพราะ…” เธอกัดริมฝีปาก “ถ้าฉันไปกับคุณ แต่สถานะของคุณในสายตาคนภายนอกยังติดค้างความเป็นพี่ชายอยู่ เท่ากับพวกเราต้องใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ ไปตลอด แบบนั้นอาจยิ่งกว่าตกนรกเสียอีก ฉันต่างหากที่ทำคุณลำบาก”

สองคนผู้คิดเหมือนกันแต่กลับเข้าใจคนละทาง เรื่องง่ายเลยกลายเป็นยากขึ้นมาหลายเท่า ทว่าในที่สุดก็เห็นตรงกันเสียที

ถ้าไม่เพราะชั้นล่างยังมีคนอยู่กันเต็ม เขาคงกอดเธอหมุนตัวเต้นระบำแล้ว

“ขอแค่ได้อยู่กับคุณ นรกก็เป็นสวรรค์ของผม”

วิมลินหลุดขำใส่คำพูดเฉิ่มๆ ของเขาแต่เจคฉีกยิ้มไม่รู้สึกรู้สา หญิงสาวเอียงคอมองอย่างเอ็นดู รู้สึกผิดนิดๆ ถึงกระนั้นก็ต้องจำใจพูด “แต่ฉันคงไปกับคุณทันทีไม่ได้หรอกนะ”

“ผมรู้” ชายหนุ่มรีบพยักหน้า “คุณยังมีภาระต้องสะสางอีกหลายอย่าง แต่ไม่เป็นไรขอแค่คุณรับปากก็พอจากนั้นผมจะรอ กี่ปีกี่สิบปีก็จะรอ”

“ไม่นานขนาดนั้นหรอกค่ะ” ดวงตาพริบพราวของเธอส่องประกายยิ่งกว่าดาวดวงใดบนฟ้า “ขอแค่จบแฟชั่นโชว์แล้วฉันจะรีบตามคุณไป”

เจครู้เสียยิ่งกว่ารู้ ถ้าหญิงสาวรับปากแล้วต้องทำสำเร็จจนได้ รอบตัวเหมือนมีแสงเรืองรอง ราวกำลังเดินในสวนดอกไม้เบ่งบานท่ามกลางแดดเจิดจ้า

วินาทีนั้นเอง เสียงหนึ่งพลันตะโกนขึ้นจากเบื้องล่าง

“เจค พี่อิง ลงมาด่วนเลย!” โปรดปรานชูโทรศัพท์เหนือศีรษะ โบกไม้โบกมือลนลาน “แย่แล้ว! แย่สุดๆ ลงมาดูข่าวด่วนเร็ว”

ราวกับความสว่างไสววูบดับเหมือนปิดสวิตช์ ปล่อยความมืดทิ้งตัวเข้าโอบกอดและแสยะยิ้ม สองหนุ่มสาวมองหน้ากัน

มือที่เกาะกุมอยู่เผลอคลายออกเล็กน้อย…



Don`t copy text!