หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (2)
โดย : สิตา
หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co
ชายหนุ่มปรี่ไปกดกริ่งรัวๆ พักเดียวหญิงสาวที่เขาไม่รู้จัก เจ้าหน้าที่มูลนิธิอีกสองคนและแม่บ้านก็วิ่งขึ้นมาตรงไปช่วยกันจับตัวอาม่าไว้ แต่หญิงชรายังอาละวาดตีอกชกหัวตัวเอง
“ทำไมต้องตาย พวกลื้อทิ้งอั๊วไปหมดเลย!”
“คุณอิงคะ” หญิงสาวที่มาใหม่พูดขึ้น “ออกไปก่อนค่ะ ทางนี้พริมดูแลเอง”
วิมลินกลับยืนละล้าละลัง เจคที่มีสติกว่าจึงดึงเธอลงชั้นล่าง แต่หญิงสาวดึงดันจะขึ้นไปอีกครั้งจนเขาต้องเตือน “ให้พวกพยาบาลจัดการเถอะครับ ญาติอยู่ด้วยเขาทำงานกันไม่สะดวก”
แล้วจูงเธอที่หน้าซีดเผือดไปนั่งเก้าอี้แถวนั้น รอจนวิมลินสงบลงค่อยเอ่ยปาก “อาม่าดูไม่ค่อยดีเลยนะ”
วิมลินยกมือลูบหน้า “หลังพ่อตายแกแย่ลงมาก พริมก็รายงานให้ฟังอยู่แต่ฉันเพิ่งเจอจังๆ วันนี้”
“พริม…ผู้หญิงที่นำคนวิ่งขึ้นไปช่วยเมื่อกี้ใช่ไหม” เขาหวนนึกถึงหญิงสาวที่น่าจะอายุไล่เลี่ยเขา ท่าทางคล่องแคล่วผิดแผกจากใบหน้าสวยหวาน รับมือเหตุกะทันหันได้เยือกเย็นเป็นขั้นตอน
“เธอเป็นเลขานุการมูลนิธิค่ะ ช่วงหลังพ่อตายอาม่าดูแลมูลนิธิไม่ไหวก็ได้เธอคอยจัดการแทนทุกอย่าง เป็นเสาหลักของที่นี่”
สีหน้าวิมลินเริ่มดีขึ้นเมื่อได้นำความคิดออกจากเรื่องเมื่อครู่ เขาจึงชวนคุยเรื่อยๆ
“อาม่าเอาแต่พูดว่าลูกสองคนตายเพราะเธอ” แม้จะพอเดาออกหลายส่วนแต่ชายหนุ่มยังอยากสรุปให้แน่ใจ “หรือที่ลุงใหญ่ฆ่าตัวตายจะเกี่ยวกับอาการออทิสติก”
บริเวณเก้าอี้ที่พวกเขานั่งอยู่ตรงกับปากประตูซึ่งเปิดกว้างพอดี หญิงสาวจึงสามารถทอดสายตาไปยังเด็กๆ ในมูลนิธิที่กำลังเล่นบนสนาม “ออทิสติกน่ะก็มีทั้งแบบเป็นมากเป็นน้อย รู้ไหมคะกลุ่มไหนเสี่ยงกับปัญหาสุขภาพจิต หมายถึงสุขภาพจิตด้านอื่นๆ น่ะค่ะ…มากกว่ากัน”
“ก็ต้องพวกอาการหนักกว่าสิครับ”
“ตรงข้ามค่ะ กลุ่มที่อาการน้อยอาจขาดทักษะการเข้าสังคม แต่ไม่ได้พร่องถึงขนาดไม่รู้สังคมมองพวกเขายังไง เขารู้ตัวเองผิดปกติแต่ทำตัวให้ปกติไม่ได้ ความกดดันจึงสูงมากจนอาจพัฒนาปัญหาสุขภาพจิตด้านอื่นได้ เช่นโรคซึมเศร้า”
เจคครางดังอ้อ “ลุงใหญ่ก็เป็นโรคซึมเศร้าสินะ”
อายุแค่นั้นกลับคิดฆ่าตัวตาย สิ่งทีเผชิญคงหนักหนาสาหัส
“ฉันเคยคุยกับหมอในมูลนิธิที่ศึกษาประวัติการรักษาของลุงใหญ่ เขาแทบเหมือนคนปกติเลยค่ะ แต่นั่นกลับยิ่งก่อปัญหา อากงอาม่าสมัยนั้นไม่เข้าใจอาการของเขา พยายามใช้แต่ไม้แข็งเพื่อดัดนิสัยลูกชายให้ได้ ทั้งตีทั้งดุด่าหวังให้ลูกชายคนโตดีขึ้น จนกระทั่ง…” เธอหลับตาลง “ตอนลุงใหญ่ตายอาม่าช็อกหนักเข้าโรงพยาบาลถึงรู้ตัวเองมีโรคหัวใจ แล้วลูกชายอีกคนก็มาเสียเพราะโรคนี้ อาม่าเหมือนด้ายที่จวนเจียนจะขาดรอมร่อ หมอกำชับซ้ำๆ ห้ามแกเครียดหนักอีก ถ้ามูลนิธิล้มไปคราวนี้อาม่าคง…”
เจคมองเด็กๆ ในสนามทยอยกลับเข้าอาคาร แต่มีบางคน…อันที่จริงก็หลายคนยังยืนเฉยไม่สนใจพี่เลี้ยงที่พยายามเรียกกลับ พอพี่เลี้ยงมาคุยด้วยก็ก้มหน้าพูดแบบไม่สบตา “ผมไม่เคยรู้…ผมหมายถึงแคนไม่เคยพูดถึงเรื่องพวกนี้เลย”
“ลุงใหญ่ฆ่าตัวตายเป็นรอยด่างพร้อยในครอบครัว ไม่มีใครอยากเล่าให้ลูกหลานฟังหรอกค่ะ ฉันเองก็เพิ่งทราบรายละเอียดลึกๆ ตอนโต”
ชายหนุ่มนวดขมับที่เริ่มปวดตุบ “ผมเคยถามค้างไว้นี่ ทำไมไม่เอาหุ้นต่อรองให้ลุงเสริฐยอมหยวนๆ กับมูลนิธิซะล่ะ”
“ถ้าเกิดลุงเสริฐแกล้งรับปากแต่พอได้ตำแหน่งก็ไม่ยอมทำล่ะคะ ฉันไม่กล้าเอาอาม่าไปเสี่ยง”
“โหคุณยังไงก็ครอบครัวเดียวกัน เรื่องความเป็นความตายลุงเสริฐคงไม่ใจไม้ไส้ระกำหรอก”
วิมลินเคาะนิ้วกับที่เท้าแขนเบาๆ “คุณไม่สงสัยหรือ ถ้านับตามอายุแล้วหลังลุงใหญ่ตาย คนที่ควรรับตำแหน่งประธานน่าจะเป็นลุงเสริฐที่อายุมากกว่าพ่อหลายปี”
คนฟังชะงัก กลอกตาพลางปะติดปะต่อเรื่องราว “อาม่าแอบใช้วิทยายุทธดันลูกชายคนเดียวที่เหลือละสิ ถูกแย่งตำแหน่งต่อหน้าต่อตาลุงเสริฐคงแค้นจัดเลย”
“ถูกครึ่งหนึ่งค่ะ มันยังมีอะไรซับซ้อนอีกเยอะจนลูกอาม่าเล็กทุกคนเกลียดอาม่าใหญ่มาก สมมุติถ้าลุงเสริฐยอมเรื่องมูลนิธิแต่น้องคนอื่นค้านคงจบเห่ ฉันต้องการวิธีแน่นอนกว่านั้น” วิมลินสบตาชายหนุ่มจนเขาเริ่มรู้ตัวว่าวิธีแน่นอนของเธอ…หมายถึงใคร
“แต่ถ้าเราถูกจับคงจบเห่เหมือนกันนะ”
“ก็แสดงให้เนียนหน่อยสิคะ แค่ไม่กี่เดือนเอง”
เขาอยากซักไซ้แผนการเธอเพิ่มแต่เผอิญหญิงสาวชื่อพริมเดินลงบันไดมาเสียก่อน จึงลุกขึ้นแสดงการต้อนรับ พริมรีบรายงานกับวิมลินก่อนจะก้าวถึงบันไดขั้นสุดท้ายด้วยซ้ำ
“คุณท่านหลับแล้วนะคะ คุณอิงคงตกใจแย่เลย”
วิมลินพยักหน้าโล่งอก ฝ่ายพริมก็จ้องเจคอย่างฉงนก่อนย้ายสายตามาที่วิมลิน เธอจึงช่วยแนะนำ “พี่ชายอิงไงคะ ไปตามตัวกลับจากนิวซีแลนด์วันนี้เอง ช่วยเรียกเขาว่าเจคนะคะ”
เลขานุการสาวหันขวับมองเจคอีกครั้ง สีหน้าตกตะลึงระหว่างกวาดสำรวจเขาอย่างถี่ถ้วนกว่าเดิม ก่อนฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี “ไม่คิดเลยคุณอิงจะพาตัวคุณกลับมาได้เร็วปานนี้ ดิฉันควรเรียกว่าอะไรนะคะ คุณเจคหรือ”
วิมลินอธิบายที่มาของชื่อเหมือนที่เคยบอกคนอื่น ในความรู้สึกเธอเองก็สบายใจที่สามารถเรียกพี่ชายกำมะลอด้วยชื่อใหม่ ไม่ต้องสวมทับชื่อแคนตัวจริงให้กระดากใจ
“เป็นเกียรติที่ได้พบค่ะคุณเจค” พริมดูจะตื่นเต้นต่อการปรากฏตัวของชายหนุ่มมาก “เท่านี้ทางมูลนิธิคงวางใจได้เสียที”
เจควางมาดด้วยการพยักหน้าเล็กน้อย “อิงเล่าให้ฟังแล้วครับ ผมจะคอยดูแลทุกอย่างเอง”
“ทางอิงก็ต้องขอบคุณพริม ถ้าไม่ได้พริมช่วยสะกิดเรื่องที่ดินที่กำลังจะหลุดมือ อิงคงยังไม่เอะใจจนแล้วจนรอด” พลางอธิบายกับเจค “พริมแอบมาบอกฉันเรื่องลุงเสริฐเตรียมขายที่ที่พ่อตั้งใจยกให้มูลนิธิค่ะ พอลองสืบก็รู้ว่าจริงถึงเตรียมการรับมือทัน”
“ขอบคุณทำไมกันคะ มันแค่เรื่องบังเอิญที่คนรู้จักพริมทำงานในแวดวงอสังหาจนมีข่าวลอยเข้าหูพอดี อีกอย่างพริมทำเพื่อตัวเองต่างหาก ถ้ามูลนิธิล้มพริมก็ตกงาน” เธอเงยหน้าขึ้นชั้นบน “และต้องขอโทษที่ดูแลคุณท่านบกพร่องนะคะ พอดีพยาบาลใหม่ยังไม่คล่อง”
“แล้วคนเก่าหายไปไหนคะ”
คนถูกถามดูลังเลที่จะตอบ “อาทิตย์ก่อนตอนจะพาลงมาเดินเล่น คุณท่านผลักเธอตกบันไดแขนร้าวค่ะ”
วิมลินขมวดคิ้ว “ตายจริง น่าจะแจ้งอิงเสียหน่อย”
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกค่ะ มูลนิธิช่วยเหลือการรักษาอยู่แล้ว และทุกคนต่างทราบช่วงนี้คุณท่านอารมณ์ไม่คงที่ พริมคุยกับหมอคงต้องปรับยาดูก่อน”
วิมลินกล่าวฝากฝังอีกหลายคำระหว่างพริมเดินมาส่งจนถึงประตูรั้วที่คั่นอาณาเขตบ้านกับมูลนิธิ ตอนนั้นเองพริมก็ยื่นมือไปด้านหน้าเจค
“ไม่รู้ช้าไปไหม แต่อยากขอกล่าวต้อนรับคุณเจคอย่างเป็นทางการค่ะ” เธอยิ้มจนรอบข้างสว่างไสวไปหมด “พวกเรายินดีที่คุณกลับมานะคะ”
ขณะบีบมือนุ่มๆ นั่นตอบเจคจึงเพิ่งรู้สึกตัว พริมคงเป็นคนแรกเลยกระมังที่แสดงความดีใจจากก้นบึ้งจริงๆ ต่อการปรากฏกายของเขา คิดแล้วก็แอบรู้สึกผิดนิดๆ
“เจคคะ!”
เสียงทักหนักๆ ของวิมลินทำเขาตื่นจากภวังค์ ที่แท้ยังลืมตัวกุมมือสาวสวยอยู่ ชายหนุ่มรีบปล่อยเหมือนจับของร้อน พูดขัดเขิน “ผมก็ยินดีที่ได้เจอคุณพริมครับ”
“เรียกพริมเฉยๆ เถอะค่ะ” เลขานุการสาวอมยิ้มน้อยๆ
“ฝากพริมดูแลที่นี่ด้วย มีปัญหารีบแจ้งนะคะโดยเฉพาะเรื่องอาม่า” วิมลินกล่าว
“เอ้อ ถ้าอย่างนั้นต้องเสียมารยาทขอร้องสักเรื่อง พริมรู้ระยะนี้ทางคุณคงยุ่งกับการเตรียมความพร้อมให้คุณเจคที่จากบ้านไปนาน แต่ถ้าทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วสามารถพาคุณเจคมาเยี่ยมบ่อยๆ หลานสองคนพร้อมหน้าท่านจะไม่เหงา อาการคงดีขึ้นเร็วค่ะ”
บรรดาผู้ฟังต่างชะงักพลางเหลือบมองกัน หลังจบเรื่องเจคต้องหายตัวไป ไม่ควรสร้างความผูกพันโดยกับเฉพาะผู้มีความเปราะบางทางจิตใจ แต่ถ้าให้วิมลินมาคนเดียวคงผิดสังเกต ขณะกำลังอ้ำอึ้งภายใต้สายตาสงสัยของพริม เผอิญทางสนามของมูลนิธิมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นก่อน
“ไม่ไป!”
เด็กที่เจคเคยเห็นก้มหน้าคุยกับพี่เลี้ยงเมื่อกี้ จู่ๆ ก็ผลักพี่เลี้ยงล้มก้นจ้ำเบ้า กระทืบเท้าแล้วปรี่เข้าไปตีอีกยกใหญ่ พริมตกใจรีบวิ่งไปทางนั้นทันที พี่เลี้ยงกรูจากตึกเข้าช่วยกันจับเด็กที่ดิ้นพล่านอาละวาด วิมลินดึงแขนเสื้อเจคผู้กำลังยืนดูอย่างตกตะลึง
“กลับกันเถอะค่ะ พวกเขาคงยุ่ง”
แต่ชายหนุ่มยังหันรีหันขวาง เด็กตัวนิดเดียวกลับแรงเยอะขนาดพี่เลี้ยงหลายคนเอาแทบไม่อยู่ “ดูจะงานเข้านะ ควรไปช่วยอีกแรงไหม”
“เจอประจำชินกันแล้วละค่ะ ขืนยุ่งอาจกวนการทำงานเปล่าๆ”
เจอแบบนี้ประจำเลยหรือ เจคอึ้ง รอจนหายตกใจจึงเริ่มพิจารณาอีกรอบ “เรื่องแบบนี้คนใหม่อย่างผมคงทำตัวไม่ถูก ส่วนเจ้าหน้าที่มูลนิธิอาจบ่นได้ว่าลำบาก แต่กับคนในครอบครัวที่ต้องเจอซ้ำซากทุกวัน…อยากกรีดร้องยังไม่เหลือแรงจะทำเลยมั้ง”
วิมลินหยุดเพื่อฟังเขาอย่างตั้งใจ “คนนอกอย่างพวกเรามักให้ความสนใจเฉพาะคนป่วย แต่ความจริงแล้วทั้งฝ่ายคนป่วยและคนดูแลล้วนทรมานไม่แพ้กันหรอกค่ะ มูลนิธิอาจเป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆ แต่ถ้าขาดมันไปหลายคนจะลำบาก ไม่ใช่แค่อาม่าใหญ่”
ชายหนุ่มขบริมฝีปาก อาการทุรนทุรายของอาม่าใหญ่วาบผ่านในห้วงคำนึง แววตาปานประหนึ่งแก้วร้าวละเอียด พร้อมแตกสลายเพียงลมพัดผ่าน…
จู่ๆ สองบ่าพลันหนักอึ้งขึ้นมา เป็นเช่นที่วิมลินเคยกล่าว มูลนิธิมีความสำคัญกับใครหลายคน แต่สิ่งสำคัญเช่นนี้กลับตกอยู่ในสภาพเปราะบางเหลือเกิน โดยมีเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของเสาหลักซึ่งพยายามค้ำยันมันไว้…แล้วถ้าเขาพลาดขึ้นมาล่ะ
เจคก้มตัวนั่งในรถ ทว่าแม้จะปิดประตูลงแล้ว เสียงกรีดร้องของเด็กพิเศษคนนั้นก็คล้ายยังตามหลอกหลอนข้างหูนี่เอง
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 15 : สิ่งที่ซ่อนไว้ในความลับ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 15 : สิ่งที่ซ่อนไว้ในความลับ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 13 : เหตุพลิกผัน (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 13 : เหตุพลิกผัน (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 12 : เปิดใจ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 12 : เปิดใจ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (4)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (1)