หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (3)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (3)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

วิมลินกระเสือกกระสนหนีตายขึ้นมาจนถึงชั้นดาดฟ้า มันแทบไม่เคยถูกใช้งานเลยมีเพียงลานโล่งๆ ขอบสี่ด้านกั้นกำแพงปูนสูงระดับอก ประตูดาดฟ้าเป็นแบบลงกลอนจากข้างในเธอจึงล็อกมันไม่ได้ ต้องวิ่งไปจนตรอกที่มุมกำแพงทางด้านไกลสุด ลมพัดพรูจนเส้นผมปลิวไสว มองเห็นท้องฟ้าเปิดโล่ง แต่เวลานี้กลับเหมือนนกถูกขังกรง…ทั้งยังเป็นนกปีกหักเสียด้วย!

หญิงสาวประคองแขนที่เข้าเฝือกเอาไว้ เกือบเผลอยิ้มเยาะให้ความน่าสมเพชของตนเอง สองตาจ้องเขม็งยังช่องประตูดาดฟ้า ไม่นานพริมก็เดินออกมา เลขาฯ มูลนิธิเห็นเธอแทบทันที รอยแย้มจึงผุดพรายยังริมฝีปาก เยื้องย่างเข้ามาทีละก้าวราวแมวไล่จับหนู

“อย่าเปลืองแรงหนีเลยค่ะ ยังไงคุณก็ไม่รอด” เธอยักไหล่ “อันที่จริงฉันชอบคุณมากนะ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากลงมือแบบนี้เลย”

“เธอทำเพื่ออะไร ฉันไม่เข้าใจ” การที่วิมลินตกใจฉากหลังของพริมมาก ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเสแสร้งแสดงละครเป็นคนดีมาตลอด แต่เพราะหาเหตุผลไม่ได้ เลขาฯ มูลนิธิจะได้ประโยชน์อะไรจากการฆ่าเธอ ดังนั้นวิมลินจึงไม่เคยระแวงคนคนนี้มาตั้งแต่ต้น

พริมไม่ตอบคำถาม แต่คงฝีเท้าสม่ำเสมอใกล้เข้ามาทีละนิด มือลากเสียมกับพื้นส่งเสียงครืดคราดคล้ายเสียงลากขาของมัจจุราช วิมลินกัดฟันกรอด

“ลองคิดให้ดีสิ วันนี้เธอไปหาที่บ้านแล้วฉันก็หายตัวไป แถมเธอยังเข้าออกที่นี่มาตลอด ถ้าเธอฆ่าฉันหลักฐานจะเต็มไปหมด ยังไงก็ต้องโดนตำรวจจับ!”

พริมจึงหยุดตรงกลางลานดาดฟ้า “ฉันไม่คิดจะฆ่าคุณที่นี่หรอก”

เธอทิ้งเสียมลงกระแทกพื้นดังแคร้ง เปลี่ยนมาหยิบปืนจากกระเป๋าสะพาย จี้อาวุธตรงไปที่เหยื่อ

“เลิกเล่นกันได้แล้ว คุณตามฉันมาเสียดีๆ”

วิมลินเบิกตาจ้องกระบอกปืนดำมะเมื่อม “บ้าน่ะ เธอไปเอาปืนมาจากไหน”

“ก็ขอซื้อจากมือปืนที่จ้างยิงคุณไง ป่านนี้พวกนั้นคงหนีออกชายแดนไปแล้ว” เลขาฯ มูลนิธิกวักปากกระบอกปืนไหวๆ เป็นทำนองให้วิมลินเดินมาหาอย่าได้ขัดขืน

“ฉันรู้เธอจะทำอะไร ถ้าคิดเอาฉันไปฆ่าทิ้งศพที่อื่นแล้วจะทำให้ตัวเองพ้นผิดได้ ก็ดูถูกตำรวจเกินไปหน่อยมั้ง” เชิดหน้าใจดีสู้เสือทั้งที่หัวใจกำลังเต้นกระหน่ำ

“ก็ต้องลองกันสักตั้ง เพราะไม่มีใครเห็นฉันพาคุณออกจากบ้าน ไม่มีใครเห็นตอนพวกเรามาถึงที่นี่” จู่ๆ ใบหน้าเย็นชาก็เหมือนโดนความอ่อนโยนหลอมละลาย “แต่ถ้าไม่รอดจริงๆ ฉันก็พร้อมรับผิด ขอแค่คนคนนั้นมีชีวิตที่ดีต่อไป”

วิมลินขมวดคิ้ว แม้กำลังกลัวจนตัวสั่นแต่สมองกลับทำงานอย่างว่องไว เผลอๆ จะไวกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

เริ่มจากการถูกลอบยิง เธอต้องออกจากบ้านเพราะอาม่าใหญ่อาการทรุดซึ่งคงเป็นแผนของพริม เนื่องจากเลขาฯ มูลนิธิเป็นคนดูแลอาม่าใหญ่ และพอมีความรู้จากที่ต้องคอยติดต่อกับหมอและพยาบาลมาตลอด พริมสามารถสลับยาและกะเวลาที่อาม่าใหญ่จะเกิดอาการในตอนที่เธอกำลังไปงานเลี้ยง เป็นการล่อวิมลินไปดักยิงและกันตัวเองออกจากที่เกิดเหตุด้วย ยังมีอีกเรื่องที่น่าสงสัย พริมเอาตัวเข้ามาเป็นคู่ควงของเจคได้ในเวลาที่ประจวบเหมาะเกินไป

…หรือมีคนแอบช่วยเหลือ

ส่วนในวันนี้ การที่เลขาฯ มูลนิธิไปเยี่ยมและหลอกล่อวิมลินจนมาถึงที่นี่ ก็ต้องอาศัยข้อมูลวงในพอสมควร เพราะเธอเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน เรื่องสุดท้ายคือตอนวิมลินหลุดปากถึงเหตุผลที่ทำให้เทวิกาพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัย พริมเผลอถามว่าเธอได้บอกพวกญาติๆ ไหม คงเพราะตกใจที่ตัวเองไม่ทราบข่าวนี้จากคนวงในนั่น

ทุกอย่างล้วนระบุว่าต้องมีญาติสนิทสักคนร่วมมือกับเลขาฯ มูลนิธิในแผนการครั้งนี้ แล้วพอนำมาประกอบกับการที่พริมพยายามจะช่วยเหลือคนผู้หนึ่งจนยอมแม้มือตัวเองต้องเปื้อนเลือด…

จู่ๆ วิมลินก็ขนลุกชันตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า คนคนนั้นเป็นใครกันแน่!

แคร้ง!

วิมลินสะดุ้งเฮือก ที่แท้เลขาฯ มูลนิธิเตะเสียมบนพื้นกระเด็นไปกระทบกำแพง เพื่อเรียกสติเธอที่มัวจมอยู่ในภวังค์ความคิด

“เลิกถ่วงเวลาได้แล้ว มากับฉันเสียดีๆ”

“ใครจะไปกับเธอ ไปก็ตายน่ะสิ!”

พริมกระตุกยิ้มราวอีกฝ่ายกำลังเล่าเรื่องขำขัน แต่ดวงตากลับแข็งทื่อเหมือนตาสัตว์เลื้อยคลาน มือที่กำปืนก็มั่นคงไร้ซึ่งอาการลังเล พอเธอสลัดคราบเดิมทิ้ง…ที่เหลืออยู่จึงมีแค่ผู้ร้ายเลือดเย็นคนหนึ่ง

“คิดว่าฉันไม่กล้าลงมือยิงเธอที่นี่หรือ บอกแล้วไงฉันไม่สนใจหรอกจะโดนจับไหม แต่เธอต่างหาก ถ้าไม่ยอมไปกันดีๆ หลังฉันจัดการศพเธอเรียบร้อยแล้ว…อาม่าใหญ่ของเธอจะเป็นรายต่อไป”

“อย่าทำอะไรอาม่าใหญ่นะ!” ขนาดวางยาอาม่าใหญ่พริมยังทำได้ใต้จมูกทุกคน เห็นชัดว่านั่นไม่ใช่แค่คำขู่

อีกฝ่ายไม่โต้ตอบกลับใช้ปืนกวักเรียกอีกครั้ง วิมลินตัวสั่นแต่สุดท้ายก็ก้มหน้างุด ค่อยๆ เดินไปหาจอมบงการเลือดเย็น พริมยิ้มเยาะพออกพอใจ จนระยะห่างหดสั้นเหลือแค่สองสามก้าว วินาทีนั้นวิมลินก็ตวัดหน้าขึ้น ใช้ไหล่กระแทกแขนพริมจนปืนสะบัดไปอีกทาง หญิงสาวชิงวิ่งตรงไปที่ประตู โชคร้ายร่างกายยังไม่ฟื้นเต็มที่ประกอบกับใส่เฝือกจึงวิ่งไม่ถนัด พริมตามทันแล้วเหวี่ยงปืนฟาดไหล่เธอจนทรุด เลขาฯ มูลนิธิโกรธจนเบื้องหน้าแดงฉาน เล็งปืนมาที่เธอแล้วเตรียมเหนี่ยวไก!

“หยุดนะ!”

เจคพรวดออกมาจากช่องประตู ตะโกนลั่นพลางพุ่งใส่ทันที

ปัง!

พริมตกใจ ปากกระบอกปืนจึงเบี่ยงไปยิงใส่กำแพง เสียงกัมปนาทกระแทกวิมลินจนตัวแข็งทื่อ เจคเองก็สะดุ้งชะงัก เลขาฯ มูลนิธิฉวยโอกาสดึงตัววิมลินขึ้น มือรัดรอบคอแล้วลากไปชิดกำแพงโดยตัวเองหลบอยู่ด้านหลัง

“ถอยไป!” เธอตวาดใส่เจค จี้ปืนกับขมับเหยื่อ “ไม่งั้นนัดต่อไปเข้าหัวเธอแน่”

เจคกลืนน้ำลาย “พริม รู้ตัวไหมทำอะไรอยู่ ปล่อยอิงไปเถอะนะ”

เลขาฯ มูลนิธิหายใจถี่รัว “คุณตามมาได้ยังไง”

นั่นเป็นสิ่งที่เธอแคลงใจมากที่สุด เพราะถึงชายหนุ่มสงสัยว่าเธอเป็นคนลักพาตัววิมลินแต่ไม่มีวันรู้จุดหมายปลายทาง สามารถตามมาถึงที่นี่โดยใช้เวลาไม่นานมันผิดปกติ

ชายหนุ่มไม่ยอมละสายตาจากวิมลิน จนกระทั่งหญิงสาวระงับความกลัวพลางพยักหน้าเบาๆ ว่ายังปลอดภัย เขาค่อยกล้าผ่อนลมหายใจที่กลั้นไว้ เริ่มตอบคำถามพริม

“ฉันระแวงเธออยู่แล้วเลยแอบติด GPS ที่รถ”

พริมหน้าเปลี่ยนสี เธอมั่นใจตัวเองระวังทุกฝีเก้า จะลงมือสักครั้งต้องคิดแล้วคิดอีก แต่เขายัง… “รู้…คุณรู้เรื่องฉันได้ยังไง”

วิมลินเองก็สับสนไปหมด ถ้าเจคระแคะระคายตัวตนพริมทำไมไม่เตือนเธอสักคำ

เขาไม่ตอบคำถามพริม ไม่ยอมสบสายตาสงสัยของน้องสาวกำมะลอ แค่อธิบายว่า “คนที่ไปติด GPS คือนักสืบ คนเดียวกับที่เคยสืบหาตัวผมนั่นแหละ ผมได้เบอร์เขามาจากโทรศัพท์ของอิง เพื่อจ้างเขาค้นหาอดีตของพริมจนเจอ”

เช้าวันนี้เจคไปเอาข้อมูลทั้งหมดจากนักสืบ แม้คาดเดาตัวตนพริมไว้บ้างแล้วแต่ยังตกใจมากอยู่ดี หลังจากนั้นเปิด GPS ดูการเคลื่อนไหวของเลขาฯ มูลนิธิ ครั้นพบว่าเธอแวะที่บ้านวิมลินก็ใจหายวาบ รีบโทรศัพท์หาจนทราบเรื่องลักพาตัวแล้วตามมาถึงที่นี่

แม้จะสั่งแม่บ้านให้ติดต่อภวัตเพื่อแจ้งตำรวจแล้ว แต่เขาไม่มีเวลาอธิบายให้ใครเข้าใจ ฉะนั้นภวัตจะกล่อมตำรวจให้ตามมาที่นี่ได้เมื่อใดก็สุดรู้ ส่วนเขาเผอิญอยู่ใกล้แถวนี้เลยตามรอย GPS มาถึงในเวลาไม่นาน ตอนนี้จึงมีแต่เขาที่ต้องคอยประวิงเวลาไว้

เจคชี้หน้าพริม “ผมรู้ตัวจริงของคุณ คุณคือลูกสาวนายดิเรก ชายชู้ที่วิ่งหนีพ่อของอิงไปโดนรถชนตาย!”

แวบแรกวิมลินนึกว่าหูฝาด จนกระทั่งแรงจากวงแขนซึ่งรัดรอบคอกดแน่นขึ้น เธอพยายามหันไปมองสาวข้างตัว เสี้ยวหน้าของพริมกำลังสั่นระริกแต่ไม่ใช่จากความหวั่นกลัว ตรงกันข้าม…มันเหมือนกำลังดีใจที่ความจริงถูกเปิดเผยเสียด้วยซ้ำ!

เจคมองท่าทางตื่นตระหนกของวิมลินแล้วในอกพลุ่งพล่านแทบคลั่ง ตอนเขารับรู้ข้อมูลจากนักสืบก็แสดงอาการไม่ต่างจากเธอ พริมเป็นลูกสาวนายดิเรก หลังพ่อตายย่าตาบอดของเธอก็เสียในเวลาใกล้ๆ กัน พริมจึงถูกส่งตัวไปให้ญาติฝ่ายแม่ วัยเด็กเธอมักป่วยกระเสาะกระแส คนเลี้ยงก็ไม่ค่อยเอาใจใส่ชีวิตจึงค่อนข้างลำบาก จนกระทั่งโตประกอบอาชีพเป็นผู้ช่วยพยาบาลและแต่งงาน ไม่กี่ปีสามีก็จากไปโดยทิ้งเงินก้อนโตไว้ให้ ท่ามกลางคำครหาว่าเธอแอบวางยาสามีจนตาย

ตอนนี้พริมถึงดูเยือกเย็นมากทั้งที่กำลังก่อคดีร้ายแรง นั่นเพราะเธอไม่ได้เพิ่งฆ่าคนเป็นครั้งแรก!

วิมลินหลุดเสียงครางเบาๆ “พริมแฝงตัวมาใกล้พวกเราเพราะอยากแก้แค้นพ่อฉันใช่ไหม”

เลขาฯ มูลนิธิปรายตาเหยียดเยาะ “เขาตายแล้วนี่ และฉันไม่เกี่ยวข้องกับการตายของเขานะ เผื่อคุณเข้าใจผิด”

“ถ้างั้นจับฉันมาทำไม หรือจะแก้แค้นฉันแทนพ่อ”

“อย่าสำคัญตัวผิดสิ ฉันสนใจเขาต่างหากล่ะ” พยักพเยิดไปทางชายหนุ่ม “ฉันอยากมาหาเจคเพราะเขาเป็นน้องชายแท้ๆ ของฉัน”



Don`t copy text!