หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (1)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (1)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

https://www.groovebooks.com/blog/นิยายใหม่จาก-groove-next-anowl-ลูกองุ่น-เปิดให้สั่งจอง-25-มี-ค-67/62

วันรุ่งขึ้น วิมลินก็มานั่งรอ ‘หุ้นส่วน’ บริเวณล็อบบีโรงแรมที่เจคพำนัก โรงแรมแห่งนี้เป็นของเพื่อนเธอเอง เมื่อติดต่อพาเจคเข้าพักเพื่อนจึงจัดการยกระดับห้องเป็นสวีตรูมให้ วิมลินจะปฏิเสธแต่อีกฝ่ายไม่ยอมจึงปล่อยตามเลย

เมื่อวานหลังกินข้าวเสร็จ ชายหนุ่มก็เอ่ยชวนขณะช่วยกันล้างจาน

“คุณบอกกว่าผมจะเริ่มงานอีกตั้งสามวัน งั้นไหนๆ แล้วพรุ่งนี้ว่างไหม ผมอยากไปไหว้อัฐิพ่อคุณกับแม่คุณที่วัด”

มือซึ่งกำลังพลิกจานชะงัก มองเขาอย่างประหลาดใจ “จะไหว้อัฐิหรือคะ ทำไมล่ะ”

“มันก็หลายเหตุผลนะ อย่างแรกวัฒนธรรมไทยไปมาลาไหว้ ผมกำลังจะมาอาศัยบ้านท่านก็ควรเคารพฝากเนื้อฝากตัวสักหน่อย” พูดถึงตรงนี้แววตาสดใสพลันเคร่งขรึมลง “แล้วก็…สมควรขออภัยในหลายๆ เรื่องด้วย”

หมายถึงการที่เขาสวมรอยเป็นพี่แคนสินะ “อัฐิพวกท่านเก็บไว้คนละแห่งนะคะ ของพ่ออยู่กรุงเทพ แต่แม่ไปเก็บที่วัดในจังหวัด…” เอ่ยชื่อจังหวัดหนึ่งขึ้นมา

“ทำไมแยกเก็บล่ะครับ แล้วเลือกวัดต่างจังหวัดด้วย”

“เป็นคำขอของแม่ค่ะ ท่านเองหลังแยกบ้านกับพ่อตอนฉันเข้ามัธยมก็เหมือนตัดขาดความสัมพันธ์กันกลายๆ ช่วงกลางวันแม่เลยค่อนข้างว่างแล้วพอดีเพื่อนชวนแวะทำบุญที่วัดนั่น ท่านชอบบรรยากาศของวัดมากมักไปบ่อยๆ บางทีก็พาฉันไปด้วย ครั้งหนึ่งเราเดินเล่นแถวท่าน้ำของวัด แม่เคยว่าถ้าท่านเสียให้นำมาเก็บไว้ที่นี่ ตอนนั้นฉันยังพูดขำๆ กับท่านอยู่เลย บอกอย่าเพิ่งใจร้อนอีกหลายปีแม่อาจเปลี่ยนใจก็ได้ แล้วไม่กี่เดือนถัดมาท่านก็เสีย…”

คำพูดสะดุดค้างดื้อๆ หญิงสาวเพิ่งรู้สึกตัวว่าเล่ามากไปแล้ว ปกติเธอไม่ค่อยเอ่ยเรื่องทำนองนี้กับใคร เพราะไม่ชอบเห็นอีกฝ่ายพยายามเก็บซ่อนความอึดอัดหรือแม้แต่พูดปลอบไปตามแกน มันรู้สึกแย่ที่ผลักความเศร้าเป็นภาระคนอื่นมากเกินควร

แต่เจคแค่รับจานจากเธอไปเก็บยังชั้นเหนือศีรษะ สีหน้าดูผ่อนคลาย “ผมเองสมัยอยู่นิวซีแลนด์ตอนออกจากโรงพยาบาลใหม่ๆ เวลาลืมตาตื่นตอนเช้าบางทีก็ชอบนึกว่าวันนี้แม่จะทำอะไรให้กิน หรือตอนเผลอมักหันไปคุยกับอากาศข้างๆ เพราะคิดว่า…คิดว่าแคนยังนั่งตรงนั้น แล้วเสี้ยววินาทีถึงนึกออก…ไม่มีใครอยู่อีกแล้ว มันอย่างกับเรากำลังลอยฟ่องสบายในเมฆก่อนถูกถีบตกพื้นดังอั้ก”

วิมลินมองกิริยาเรียบเรื่อยราวกำลังสนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศของเขา ความคิดพลันปะทุขึ้นปุบปับ อ้อ…เขาเองก็เคยผ่านการสูญเสียเช่นเดียวกัน

เจคเท้ามือกับขอบอ่างล้านจาน โน้มตัวหาเธอ “ผมเลยอยากขอสัญญาจากคุณสักข้อได้ไหม”

“อะไรคะ”

“ถ้าทุกอย่างจบสิ้นแล้ว ก่อนจะกลับนิวซีแลนด์ ขอเวลาผมได้บอกลาคุณบ้าง” เขาหลุบเปลือกตาลง กักเก็บความรู้สึกในนั้นไม่ให้ล้นทะลักออกมา “การจากกันโดยไม่มีกระทั่งโอกาสกระทั่งเอ่ยลา…มันเจ็บปวดเกินไป”

นั่นสิ…เจ็บปวดเกินไปจริงๆ หญิงสาวแค่เผยอริมฝีปากถ้อยคำพลันเปล่งออกมาอย่างง่ายดาย

“ค่ะ ฉันสัญญา”

 

วันรุ่งขึ้น พวกเขาก็เดินทางไปยังวัดที่เก็บอัฐิโกศลตามนัดแนะ วิมลินเป็นผู้โดยสารสลับให้ชายหนุ่มขับรถบ้าง เนื่องจากเขามีใบขับขี่สากลจึงสามารถควบคุมยานพาหนะในไทยอย่างถูกกฎหมาย

ธรรมเนียมแปรผันตามยุคสมัย แทนที่จะทำพิธีกงเต๊กแล้วฝังในสุสานตามแบบคนรุ่นเก่า ครอบครัวบุหรงกาญจน์ปรับเปลี่ยนมาเก็บอัฐิที่วัดแทน มีห้องแยกเป็นสัดส่วนโดยเฉพาะ ทั้งสองจุดธูปคนละดอก ยืนพนมมือด้านหน้าช่องเก็บอัฐิของโกศล หญิงสาวหลับตานิ่ง ทบทวนการตัดสินใจหลอกลวงญาติของตัวเองและขอโทษพ่อไปด้วย เนิ่นนานกว่าจะลืมตาขึ้น ที่ไหนได้ชายหนุ่มข้างตัวยังหลับตาพนมมืออยู่เลย นี่เขายังมีอะไรพูดกับพ่อเยอะกว่าเธออีกหรือ ประหลาดไปไหม

แต่แล้วเขาก็ลืมตาขึ้นทันทีพลางพยักหน้าให้ วิมลินค่อยกระจ่าง ที่แท้เจคแค่หลับตารออยู่เป็นเพื่อนเธอเท่านั้น ต่างปักธูปยังกระถางธูปที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ จากนั้นเริ่มเดินทางอีกครั้ง ราวสองชั่วโมงจึงมาถึงจุดหมาย

อัฐิของวาดจันทร์มารดาวิมลินเก็บไว้ในเจดีย์ติดริมแม่น้ำ ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเยื้องเล็กน้อยยังมีวัดอีกแห่ง เห็นพระพุทธรูปงามชดช้อยตั้งริมน้ำมีอุโบสถสูงเป็นฉากหลัง เรือหางยาวดับเครื่องลอยเอื่อยตามกระแสธาร ชาวบ้านดึงแหจับปลาขึ้นแล้วใช้พายบังคับเรือแล่นทีละน้อย แทนที่จะติดเครื่องเรือจนก่อเสียงรบกวนความสงบร่มรื่น ทุกอย่างเชื่องช้ากระทั่งความทุกข์ร้อนก็ดูจะไม่มีวันเดินทางมาถึง

ชายหนุ่มพอเข้าใจแล้วทำไมวาดจันทร์จึงเลือกที่นี่เป็นแห่งพำนักสุดท้าย

ต่างคุกเข่าจุดธูปไหว้อัฐิกันคนละดอก วิมลินเริ่มชินเมื่อลืมตาเจอชายหนุ่มยังหลับตาพนมมือนิ่งอยู่ แม้เธอจะเพิ่งคุยกับมารดาในใจนานจนเข่าเริ่มล้าแล้วก็ตาม

เสร็จสิ้นเธอชวนเขาเดินไปศาลาริมน้ำทางอีกด้านของวัด ทางเดินค่อนข้างร่มรื่นด้วยมีไม้ใหญ่ให้ร่มเงาตลอด หญิงสาวยังคอยเตือนเป็นระยะ “เดินชิดซ้ายไว้ดีกว่าค่ะ ทางขวาอิฐปูพื้นมันล่อนหลายแผ่นจะสะดุดเอา แล้วถ้าเจอหมาสีน้ำตาลเห่าเสียงดังไม่ต้องกลัวนะคะ มันไม่กัด”

ชายหนุ่มมองยิ้มๆ “คุ้นเคยจัง มาบ่อยหรือครับ”

“ถ้าไม่นับวันไหว้ครบรอบวันตายแม่ที่อาจมากับญาติๆ บ้าง ฉันมักแวะมาคนเดียวปีละสองสามครั้งค่ะ”

“ไม่ค่อยชวนใครมาด้วยหรือ”

“ก็…คนมาด้วยชอบกลัวฉันอยู่ที่นี่แล้วจะเศร้า เลยพยายามทำนู่นทำนี่หรือรีบชวนไปที่อื่นหวังให้ผ่อนคลาย แต่ฉันอึดอัดค่ะ ไม่รู้จะอธิบายพวกเขาถึงความรู้สึกตัวเองยังไงว่ามันไม่ใช่ความเศร้า…”

“คงจะคล้ายความว่างโหวงเสียมากกว่า” เจคเอ่ยแทรกเบาๆ “เหมือนในใจมันแหว่ง มีหลุมที่เติมยังไงก็ไม่เต็มเพราะมันหายไปกับคนที่จากเราไปแล้ว แต่ก็ไม่ใช่การต้องร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเสียใจ มัน…ออกจะสงบกว่านั้น”

วิมลินไขว้มือจับกันไว้หลังเอวขณะก้าวเท้าช้าๆ ฟังเสียงลมพัดใบไม้ไหวหอบความคับข้องบนสองบ่าหลุดปลิวจนเบาลง

…คิดอยู่แล้วเขาต้องเข้าใจ

เดินหลบหลุมบนพื้นมาถึงศาลาริมน้ำ เป็นศาลาไม้มีบันไดทอดลงไปเป็นท่าน้ำ ซ้ายขวากั้นผนังเตี้ยปล่อยด้านบนโล่งไว้ชมทิวทัศน์ พวกเขาหย่อนตัวบนม้านั่งยาวคนละฝั่ง วิมลินทอดสายตามองกระแสน้ำไหลเรื่อย

“ไม่มีใครชอบหลุมในใจเราหรอกค่ะ อาจเพราะหวังดีเลยพยายามจะช่วยเราถมให้เต็ม แต่ถ้าทำแล้วสักวันฉันคงลืมแม่ใช่ไหม พอคิดแบบนั้นเลยอยากปล่อยมันไว้เฉยๆ แต่ก็นั่นแหละค่ะ…ไม่มีใครชอบ”

เจควางมือรองศีรษะขณะเอนหลังพิงเสาศาลา “ผมเองก็เคยรำคาญคนพวกนั้นนะ จนวันหนึ่งทนไม่ไหวแบกเป้หนีเข้าป่าคนเดียวเลย ตั้งเต็นท์เสร็จก็เดินทอดอารมณ์ แต่ไม่รู้เพราะหงุดหงิดหรืออะไรดันหลงป่าซะงั้น” เขายิ้มขำยามคิดถึงอดีต “ตั้งสามชั่วโมงกว่าคลำทางกลับแคมป์ได้ รอบด้านมืดสนิทผมหิวซ่กเลยคุณ โชคดีทำแซนด์วิชเผื่อไว้เลยยัดจนเต็มคราบ พออิ่มมีอารมณ์ชมวิวมองฟ้าเจอดาวกางเขนใต้พอดี วินาทีนั้นเหมือนเวลาหยุดนิ่ง นิ่งแบบนิ่งสนิทจริงๆ นะ ความคิดหนึ่งปัง! ขึ้นในหัวเลย รู้ไหมผมคิดอะไร”

“อะไรคะ”

“เราอาจคิดว่าส่วนหนึ่งของเราหายลับกับคนที่จากไป แต่ที่จริงพวกเขาก็ทิ้งส่วนหนึ่งไว้กับเราเช่นกัน มันอาจแฝงอยู่ในเรื่องเล็กน้อยเช่นวิธีทำแซนด์วิชที่แม่ผกาเคยสอนไว้ วิธีดูดาวกางเขนใต้ซึ่งเด็กผู้ชายคุยกันในคืนหนึ่ง สิ่งนั้นถูกถมแทนหลุมในใจมาแต่แรก…แค่เรามักจะลืม เลยต้องกลับมาที่นี่เพื่อใช้เวลาค้นหามันอีกครั้ง” เจคสบตาเธอ “คราวหน้าถ้าพาใครมาด้วย ลองบอกพวกเขาแบบนี้ดูสิครับ”

วิมลินหลุบเปลือกตาลง พักใหญ่จึงเอ่ยเบาๆ “ขอบคุณนะคะ”

“ครับ?”

หญิงสาวค่อยช้อนตาขึ้นมองเขา เป็นครั้งแรกนับแต่เจคเอ่ยปากอยากมาไหว้อัฐิพ่อแม่ ที่เธอแสดงสีหน้าผ่อนคลายเหมือนกำลังมาพักจริงๆ

“ขอบคุณที่ชวนมาวันนี้ค่ะ”

ชายหนุ่มยิ้มเขิน แก้เก้อด้วยการเริ่มสำรวจสถานที่พลางตั้งข้อสังเกต “วัดซอมซ่อแต่ทำไมศาลานี่ใหม่เชียว”

“วัดไม่ค่อยดังเลยไม่มีตังค์ทำนุบำรุง ไม่เหมือนทางนั้น” พลางชี้ไปยังวัดอีกฝั่งแม่น้ำ “หลวงพ่อท่านคนศรัทธาเยอะ ตั้งแต่สมัยฉันมากับแม่ก็เห็นสร้างนู่นสร้างนี่ตลอด”

“วัดทางนั้นสวยจริงๆ นั่นแหละ” เจคยอมรับ

“ส่วนศาลาที่เรานั่งดูดีเพราะเพิ่งซ่อมแซมปรับปรุงใหม่ค่ะ แม่เป็นคนบริจาคเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ท่านชอบนั่งเล่นที่นี่”

“ผมรู้มาจากแคน แม่คุณรักสวยรักงามมากเลยนะ” เขารำพึง “ถ้างั้นตอนเลือกวัดเก็บอัฐิทำไมไม่เลือกวัดสวยๆ ฝั่งนั้นล่ะครับ”

“แม่เคยบอกต้องอยู่วัดฝั่งนี้ต่างหากถึงจะเห็นทั้งวิวแม่น้ำกับวัดสวยๆ ถ้าข้ามไปอีกฝั่งก็ขาดทุนแย่สิ เลยบริจาคเงินปรับปรุงศาลาหลังนี้ไงคะ”

ชายหนุ่มหลุดหัวเราะอย่างสุดกลั้น เธอเองก็ส่ายหน้ากึ่งขำกึ่งอ่อนใจ “ฉันเคยเล่าให้พ่อฟัง พ่อหัวเราะเหมือนคุณเลย บอกวิธีคิดแบบนี้ถึงจะสมกับเป็นแม่…ก็จริงของท่าน”

แววตาวิมลินอ่อนละมุนยามคิดถึงมารดาผู้ล่วงลับ เธอพาดศอกกับขอบผนังเตี้ยเกยคางทอดอารมณ์ไปกับทิวทัศน์รอบกาย จึงไม่ทันสังเกตว่าเจคหยุดหัวเราะตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ กำลังพินิจเธอเงียบๆ หญิงสาวคงไม่รู้ตัว ยามเธอกำลังจมในภวังค์เช่นนี้ เสี้ยวหน้านั้นก็เผยความไร้เดียงสาของเด็กหญิงตัวน้อย ที่ชวนให้อยากปกป้องดูแล

เจคชำเลืองไปทางเจดีย์เก็บอัฐิของวาดจันทร์ราวจะชั่งใจ สุดท้ายค่อยเริ่มเอ่ยปาก “คุณจะว่าไหมถ้าผมอยากถามเรื่องในอดีตตอนที่แม่ผกาหนีจากบ้าน”

ลำคอหญิงสาวแข็งเกร็งขึ้นทันที เป็นนานกว่าเธอจะหันกลับมา “คุณอยากรู้หรือคะ”

ชายหนุ่มขยับจากท่าเอนหลังเพื่อนั่งตัวตรง “ผมแค่พยายามจะคิดในมุมของแคน ถ้าผมเป็นเขาก็น่าจะตั้งคำถามนี้กับคุณแน่ๆ”

“ฉันนึกว่า…พี่แคนรู้และเล่าให้คุณฟังหมดแล้ว”

“ตอนเกิดเรื่องแคนยังเด็ก ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรเหมือนคุณนั่นแหละ แถมแม่ผกายังไม่ยอมบอกอะไรเลย แคนรู้รายละเอียดน้อยมาก” เขาเสริมว่า “ถ้าคุณไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไรนะ ผมแค่คิดว่าถ้ารู้ไว้จะได้ไม่เผลอทำอะไรขัดใจญาติๆ ของคุณ กันไว้ดีกว่าแก้”

“ฉันไม่ขัดข้องหรอกค่ะ เพียงแต่อย่างที่คุณบอกนั่นแหละ สมัยนั้นฉันเด็กมากจนแทบไม่เข้าใจอะไรเลย อาศัยปะติดปะต่อเรื่องเอาตอนโตจากการฟังคนนู้นคนนี้ ซึ่งก็ไม่รู้ตรงความจริงแค่ไหน”

“ฟังคนนู้นคนนี้หรือครับ” เจคทวนคำ “แต่ผมจำได้ตอนเกิดเรื่องที่ชายชู้แอบเข้าบ้านน่ะ นอกจากครอบครัวคุณที่เหลือไม่มีใครอยู่บ้านเลยนะ”

หญิงสาวพยักหน้า วันนั้นช่างประจวบเหมาะเหลือคนอยู่ในบ้านน้อยมาก เริ่มจากอากงเข้าโรงพยาบาลแล้วอาม่าใหญ่ไปเฝ้า ลุงเสริฐพาครอบครัวเดินทางต่างประเทศโดยมีภวัตติดตามไปเที่ยวด้วย พ่อของภวัตอยู่สถานพักฟื้น ส่วนลูกสาวคนเดียวของอากงแต่งเข้าบ้านสามีตั้งนานแล้ว ทั้งบ้านจึงเหลือเพียงครอบครัวเธอ

“ฉันไม่ได้ฟังจากญาติๆ หรอกค่ะ หรือถึงพวกเขาจะรู้เรื่องฉันก็ไม่กล้าถามเพราะกลัวพ่อ พ่อไม่ชอบให้ใครแตะเรื่องนี้ค่ะ ถ้าทราบจะโกรธมาก”

ลมจากแม่น้ำพัดเส้นผมสีน้ำตาลไหม้ปลิวสยาย มือที่ยกป้องลมกลับบดบังวงหน้าจนยากจำแนกอารมณ์ รับรู้แค่น้ำเสียงเรียบเรื่อย “พวกคนงานในบ้านต่างหากที่น่าจะรู้เรื่องดี แต่กว่าฉันจะคิดอยากรู้เรื่องจริงจังก็เพิ่งไม่กี่ปีมานี้ ตอนนั้นบ้านหลังเดิมกลายเป็นอาคารบริษัท คนงานเก่าส่วนใหญ่กระจัดกระจายเกือบหมด เผอิญฉันเริ่มทำงานแล้วพอมีเงินส่วนตัวเลยจ้างนักสืบจัดการให้ กินเวลาหลายเดือนเหมือนกัน”

เจคหรี่ตา “คุณเกิดอยากสืบเสาะเรื่องในอดีตขึ้นมาปุบปับ น่าจะมีอะไรกระตุ้นละมั้ง”

วิมลินทำท่าเอาผมทัดหูราวจะประวิงเวลา “ฉันแค่อยากสะสางความค้างคาใจ เพราะฉันเองก็เสียพี่ชายไปจากเหตุการณ์นี้นะคะ”

คำอธิบายสมเหตุสมผลเห็นชัดว่าผ่านการใคร่ครวญแล้ว ก็ตอบได้สมเป็นวิมลินดี แต่เจคกลับเสียดายเสี้ยวหน้าไร้เดียงสาเมื่อครู่เสียมากกว่า เมื่อไรเธอถึงจะยอมถอดหน้ากากคนแปลกหน้าผู้ระมัดระวังรอบคอบลงให้เขาเสียที

ชายหนุ่มส่ายหัวปลงตก เปลี่ยนมาถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “แล้วนักสืบเจออะไรบ้างครับ”

“เอาเป็นว่าจะลองลำดับเรื่องราวเท่าที่พอมีข้อมูลแล้วกันนะคะ”



Don`t copy text!