หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (3)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (3)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

วิมลินรอเวลาอีกสองวันค่อยโทรศัพท์แจ้งภวัตเรื่องผลการตรวจดีเอ็นเอปลอม เขายอมรับง่ายดายผิดคาด คงเพราะใจเอนเอียงเชื่อถือตัวตนเจคกว่าค่อนแล้วตั้งแต่แรกพบหน้า

“เจคเขาพักที่ไหนหรือ” ภวัตซัก ครั้นวิมลินบอกชื่อโรงแรมเขาก็ถามต่อ “แล้วหลังจากนี้อิงจะให้เขาอยู่ไหนล่ะ”

“คงเป็นที่บ้านอิงค่ะ”

วิมลินเคยอาศัยอยู่กับพ่อในบ้านเดี่ยวใกล้ใจกลางเมือง ปัจจุบันจึงมีแค่เธอพร้อมแม่บ้านคนงานอีกสามคน ขนาดบ้านหกห้องนอนไม่รวมห้องเมดแบบนี้แบ่งให้พี่ชายกำมะลอสักห้องก็เหลือเฟือ

“ทางพี่ไม่ติดขัดห่วงแค่อิงจะอึดอัดหรือเปล่า ถึงเป็นพี่น้องแต่ไม่เจอตั้งหลายปี แล้วจู่ๆ ต้องอาศัยในบ้านหลังเดียวกัน”

“อิงสบายมากค่ะ”

ถ้าไม่นับนิสัยขี้ระแวงช่างสงสัยวิมลินก็สนิทใจกับภวัตพอสมควร แม้เขาจะแสดงตัวเอนเอียงหาทางฝั่งลุงเสริฐมากกว่าแต่เธอพอเข้าใจ ด้วยฐานะของภวัตทำให้วางตัวในครอบครัวลำบาก

รุ่นที่สองของบุหรงกาญจน์มีด้วยกันห้าพี่น้อง ลุงใหญ่ตายตั้งแต่เด็ก คนรองคือลุงเสริฐลูกชายอาม่าเล็ก พ่อของเธอเป็นคนที่สามลูกอาม่าใหญ่ แล้วอาม่าเล็กจึงคลอดลูกแฝดเทียมหญิงกับชายอย่างละคน โดยน้องชายคนสุดท้องหนึ่งในฝาแฝดนี่แหละพ่อของภวัต

ความเป็นมาของภวัตค่อนข้างซับซ้อน พ่อเขามีปัญหายาเสพติดตั้งแต่วัยรุ่น รับการบำบัดเสร็จก็กลับไปติดวนเวียนไม่รู้จบ กระทั่งพลาดท่าทำผู้หญิงท้อง ผู้หญิงคนนั้นก็รู้จักกันเพราะการเสพยานี่เอง และยังไร้ญาติขาดมิตร ครอบครัวบุหรงกาญจน์รับผู้หญิงคนนั้นมาบำบัดยาเสพติดระหว่างตั้งท้องจนภวัตคลอดอย่างปลอดภัย แต่หลังคลอดผู้เป็นแม่สุดจะทนการควบคุมจึงหนีไป ก่อนเสียชีวิตจากการเสพยาเกินขนาด

ปัจจุบันพ่อของภวัตเป็นโรคสมองเสื่อมเพราะยาเสพติดอยู่สถานพักฟื้นถาวร ภวัตโตมาโดยมีลุงป้าน้าอาผลัดกันดูแลตามจังหวะว่างของแต่ละคน เขาจึงเหมือนกับลูกชายของทุกๆ บ้านแต่ไม่เคยเรียกใครว่าพ่อแม่ได้เต็มปาก ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เดือดร้อน ราวเถาไม้เลื้อยพอใจร่มเงาไม้ใหญ่ที่เกาะเกี่ยวอาศัย

ลูกพี่ลูกน้องสองคนปรึกษากันอีกสักพักจึงได้ข้อสรุป ทางภวัตขอเวลาเตรียมที่ทางในบริษัทสักสองวันเจคก็สามารถเข้าทำงานได้เลย ทำงานในที่นี้คือแค่ไปนั่งในห้องทำงานเดิมของโกศล คอยอ่านพวกเอกสารที่ผ่านเข้ามาเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับบริษัทแบบคร่าวๆ โดยวิมลินจะเป็นพี่เลี้ยงประกบติดดูแลไปก่อน อย่างไรเสียอำนาจการตัดสินใจขั้นสุดท้ายยังคงอยู่ที่รองประธานบริษัทอย่างประเสริฐ แล้วค่อยประเมินความก้าวหน้าของเจคอีกที ส่วนเรื่องเอกสารซึ่งเจคจะเปลี่ยนนามสกุลจากฝั่งแม่กลับเป็นบุหรงกาญจน์นั้น วิมลินอ้างว่ารอจดหมายผลการตรวจดีเอ็นเอจากคลินิกมาถึง ค่อยนำไปประกอบกับทะเบียนรับรองบุตรที่โกศลเคยทำไว้เพื่อดำเนินการต่อ

“ส่งมาทางพี่ก็ได้ บริษัทมีฝ่ายกฎหมายอยู่แล้ว”

“อิงอยากพาเจคไปทำด้วยตัวเองค่ะ สร้างความคุ้นเคยกับการติดต่อส่วนราชการของไทย อีกอย่างไปช้าๆ ทีละขั้นจะได้มีเวลาปรับสภาพจิตใจเขาด้วย ทุกอย่างมันกะทันหันจนเจคเองยังงงๆ อยู่มาก” เธอเตรียมข้ออ้างพรักพร้อมชนิดภวัตไม่เอะใจสักนิด คงซื้อเวลาได้พอสมควร

ปลายสายเอ่ยอีกสองสามประโยคก่อนวางหูไป เมื่อการสนทนาสิ้นสุดความเงียบสงัดก็เข้าปกคลุมรอบกาย หญิงสาวมองไปรอบๆ ห้องนั่งเล่นภายในบ้าน เธอกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟารูปตัวแอล แสงอ่อนจางยามเย็นลอดผ่านหน้าต่างที่เปิดม่านไว้ครึ่งๆ พาดลึกเข้ามาตามตะวันคล้อยต่ำจนเกือบถึงปลายขา แล้วค่อยๆ เลือนหายตามเวลาที่ไหลบ่า ทิ้งเพียงความมืดน่ารังเกียจไว้ราวกระจกสะท้อนเงาตัวเอง

วิมลินเงยหน้าถอนใจ เธอควรต้องติดต่อเจคเพื่อบอกผลการเจรจาของภวัต แต่หญิงสาวกลับลุกขึ้นยืน หย่อนโทรศัพท์เคลื่อนที่ใส่กระเป๋าเสื้อระหว่างออกประตู จุดหมายคือห้องรับแขกทางอีกฟากหนึ่งของตัวอาคาร ถ้าทะลุไปตามห้องภายในบ้านจะถึงเร็วกว่า แต่หญิงสาวขี้เกียจเสียเวลาหาสวิตช์เปิดไฟทีละดวง จึงตัดสินใจอ้อมไปตามระเบียงด้านนอกซึ่งไฟอัตโนมัติไล่เปิดตามการเคลื่อนไหว กว่าจะถึงที่หมายก็กินเวลาพอสมควรจนชักสงสัยว่าเธอคิดผิดหรือบ้านกว้างเกินไปกันแน่

เมื่อเปิดสวิตช์ไฟของห้องรับแขก สิ่งแรกที่ฉายทับในแววตาไม่ใช่ชุดโซฟาหลุยส์ขอบทองบนพรมกำมะยี่ตั้งสง่ากลางห้อง ไม่ใช่โคมไฟระย้าคริสตัลซ้อนเป็นชั้นๆ ราวปราสาทลอยกลางฟ้า ไม่ใช่แกรนด์เปียโนหลังมหึมาสะท้อนไฟมันวับแยงตา หากแต่เป็นภาพถ่ายขนาดใหญ่ใบหนึ่ง…

วิมลินหยุดเท้าหน้าภาพถ่ายติดผนังทางด้านหลังห้อง กรอบไม้สีดำเรียบง่ายตรงข้ามกับทุกสิ่งทุกอย่างในห้องรับแขก ราวจะเชิดหน้าท้าทายความอวดโอ่เหล่านั้นอย่างถ่อมตน ถ้าสังเกตเปรียบเทียบกับของอื่นจะพบว่ารูปภาพยังใหม่ด้วยเพิ่งเอามาติดผนังได้ไม่กี่ปี เป็นรูปเธอกับพ่อยืนกอดกัน ฉากหลังเบลอจนเห็นแค่วิมลินกำลังปิดปากยิ้มจนตาหยีส่วนพ่อก็หัวเราะเสียหน้าหงาย

จำได้วันที่ถ่ายรูปใบนี้เธอไม่ทันตั้งตัว พอออกไปยังสวนของบ้านก็เจอพ่อกับทีมช่างภาพเตรียมพร้อมอยู่แล้ว พ่อดึงเธอไปถ่ายรูปด้วยกันทั้งอย่างนั้น ช่วงแรกวิมลินยังขัดเขินระคนงงงัน แต่พ่อก็จูงเธอเดินไปเรื่อยๆ อธิบายว่าอยากได้รูปใบใหม่มาติดแทนภาพเดิมตรงหนัง พลางคุยกระเซ้าเย้าแหย่จนหญิงสาวลืมไปเลยว่ายังมีช่างภาพหลายคนคอยเฝ้ามอง ในที่สุดก็ได้ภาพนี้ออกมา พ่อสั่งช่างภาพเบลอฉากหลังจนกลายเป็นแบบนี้

“เพราะพ่ออยากให้มีแต่พ่อกับอิงในรูปไงล่ะ”

โกศลอธิบายอย่างอารมณ์ดี พูดจบก็หัวเราะลั่น…เสียงนั้นคล้ายยังดังก้องในหูอยู่เลย ตามด้วยความอบอุ่นจากอ้อมแขนของบิดา หากแต่ไม่ใช่ตอนถ่ายรูปใบนี้ทว่าเป็นก่อนหน้านั้น ยามที่โรคร้ายพรากชีวิตแม่ไป พ่อกอดเธอผู้กำลังร้องไห้จนเสียศูนย์ไว้แน่น

“อย่ากลัวนะอิง ฟ้าถล่มก็ช่างมัน…พ่ออยู่นี่แล้ว”

วิมลินก้มหน้าลง พื้นใต้รูปตั้งตู้ไซด์บอร์ดขนาดยาวชิดผนัง เหนือตู้วางรูปแกะสลักช้างหินหยกที่ใครสักคนซื้อมาฝากจากอินเดีย ใหญ่เกือบเท่าทีวีสิบสี่นิ้ว ตั้งตรงกลางอันเดียวเป็นของตกแต่ง แต่ที่วิมลินกำลังมองกลับเป็นที่ว่างเหนือตู้สองฟากของรูปแกะสลัก จากนั้นหมุนตัวขึ้นห้องนอน หยิบรูปมารดาจากหนึ่งในบรรดาภาพหลายใบซึ่งวางอยู่หัวเตียงมาตั้งทางฝั่งซ้ายของรูปแกะสลักช้าง

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ รูปมารดาวางบนตำแหน่งใหม่ดูแปลกที่แปลกทางไปบ้าง แต่อีกสักพักคงชินกระมัง

วิมลินไล้นิ้วไปตามวงหน้ารูปหัวใจของมารดา วาดจันทร์เป็นคนสวยโดดเด่น ไม่เช่นนั้นสาวต่างจังหวัดอย่างเธอคงไม่เตะตาโกศลตั้งแต่แรกพบ เสียดายภาพใบเดียวช่างจนหนทางจะถ่ายทอดได้ครบถ้วน มันไม่อาจขับเน้นประกายพราวระยับในแววตาซุกซน ไม่อาจจับกลิ่นกายหอมๆ เหมือนกุหลาบอาบน้ำค้างที่วิมลินชอบนักหนา ไม่อาจกักเก็บน้ำเสียงแหบพร่านิดๆ ยามวาดจันทร์แกล้งออดอ้อน

“อิงจ๋าช่วยแม่หน่อย…น่านะคนดี”

เธอไม่เคยขัดใจมารดาสำเร็จ ไม่สิ…ไม่อยากขัดใจเสียมากกว่า วาดจันทร์เคยกระเซ้าว่านอกจากสีผมหน้าตาแล้วก็มีเรื่องนี้นี่แหละที่วิมลินเหมือนคุณยายมาก วาดจันทร์ตัดขาดกับบ้านเดิมตั้งแต่หนีตามโกศลมาแต่งงาน เหลือแค่คุณยายที่ยังแอบติดต่อกันตลอดจนกระทั่งท่านเสียด้วยโรคชรา

วิมลินหยุดคิดถึงมารดาชั่วคราว เปลี่ยนมาเริ่มติดต่อหาแม่บ้าน

“เอากุญแจเปิดห้องเก็บของให้หน่อย ตามคนไปช่วยอิงหาของด้วย”

หลังระดมแรงงานค้นหาพักใหญ่ หญิงสาวก็เจอรูปเก่าๆ ของผกามารดาแคนจนได้ อยู่ในลังตรงส่วนลึกที่สุดของห้องมีของอื่นวางซ้อนทับอีกหลายชั้น เธอพลิกอัลบั้มอยู่หลายรอบกว่าจะเลือกภาพหนึ่งมาใส่กรอบ ไล่แม่บ้านกลับไปส่วนตัวเองนำของมาวางที่เดียวกับรูปแม่แค่คนละฝั่งของช้างแกะสลัก รูปภาพใบค่อนข้างเล็ก ตั้งใจไว้พรุ่งนี้จะจ้างทำใหม่ให้ใหญ่และคมชัดขึ้น

จากความทรงจำเลือนราง ผกาไม่ชอบถ่ายรูปเท่าไรนัก ภาพซึ่งพอมีน้อยนิดจึงเป็นประเภทถ่ายตอนเผลอเสียส่วนใหญ่ อย่างใบที่เลือกมาก็เช่นกัน ผกาน่าจะกำลังทำอาหารในครัวแล้วมีคนเรียก พอหันมาก็โดนกดชัตเตอร์ทันที ยังเห็นแป้งสาลีเลอะแก้มที่ขยายออกเป็นรอยยิ้มกว้าง…ชวนให้เผลอยิ้มตอบเสมอ

ห้องรับแขกร้อนอ้าวเพราะไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ ประกอบกับเพิ่งออกแรงหมาดๆ เหงื่อจึงไหลย้อยจนวิมลินต้องปาดออก ถามเหตุผลทำไมยอมเหนื่อยทำสิ่งเหล่านี้เธอก็ตอบไม่ได้ แค่ส่วนลึกคล้ายเกินจะทนที่ในบ้านกว้างใหญ่โอฬาร จะไม่มีสักที่ให้วางรูป ‘ภรรยา’ ของอดีตเจ้าของบ้านเลยเชียวหรือ ในเมื่อต่างเสียชีวิตกันจนสิ้น บุญคุณความแค้นที่เคยติดค้างจะหนักหนาเพียงใดก็หมดสิทธิ์แบกรับไว้

ผู้ที่ยังมีสิทธิ์นั้น…คงเหลือแค่คนเป็นๆ ที่ยืนอยู่ตรงนี้เอง!

วิมลินสูดลมหายใจลึก ทิ้งช่วงอยู่นานก่อนเริ่มพูดกับรูปของผกาช้าๆ

“ป้าผกาคะ เจคเคยบอกเขากับป้าดูแลกันเหมือนแม่ลูก และจากที่เขาแสดงให้เห็น…อิงก็เชื่อแบบนั้น เพราะงั้นป้าจะโกรธอิงไหมคะที่โกหกลูกชายป้า โกหกเรื่องเหตุผลที่อิงอยากพาพี่แคนกลับมาเป็นประธานบริษัท…” ท้ายประโยคเลือนหายพร้อมใบหน้าก้มต่ำ “แต่อิงตั้งใจปกป้องมูลนิธิไว้ให้อาม่าจริงๆ นะคะ เพราะพ่อ แม่ ป้าผกากับพี่เจคจากไปกันหมด อาม่าเองก็สูญเสียไม่ต่างจากอิงเลย”

หากความอ้างว้างสามารถเปล่งเสียง รอบตัวเธอตอนนี้คงอื้ออึงจนทนแทบไม่ไหว

“ขอโทษนะคะที่ยังเอารูปพี่แคนมาวางกับป้าตรงนี้ไม่ได้ อิง…” เธอกัดริมฝีปาก “อิงไม่รู้เลยยังมีสิทธิ์เอ่ยคำนี้กับป้าได้ไหมแต่ก็อยากพูดสักครั้ง ขอโทษจริงๆ ค่ะสำหรับทุกอย่าง…”

วิมลินทรุดตัวนั่งยังโซฟาหลุยส์ พนักพิงแข็งกระด้างยิ่งผลักไสเธอดำดิ่งในกระแสธารแห่งความโทมนัส แต่ก่อนจะจมหายสู่ก้นบึ้ง…เสียงโทรศัพท์พลันดังกังวานในความเงียบ

หญิงสาวสะดุ้ง เห็นหน้าจอแสดงชื่อเจคยิ่งลังเลจะรับสาย แต่โทรศัพท์ไร้วี่แววจะหยุดร้องจนเธอยอมแพ้ หลังทักทายเนิบเนือยสองสามประโยคเจคก็แจกแจงว่า

“ผมไล่อ่านประวัติบริษัท ประวัติกลุ่มผู้บริหารกับพวกกรรมการตามที่คุณสั่งแล้วเพิ่งรู้ตัว วันนี้วันเกิดคุณหรือ”

เหมือนความคิดสะดุดกึกชั่ววูบ “หา? วันเกิด”

“ใช่ เขียนไว้ในประวัติของคุณไงครับ” เขาหัวเราะอย่างขบขันแกมอ่อนใจ “อย่าบอกนะว่าลืม”

“ปกติก็ไม่เคยฉลองอะไรอยู่แล้ว” เธอแก้ตัวอ่อยๆ สมัยแม่ยังอยู่วิมลินอาจเคยมีงานวันเกิดกับมารดา แต่พอย้ายกลับมาหาพ่อหลังแม่เสีย โกศลเป็นพวกไม่เชื่อการฉลองวันเกิด บอกไร้สาระเพราะทุกวันย่อมเหมือนๆ กัน วิมลินจึงเคยชินกับมันไปด้วย

“แต่ปีนี้ต้องฉลองครับ ผมอยู่หน้าบ้านแล้วช่วยเปิดประตูหน่อย”

วิมลินตกใจ ปกติเธอคงเรียกแม่บ้านไปจัดการให้ แต่เวลานี้อธิบายฐานะของชายหนุ่มได้ลำบาก จึงตัดสินใจไปเปิดประตูรั้วบ้านด้วยตัวเอง เขาหอบของพะรุงพะรังเดินสวนเข้ามา ปากก็ขอร้อง

“พาไปครัวหน่อยสิครับ ผมหาของขวัญไม่ทันเลยจะทำอาหารให้กินฉลองวันเกิด”

หญิงสาวเบิกตาโต จะห้ามเจ้าตัวก็ก้าวเฉิบๆ ถึงตัวบ้านแล้ว จำต้องบอกทางจนถึงครัวเล็กติดห้องนั่งเล่นที่วิมลินเพิ่งใช้เมื่อตอนเย็น ในบ้านจะมีครัวขนาดใหญ่แยกต่างหากซึ่งอยู่ทางบ้านพักแม่บ้านฝั่งด้านห้องรับแขก ส่วนครัวเล็กเหมาะสำหรับอุ่นหรือทำอาหารง่ายๆ เผื่อเวลาเจ้าของบ้านอยากหาอะไรรองท้องช่วงกลางคืน

“คุณกินข้าวยัง”

เขาถามขณะหยิบของจากถุงวางเรียงบนเคาน์เตอร์ครัว วิมลินค่อยนึกออกว่าลืมมื้อเย็นเสียสนิท คลับคล้ายแม่บ้านจะเดินมาถามเหมือนกันแต่เธอบอกปัดด้วยกำลังใช้ความคิด จากนั้นก็ลืมไปเลยเพราะหลังหมดหน้าที่ประจำวันพวกแม่บ้านจะไม่มายุ่มย่ามแถวบ้านหลักหากไม่มีคำสั่ง อีกอย่างช่วงหลังนี้เธอก็กินบ้างไม่กินบ้างจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

“ยังค่ะ แต่…”

“ดีแล้ว เพราะผมก็ไม่ได้กินเหมือนกัน” เขาตัดบทพลางเริ่มรื้อไปตามตู้ “ช่วยหยิบจานช้อนสักสองชุดสิครับ อ้อ…กระทะอยู่นี่เอง”

เธอทำตามสั่งอย่างงงๆ ดูเหมือนเจคจะเตรียมหั่นซอยวัตถุดิบบางส่วนและหุงข้าวใส่ทัฟเปอร์แวร์ไว้แล้ว ไม่ถึงยี่สิบนาทีเขาก็ทำจานแรกใกล้เสร็จ

“คุณเคยชอบข้าวไข่เจียวกุ้งเด้งฝีมือแม่ผกาใช่ไหม นี่ต้นตำรับจับมือผมสอนทำเองเลยนะ แต่สูตรของผมใส่พริกเพิ่มด้วย คุณชอบกินเผ็ดไหม”

“มะ…ไม่ค่ะ” เธอตอบขณะนั่งลงที่เคาน์เตอร์บาร์หน้าครัว

“งั้นของคุณไม่ใส่พริก”

วิมลินคิดว่าตัวเองไม่หิว แต่เมื่อได้กลิ่นไข่เจียวหอมๆ จากจานข้าวที่ชายหนุ่มเลื่อนมาใต้จมูก ท้องก็แอบครวญจนยอมตักคำแรกใส่ปาก รสชาติเคยคุ้นเรียกความทรงจำจากอดีตแสนไกล เสียงสับเขียงดังกึกๆๆ กลิ่นน้ำซุปลอยฟุ้งชวนน้ำลายสอ ความร้อนจากเตาที่ทำให้เธอเผลอถอยหลังไปชนมารดา ผู้ยื่นมือกอดเธอไว้พลางพูดเสียงหวานกับผกาที่ครัวในบ้านหลังเก่า ขอให้ช่วยหาขนมมาให้เธอกินหลังกลับจากโรงเรียนประถม ผกาจะยิ้มเดินไปเปิดฝาชีที่โต๊ะ บนนั้นเตรียมของกินไว้รองท้องพี่แคนกับเธอเสมอ

ก็แค่บรรยากาศทั่วไปในช่วงหนึ่งของชีวิต ไม่เคยตระหนักว่าสำคัญเลย ไม่เคยจนกระทั่งเสียมันไปนั่นแหละ

รู้ตัวอีกครั้งจานอาหารตรงหน้าพลันว่างเปล่า ส่วนเจคผู้นั่งอยู่ข้างๆ ก็กำลังกวาดคำสุดท้ายพร้อมมองด้วยแววตายิ้มๆ วิมลินเสพูดแก้เขิน “ขอบคุณนะคะ เป็นของขวัญวันเกิดที่อร่อยมากแต่คุณไม่ควรต้องลำบากเลย ก็แค่วันเกิดที่ฉันยังลืมไปด้วยซ้ำ”

เจคตบหน้าผากดังแปะ “นี่ไง ปัญหาของพวกเราละ”

ขณะเธอทำท่าสงสัยเขาก็เริ่มแจกแจง “ผมถามตรงๆ นะ สมมุติถ้าคุณจำวันเกิดได้จะโทรบอกผมสักคำไหม”

คนฟังเบิกตากว้าง “ไม่ค่ะจะรบกวนคุณทำไม”

“แล้วทำไมคิดว่ารบกวนล่ะ เราลงเรือลำเดียวกันแล้วนะ ถ้าคุณล่มผมก็ร่วง สวมรอยหลอกคนมันใช่เรื่องเล่นๆ ที่ไหนกัน อยากพาเรือรอดถึงฝั่งเรามีแต่ต้องช่วยกันจับพายไว้แน่นๆ เป็นหุ้นส่วนที่เชื่อใจกัน คุยกันได้ทุกเรื่อง” เขาเท้ามือกับโต๊ะ โน้มตัวหาเธอ “รู้วันเกิดตัวเอง…ก็ต้องบอกหุ้นส่วนด้วยสิครับ”

หญิงสาวนิ่งอึ้ง เป็นหุ้นส่วนที่คุยกันได้ทุกเรื่องอย่างนั้นหรือ ใจพลันกระหวัดคิดถึงความลับที่ปิดบังอีกฝ่ายไว้ เหตุผลแท้จริงซึ่งทำให้เธออยากพาพี่แคนกลับสู่บุหรงกาญจน์…

ไม่! ให้ตายเธอก็ไม่มีวันบอกเขา

วิมลินหลุบตาลงต่ำ “ถูกของคุณค่ะ ฉันผิดเอง…ขอโทษนะคะ”

ชายหนุ่มค่อยกลับมายิ้มได้อีกครั้ง แต่เขาคงหุบยิ้มทันทีถ้าสามารถอ่านใจเธอออกถึงเบื้องลึกในคำขอโทษที่เปล่งออกมา

ขอโทษ…เพราะคงไม่อาจเป็นหุ้นส่วนอย่างที่คุณต้องการได้!

 



Don`t copy text!