หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (2)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (2)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

ทันทีที่เจคปรากฏตัวในห้องประชุมเล็ก พวกญาติๆ ซึ่งรออยู่ก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่มตามสีหน้าที่แสดงออกมา พวกแรกคือคนที่ไม่เคยเจอเจคมาก่อนต่างมีทีท่าพอใจเข้ามาทักทายชายหนุ่ม ส่วนพวกหลังอันได้แก่คนที่เคยพบเขาล้วนส่งสายตาเหลือเชื่อให้วิมลิน แม้แต่ภวัตที่ยืนข้างประตูยังก้มกระซิบกับเธอ

“เราจับเงาะป่าเปลี่ยนเป็นสังข์ทองซะพี่เกือบจำไม่ได้”

วิมลินตอบด้วยเสียงระดับเดียวกัน “ไม่ถอดรูปขนาดสังข์ทองหรอกค่ะ แค่จับเงาะปอกเปลือกผลิตเป็นเงาะกระป๋องเท่านั้น”

คนฟังกลั้วหัวเราะ “ตั้งแต่ลุงศลเสีย เพิ่งเห็นอิงกลับมาพูดเล่นเหมือนเดิมอีกครั้งหลังเจอเขานี่แหละ พี่ดีใจนะ”

หญิงสาวชะงัก นี่เธอดูผ่อนคลายขึ้นตั้งแต่ได้รู้จักกับเจคจริงๆ หรือ ทว่าไม่ทันทบทวนมากกว่านั้นญาติบางคนก็กวักมือเรียกเสียก่อน

“อิงช่วยแนะนำพี่ชายกับอาๆ หน่อยเร็ว”

บรรดาคนที่มาวันนี้นอกจากญาติสายตรงก็เป็นญาติห่างๆ ที่ถือหุ้นบริษัทกันคนละนิดละหน่อย วิมลินแนะนำเจคกับญาติทีละคน ทำท่าจะข้ามปวินท์ไปเพราะพวกเขาเคยเจอกันมาแล้ว แต่ปวินท์กลับยื่นมือไปด้านหน้าเจค

“อดีตพวกเราอาจเคยผิดใจกัน ตอนนายเพิ่งมาถึงฉันก็มึนตึงใส่อีก ขอโทษนะ อภัยได้ไหม”

ท่ามกลางสายคนหมู่มาก เจคจึงจับมือปวินท์ไว้ “โอเคครับพี่ชาย”

ทุกคนล้วนแสดงความพอใจ วิมลินแนะนำเขาต่อจนมาถึงคนสำคัญผู้ถือหุ้นบริษัทสิบห้าเปอร์เซ็นต์

“นี่อาสุค่ะเจคจำได้ไหม น้องสาวคนเดียวของคุณพ่อ แล้วที่ยืนข้างๆ ก็ลูกปลาลูกสาวอาสุ ชื่อจริงโปรดปรานค่ะ”

อ้างอิงข้อมูลที่รับจากวิมลิน ตัวการซึ่งมีปัญหากับอาม่าใหญ่มากกว่าใคร มิหนำซ้ำอาจเป็นตัวตั้งตัวตีขัดขวางการยกที่ดินให้มูลนิธิ ก็คือสุขุมาลคนคนนี้นี่เอง แต่หลังอากงเสียโกศลพ่อวิมลินกลับช่วยดึงเธอผู้เป็นบุตรสาวซึ่งอากงกีดกันจากธุรกิจครอบครัว เข้ามามีตำแหน่งออกหน้าออกตา ความสัมพันธ์ระหว่างกันจึงไม่ย่ำแย่อะไรนัก

สุขุมาลรับไหว้เจคอย่างไว้ตัวแต่ไม่ถึงกับห่างเหิน เธอเป็นหญิงวัยกลางคนที่ดูแลตัวเองดีเยี่ยม ใบหน้าซึ่งแต่งไว้บางเบาแทบไม่เห็นริ้วรอย ทำผมแสกข้างดัดลอนหนาปัดมาปิดหน้าผากซ้ายระถึงแก้ม ฝ่ายลูกสาวอย่างโปรดปรานน่าจะอายุยี่สิบเศษๆ ปากนิดจมูกหน่อย สวมเดรสเข้ารูปปกกะลาสีจึงดูน่ารักสมวัย เธอมองเจคด้วยสายตาเฉยเมย ยืนฟังแม่ตัวเองพูดกับชายหนุ่ม

“เจคกลับมาช่วยงานก็ดี ขยันเอาอย่างปริ้นกับวัตเขานะ คนหนึ่งอยู่จัดซื้ออีกคนฝ่ายกฎหมาย”

“แล้วลูกปลาช่วยงานแผนกไหนครับหรือยังเรียนอยู่”

“รายนี้เรียนจบแล้ว อาเรียกมาช่วยงานก็ไม่สนอยากปั้นแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง เพิ่งเปิดตัวได้ไม่ถึงปีแต่เดี๋ยวจะมีแฟชั่นโชว์เชียวนะ”

“โอ้โหเก่งจัง ผมอยากไปดูบ้างจะได้ไหมครับ”

อาการกระตือรือร้นอย่างจริงใจของเขาทำให้ท่าทีของสุขุมาลอ่อนลงมาก “แค่งานเล็กๆ ที่เชิญห้าแบรนด์เสื้อผ้าดาวรุ่งมาโชว์ร่วมกันเท่านั้น แต่อาจะหาบัตรให้นะ”

ประเสริฐเห็นว่าใช้เวลากันพอสมควร จึงบอกให้กลับไปทำงานก่อนเพราะพักเที่ยงยังมีงานเลี้ยงมื้อใหญ่ต้อนรับเจค ทุกคนถึงยอมแยกย้าย ในส่วนของเจคนั้นประเสริฐเหน็บปวินท์ลูกชายคนโปรดเดินมาส่งถึงห้องทำงานด้วยตนเอง ซึ่งก็อยู่ชั้นเดียวกับห้องประชุมเล็กแห่งนี้อันเป็นชั้นบนสุดของอาคาร

“นี่แหละห้องประธาน”

ประเสริฐผายมือไปตามเฟอร์นิเจอร์ในห้อง ตั้งแต่โต๊ะทำงานไม้เนื้อแข็งทรงเทอะทะ ตู้แบบบิลต์อินฝังผนังวางรูปปั้นฮกลกซิ่วกับป้ายรางวัลต่างๆ ที่บริษัทได้รับมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน

“ศลเขาใช้ห้องต่อจากเตี่ยการตกแต่งเลยค่อนข้างล้าสมัย ลุงแค่เพิ่มโต๊ะทำงานอิงไว้ในนี้จะได้ดูแลกันสะดวก ถ้าเจคจะปรับเปลี่ยนอะไรก็ตามสบายนะ”

ประเสริฐชี้แจงอย่างใจป้ำ แต่ไม่ทันฟังคำบอกรับหรือปฏิเสธจากหลานชายก็มีโทรศัพท์ขัดจังหวะ เลยขอตัวรับสายนอกห้อง วิมลินเชิญเจคไปนั่งหลังโต๊ะทำงาน เนื่องจากปวินท์ยังป้วนเปี้ยนอยู่ในห้อง เธอจึงแสดงละครเป็นคนดูแลที่ดีด้วยการเอ่ยแนะนำพี่ชายกำมะลอ

“ปกติเอกสารที่ส่งมาจะแบ่งเป็นสามกอง กองแรกคือพวกที่ต้องอ่านแล้วพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร กองสองเป็นเอกสารที่รอเซ็นอนุมัติในขั้นตอนสุดท้ายหรือแค่แจ้งให้ทราบเท่านั้น ส่วนกองสุดท้ายเป็นพวกจดหมายบัตรเชิญต่างๆ ให้เลือกจะไปไม่ไปหรือมีคำสั่งอื่น แต่ปัจจุบันพี่เจคน่าจะยังไม่ได้รับกองนี้ เอกสารกองที่สองลุงเสริฐก็จัดการให้อยู่ เหลือแต่กองแรกที่อยากให้ลองอ่านแล้วค่อยๆ ศึกษาไปค่ะ”

เจคหยิบแฟ้มบนสุดมาเปิดดูด้วยสีหน้าเหมือนอมดีขม วิมลินอธิบายไปทีละขั้นอย่างอดทน ปวินท์นั่งลงที่ชุดโซฟารับแขกทางอีกฝั่งของห้อง มองพวกเธอพลางยิ้มแบบกึ่งๆ เอือมระอา พักใหญ่ประเสริฐก็เปิดประตูเข้ามา คิ้วขมวดจนหน้าย่น

“อิงไปคุยกับลุงที่ห้องหน่อยสิ อาสุมีเรื่องปรึกษา”

หญิงสาวเลิกคิ้ว เหลือบดูเจคและเอกสารในมืออย่างลังเล ปวินท์จึงอาสา “อิงไปเถอะ เดี๋ยวพี่อธิบายต่อให้เอง”

“เอ๋ แต่…”

“ทำไมล่ะ หรือเรามีสิทธิ์ดูแลว่าที่ประธานได้คนเดียว”

แม้ท่าทางของลูกพี่ลูกน้องจะออกทีเล่นมากกว่าทีจริง หญิงสาวยังคงรีบปฏิเสธ แน่นอนที่เธอจะรู้สึกไม่ปลอดภัยหากปล่อยเจคไว้กับปวินท์หรืออาจเป็นญาติคนอื่นตามลำพัง แต่ในไม่ช้าสถานการณ์เช่นนี้ก็ต้องเกิดขึ้นจนได้ แค่ยอมให้มันเกิดเร็วกว่าที่คาดหน่อยเท่านั้น

เจคต้องหัดรับมือกับปัญหาด้วยตัวคนเดียวแล้ว หวังว่าเขาจะพร้อมอย่างที่ปากพูด

พอหมดสายตาบุคคลที่สามในห้อง ปวินท์ก็ร่าเริงเหมือนนกหลุดจากกรง เขาพิงสะโพกริมโต๊ะทำงานข้างเจค ตบไหล่เจ้าของห้องเบาๆ “กลับไทยทั้งทีมีใครพาไปฉลองใหญ่หรือยัง”

“ก็มื้อกลางวันนี้ไงครับ”

ปวินท์ทำหน้าเหม็นบูด “งานน่าเบื่อแบบนั้นไม่นับ ฉันหมายถึงความสนุกตอนกลางคืนต่างหาก ยังไม่มีใช่ไหมล่ะเพราะยายอิงนิสัยฤษีเฝ้าถ้ำซะขนาดนั้น ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ใหญ่คนนี้จัดให้เอง คืนนี้เลยไหม”

วิมลินเคยเตือนถึงนิสัยรักสนุกของปวินท์ไว้บ้าง แต่คิดไม่ถึงอีกฝ่ายจะรุกเร็วชนิดไม่เหยียบเบรก ว่าที่ประธานกำมะลอจึงแบ่งรับแบ่งสู้ “ตอนเย็นต้องย้ายของเข้าบ้านครั้งแรกครับ ไว้ครั้งหน้าเถอะคุณปริ้น”

“โอเคตามนั้น สัญญาแล้วนะ”

ปวินท์ตอบอย่างอารมณ์ดี ก่อนเปลี่ยนสู่โหมดเอาจริงเอาจังหยิบแฟ้มมาสอนงานเจคแทน และถ้าเปรียบเทียบแบบไร้อคติ เขาถือเป็นครูที่ดีกว่าวิมลินมาก อาจเพราะหญิงสาวรู้แก่ใจว่าสอนธุรกิจเจคก็เหมือนตักน้ำรดหัวตอ แถมจบเรื่องเมื่อไรตอยิ่งรีบมุดดินหนี จึงสอนแบบขอไปที ตรงกันข้ามกับปวินท์ที่ตั้งอกตั้งใจ คำอธิบายละเอียดและเข้าใจง่ายมากจนเจคต้องปรับมุมมองต่อลูกพี่ลูกน้องเสียใหม่

อันดับแรกคือท่าทีที่ปวินท์มีกับเขา เรียกว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือก็ได้ ปวินท์แสดงการยอมรับว่าที่ประธานคนใหม่และพร้อมตีสนิทอย่างเปิดเผย แน่นอนคงมีคนตักเตือนเขาไว้ แต่ตัวปวินท์เองก็นับว่ามีหัวคิดพอจะยอมกลืนน้ำลายเพื่อรักษาผลประโยชน์ แล้วยังความรู้ในด้านธุรกิจนี่อีก หากประเมินเขาด้วยภาพลักษณ์ภายนอกเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เผลอๆ ไก่ตัวนั้นอาจโดนกระทืบตายทีหลัง!

“เอาละ” ปวินท์ปิดแฟ้มสุดท้ายลง “จบหมดแล้ว งานวันนี้ถือว่าน้อยกว่าค่าเฉลี่ย นายโชคดีนะเนี่ย”

ว่าที่ประธานกำมะลอจ้องกองแฟ้มตั้งสูงพลางทำหน้าปุเลี่ยน “ขนาดน้อยๆ ยังเล่นเอามึน”

“ค่อยเป็นค่อยไป ขออย่างเดียวอย่าประมาทอย่างยายอิงก็พอ เหลิงว่าตัวเก่งจนพลาดไม่เหลือซาก อนาคตดับวูบเลย”

เจคถึงกับหมุนเก้าอี้มาหาคนพูด “หมายถึงที่เธอทำบริษัทเสียหายร้อยกว่าล้านนั่นหรือ”

แววตาปวินท์แฝงประกายคมกริบ “นี่ยายอิงยอมเล่าความผิดพลาดที่สุดในชีวิตให้ฟังด้วยเรอะ”

“เธอเล่ายาวเท่าที่ผมบอกนั่นแหละครับ”

ปวินท์แค่นหัวเราะ พิงโต๊ะอีกครั้งขณะกอดอกถามเขา “อยากฟังเรื่องมันๆ ไหมล่ะ”

เจคอาจไม่มีความรู้ด้านธุรกิจ แต่สันดานมนุษย์ไม่ต้องใช้ความรู้ซับซ้อนอะไรเลย เขาเดาความคิดชายตรงหน้าได้แทบทะลุปรุโปร่ง

ปวินท์หมายจะสร้างความแคลงใจระหว่างเขากับวิมลิน หวังดึงไก่อ่อนอย่างเขาไปอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกตัวเองแทนน้องสาว หากแฉความผิดพลาดของวิมลินจนตระหนักว่าเธอก็ไม่ได้เก่งกาจ เขาอาจเกิดความลังเลยามวิมลินเสนอความเห็น เปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าแทรกแซง

แต่สิ่งที่ปวินท์ไม่มีวันรู้คือดันเตะหมูเข้าปากหมา เจคก็อยากฟังเรื่องนี้จากปากเขาจะแย่อยู่แล้ว

ว่าที่ประธานกำมะลอรู้สึกทะแม่งๆ กับความผิดพลาดเรื่องนี้ของวิมลินมาตลอด เพราะนิสัยเธอเป็นคนละอย่างกับพวกเหลวแต่เหลิงแบบที่ปวินท์ปรามาส หญิงสาวอาจไม่ฉลาดชนิดสูงปรี๊ดแต่ห่างไกลคำว่าโง่หลายขุม และระดับลูกสาวประธานบริษัทคนหนุนหลังยิ่งไม่ใช่พวกปัญญาอ่อน จะตกม้าตายขนาดกู่ไม่กลับเชียวหรือ มันต้องมีลับลมคมในซึ่งเขาอยากรู้ใจจะขาด แต่ไม่ใช่เที่ยวถามสุ่มสี่สุ่มห้าเพราะอาจเจอคนเล่าแค่บางส่วนเพื่อรักษาหน้าวิมลิน ต้องเอาข้อมูลจากฝ่ายตรงข้ามนี่สิรับรองละเอียดสมใจ

ฝ่ายหมูเตรียมเตะเต็มเหนี่ยว ฝ่ายหมาก็อ้าปากรอกรามแทบฉีก กระบวนการเตะหมูเข้าปากหมาจึงเริ่มขึ้น

“ตอนนั้นอาศลกะจะดันยายอิงสร้างผลงานเพื่อรับตำแหน่งทายาทแบบถูกต้อง อย่างว่าแหละลูกสาวคนโปรดนี่” พูดถึงตรงนี้พลันชะงัก “เอ้อ ช่วงก่อนเราไม่รู้คุณเป็นตายร้ายดียังไง อาศลคงเห็นยายอิงเหลืออยู่คนเดียว…”

“อย่าคิดมากเลยครับ” เขาเอ่ยยิ้มๆ “ถ้าผมจะโกรธพ่อจริงๆ คงไม่โกรธเพราะเรื่องนี้หรอก”

ปวินท์รู้สึกเหมือนคำตอบรับแปลกๆ แต่ขี้เกียจสนใจเพราะความอยากเล่ามีมากกว่า

“ยายอิงเพิ่งเข้าทำงานในบริษัทได้ไม่นาน ก็ทำงานดีแหละแต่ไม่โดดเด่น เผอิญลุงศลติดต่อดีลงานหนึ่งมาได้เป็นลูกค้าหน้าใหม่แต่เจ้าใหญ่มาก เลยส่งยายอิงไปคุมงานทั้งหมดหวังผลักดันเป็นผลงานสร้างชื่อให้ลูกสาว แต่หลังฉากลุงศลต่างหากที่จัดการดูแลทุกขั้นตอน”

คนฟังผงกศีรษะตาม ต้องแบบนี้สิถึงสมเหตุผล งานสำคัญแถมเดิมพันสูงลิบพ่อที่ไหนจะปล่อยลูกสาวอ่อนประสบการณ์ลุยตามลำพัง มีแต่คอยประกบติดไม่ห่างตา แต่ถ้าอย่างนั้นแล้วปัญหามันโผล่จากตรงไหน

โชคดีปวินท์ไม่ปล่อยเขาคาใจนาน

“ลูกค้าคราวนั้นต้องการผ้าทอชนิดพิเศษ ฉันไม่ลงรายละเอียดนะเดี๋ยวจะงง แต่สรุปว่าเส้นด้ายกับสีย้อมที่ใช้ทำยากมาก ในไทยเจ้าที่ผลิตได้มีแค่สองสามเจ้าเท่านั้น แน่นอนว่าบุหรงกาญจน์เป็นหนึ่งในนั้น ทีนี้พอดีลงานเบื้องต้นสำเร็จอิงก็เริ่มติดต่อซัปพลายเออร์…”

เจคยกมือแทรก “ซัปพลายเออร์คืออะไรครับ”

“แปลกว้างๆ ก็ประมาณผู้จัดหาสินค้าให้ผู้ผลิตอีกที แต่สำหรับเราหมายถึงพวกโรงงานเล็กๆ ที่ผลิตวัตถุดิบป้อนให้ตามที่ทางเราต้องการ เพราะการผลิตผ้าผืนหนึ่งมันเริ่มจากเอาเส้นใยมาขึ้นรูปเป็นเส้นด้าย จากนั้นนำเส้นด้ายไปทอผ้าแล้วฟอกย้อมอีกที พวกเส้นใย สีย้อม สารเคมีต่างๆ โรงงานเราสั่งจากซัปพลายเออร์ทั้งนั้น”

“อ๋อ ดังนั้นอิงเลยต้องหาซัปพลายเออร์ใหม่”

“อันที่จริงเรามีซัปพลายเออร์เจ้าเดิมที่เคยติดต่อกันมา เขาเป็นโรงงานเก่าแก่เส้นสายเยอะ วัตถุดิบหายากแบบไหนจัดได้หมด เผอิญช่วงหลังเปลี่ยนมือให้ลูกชายบริหารก็ชักขลุกขลักมีปัญหาบ่อยๆ แต่ไม่เคยถึงขั้นร้ายแรง ประกอบกับทำกันมานานอาศลเลยหยวนๆ ให้ตลอด ยกเว้นคราวนั้นเดิมพันมันสูงอาศลกลัวพลาดจึงสั่งอิงให้หาเจ้าใหม่…แต่อิงคัดค้าน”

คนฟังเลิกคิ้ว “ทำไมครับ”

“ลูกสาวซัปเจ้านั้น ยัยนุ้ยน่ะเป็นเพื่อนสนิทอิง พอระแคะระคายจะถูกเปลี่ยนซัป ก็แจ้นมาขอร้องอิง บีบน้ำตาบอกถ้าออร์เดอร์นี้หลุดมือโรงงานจะหมุนเงินไม่ทัน ยังไงก็ขอทำให้ได้ แน่นอนอาศลไม่ยอมเพราะเสี่ยงเกินไป แต่อิงทุ่มสุดตัวรับกระกันแทนนุ้ยว่าทำของส่งทันแน่ๆ สองพ่อลูกคุยกันอีท่าไหนไม่รู้สุดท้ายอาศลถึงยอมตามอิง ใช้ซัปเจ้าเดิม”

เจคถอนหายใจ “ให้ผมเดานะ ซัปส่งของไม่ทัน”

ปวินท์เหยียดยิ้ม “เดาถูกครึ่งเดียว ซัปสงของไม่ทันแล้วเส้นตายก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ อาศลไม่มีกระทั่งเวลาจะดุลูกสาวข้อหาเตือนแล้วไม่ฟังก็ต้องรีบหาซัปใหม่จ้าละหวั่น แถมถูกโก่งราคาหน้าเลือดเชียว อย่างว่าแหละสั่งของกระชั้น ถ้าตกลงกันตั้งแต่ต้นงานล็อตใหญ่แบบนี้พวกเรากดราคาได้จมหูเลย อาศลกัดฟันวางมัดจำก้อนโตแล้วปรี่ไปหาลูกค้าเพื่อเจรจาขอเลื่อนเส้นตาย คิดว่ากลั้นใจเสียหน้าหรืออาจลดราคาให้หน่อยทางนั้นต้องยอมเพราะขืนเสียเวลาหาโรงงานเจ้าใหม่คงได้สินค้าไม่ทัน ที่ไหนได้ลูกค้าปฏิเสธหน้าตาเฉย ทางเราทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นฝ่ายผิดสัญญาก่อน”

“แล้วซัปเจ้าเดิมตัวก่อปัญหาล่ะครับ เราเรียกค่าเสียหายเยียวยาได้บ้างไหม”

“ฮ่าๆ ใช้ได้นี่ เริ่มคิดแบบนักธุรกิจแล้วสิ” หลังคำชมกลายเป็นสีหน้าอึมครึม “เสียดายเราประมาท ใช้สัญญาเก่าที่เคยทำกับซัปเดิมแทนที่จะเซ็นสัญญาเฉพาะงานอันใหม่ เลยเรียกค่าเสียหายได้น้อยจนแทบเป็นเศษเงิน มิหนำซ้ำทางฝั่งลูกค้ายังสามารถหาบริษัทใหม่เพื่อผลิตของได้ทันพอดีเส้นตายอีกด้วย”

“หาโรงงานใหม่ได้ทันหรือครับ แต่คุณปริ้นบอกลูกค้าต้องการผ้าชนิดพิเศษซึ่งผลิตได้ยากมากนี่ สามารถทำเรื่องที่บริษัทอย่างบุหรงกาญจน์ยังจนปัญญา มันน่าแปลก”

“ใช่…แปลก และยังเป็นบริษัทหน้าใหม่เสียด้วย เราพยายามสืบจนสงสัยว่าโรงงานยัยนุ้ยเพื่อนสนิทอิงนั่นแหละที่เป็นซัปให้บริษัทใหม่ ทางนั้นถึงสามารถทำเรื่องเสนอลูกค้าโดยคิดราคาแพงกว่าเรา แต่ลูกค้าก็ยอมเพราะเรียกค่าเสียหายตามสัญญาจากเราไปทดแทนส่วนนี้ ฝ่ายซัปก็สามารถโก่งราคาของแทนที่จะโดนบังคับขายถูกๆ ให้ทางเรา สรุปแล้วยายอิงโดยเพื่อนหักหลังเข้าเต็มรักเลย”

คนฟังเผลอกำหมัดแน่น “บ้าไปแล้ว เราแก้ไขอะไรได้บ้างไหมครับอย่างการฟ้องร้อง”

“เสียดายเราไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอัน แค่ตามรอยจากตรงนู้นตรงนี้มาปะติดปะต่อแล้วคาดเดา ที่ชัดเจนที่สุดก็คือหลังจากนั้นโรงงานเพื่อนอิงที่ตัดขาดกับบุหรงกาญจน์แล้ว ก็ได้เซ็นสัญญาเป็นซัปให้พวกนั้นแบบระยะยาวเลย” ปวินท์ส่ายหัว “ความเสียหายทางเราถ้าคิดเป็นเงินก็หลายสิบล้าน แต่ชื่อเสียงที่ตกต่ำลงมันตีมูลค่าได้ซะที่ไหน ผู้ถือหุ้นโกรธชนิดตำแหน่งประธานของอาศลยังง่อนแง่น กว่าจะเรียกศรัทธาคืนก็แทบตาย ไม่ต้องพูดถึงยายอิง การสืบต่อเป็นทายาทอาศลถูกปิดตายตลอดกาล ไม่ถูกไล่ออกก็บุญแล้ว”

เจคครุ่นคิด แม้หลายอย่างจะกระจ่างแต่ทำไมคล้ายยังมีเสี้ยนตำใจอยู่บางๆ เหมือนมองรูปวาดที่ลงสีไม่เสร็จสมบูรณ์ ส่วนปวินท์ตบท้ายเรื่องเล่ายืดยาวว่า

“อิงยังอ่อนประสบการณ์เกินไปถึงโดนหลอกง่ายๆ วงการธุรกิจเสือสิงห์กระทิงแรดทั้งนั้น แต่มีฉันกับพ่ออยู่เจคไม่ต้องกลัว พวกเราจะดูแลนายเอง”

เจครับคำด้วยท่าทางกระตือรือร้นเรียกสีหน้าพึงพอใจจากอีกฝ่าย ปวินท์คุยสัพเพเหระสักพักโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานพลันส่งเสียง เจครับสายแล้วบอกปวินท์ว่า

“อิงโทรมา ลุงเสริฐให้เราสองคนไปหาที่ห้องครับ”



Don`t copy text!