หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (1)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

วิมลินเพิ่งถึงคลินิกเทคนิคการแพทย์เอกชนที่เชี่ยวชาญด้านการตรวจดีเอ็นเอซึ่งนัดหมายไว้ ภวัตก็ตามหลังมาพอดี ญาติผู้พี่คอยดูจนจบกระบวนการ สอบถามได้ความว่าจะแจ้งผลตรวจภายในสามวันให้วิมลินและเจคทราบทางโทรศัพท์ ส่วนจดหมายยืนยันผลต้องใช้เวลามากกว่านั้นเพราะผู้ตรวจแจ้งความประสงค์นำไปใช้ต่อในทางกฎหมายจึงต้องผ่านกระบวนการเพิ่มขึ้น เสร็จสรรพต่างคนต่างกลับโดยวิมลินจะไปส่งเจคที่โรงแรมเสียก่อน

หญิงสาวขับออกมาเรื่อยๆ นิ้วเคาะพวงมาลัยอย่างเผลอไผล เจคเหลือบมองเล็บเรียวที่ผ่านการตัดแต่งอย่างดีแล้วหวนนึกถึงตอนเพิ่งลงเครื่อง หญิงสาวขอแวะร้านทำเล็บก่อนเข้าบริษัท เขายอมตามเพราะรู้ดีเธอคงต้องการเวลาเตรียมใจ ด้วยถ้าพาเขาไปถึงบุหรงกาญจน์เมื่อไร วินาทีนั้นจะหันหลังกลับอีกไม่ได้แล้ว

ความสงสัยพลุ่งพล่านจนแทบระเบิด วิมลินยอมทำขนาดนี้เพราะเหตุผลอะไรกัน

รถยนต์แล่นผ่านสามสี่แยกไฟแดงก็วกรถกลับไปที่คลินิกเอกชนอีกครั้ง หญิงสาวสำรวจจนแน่ใจว่าภวัตไม่อยู่แล้วจริงๆ ค่อยพาเจคเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่

“พวกฉันสองคนเพิ่งมาติดต่อตรวจดีเอ็นเอเมื่อสักครู่ค่ะ แต่เปลี่ยนใจขอยกเลิกการตรวจ”

เจ้าหน้าที่ตกใจ “เอ๋ แต่ว่า…”

“ฉันยังจ่ายค่าตรวจเหมือนเดิมค่ะแค่ไม่ต้องดำเนินการต่อแล้ว ตัวอย่างที่เก็บไปก็ขอให้ทำลายทิ้ง”

ในเมื่อไร้ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย อีกทั้งเจ้าของตัวอย่างทั้งสองคนมายกเลิกด้วยตนเอง คลินิกจึงยินยอมโดยดี วิมลินแจ้งต่อว่า

“ไม่ต้องบอกผลทางโทรศัพท์หรอกค่ะ แต่ยังอยากให้ส่งจดหมายแจ้งผลไปตามที่อยู่เดิม ระบุว่าฉันยกเลิกการตรวจก็ได้”

เสร็จสรรพพวกเขาค่อยเดินตัวปลิวออกจากคลินิก เจคยังมองซ้ายขวาอย่างระแวง

“มันจะง่ายแบบนี้เชียวหรือ ขืนพี่วัตของคุณมาถามผลที่คลินิกความคงแตกพอดี”

“ข้อมูลพวกนี้เป็นความลับของผู้ขอตรวจนะคะ ถึงมีการยกเลิกก็ยังถือเป็นข้อมูล บุคลากรทางการแพทย์ห้ามแพร่งพรายให้คนอื่นทราบโดยพลการ ปลอดภัยแน่ๆ ค่ะ”

“แล้วคุณจะขอจดหมายจากคลินิกไปผูกมัดตัวเองทำไม”

“ไหนๆ เราก็ต้องทำผลตรวจปลอมมาแทนเผื่อพี่วัตขอดู สอดไส้ในซองจดหมายของจริงน่าเชื่อถือกว่า”

เจคมองเธอทึ่งๆ “สมมุติคุณเกิดอยากเอาดีทางมิจฉาชีพขึ้นมาผมคงสยองน่าดู”

“ยังมีอารมณ์ล้อเล่นนะคะ” วิมลินใช้หางตาชำเลืองเขา “ถ้าพูดถึงมิจฉาชีพคุณเองก็ไม่เบา เรากำลังสวมรอยหลอกคนทั้งบริษัทแต่คุณกลับนิ่งมาก ไร้ความกังวลจนน่าแปลกใจ”

“หรืออยากให้ผมลุกลี้ลุกลน กลัวไปซะหมดจนผิดสังเกตล่ะครับ อย่าลืมสิผมสวมรอยเป็นพี่ชายคุณมาตั้งเท่าไหร่ ก็แค่ทำตัวเป็นเจคตามปกติเท่านั้น อีกอย่างถ้าทำสำเร็จเท่ากับผมได้หลุดพ้นจากความลับคับอก ไม่ต้องคอยระแวงใครจะจับผิดเรื่องการสลับตัวอีก พ่อเองก็ปลอดภัย”

ข้อเสนอของเขาเพื่อแลกด้วยการยอมร่วมมือกับวิมลินก็คือ หลังจบเรื่องเธอต้องทำให้บุหรงกาญจน์เลิกยุ่งเกี่ยวกับเขาอย่างถาวร หุ้นทั้งหมดยกให้เธอจัดการตามชอบ ห้ามเธอติดต่อพ่อของเขาเด็ดขาด พูดง่ายๆ ห้ามพ่อเขารับรู้เรื่องนี้ และเมื่อทุกอย่างจบสิ้น รอเวลาเหมาะสมค่อยนำเถ้ากระดูกของผู้ตายทั้งสองคนกลับมาลอยอังคารตามพิธีการที่เมืองไทย

แน่นอน วิมลินยินดีรับปากทุกข้อ

เดินมาถึงพาหนะ เจคเท้าศอกบนหลังคารถ พูดกับหญิงสาวที่ยืนฝั่งตรงข้าม “ผมกลายเป็นพวกคุณเต็มตัวแล้วนะ ทีนี้ยอมบอกได้หรือยังครับ ความลับที่ทำให้คุณต้องหาตัวแทนหุ่นเชิดแย่งตำแหน่งประธานบริษัทน่ะ”

เธอคิดนิดเดียวก็เปิดประตูห้องโดยสาร “ขึ้นรถสิคะ จะพาไปดู”

 

รถวิ่งข้ามไปทางเขตปริมณฑล ถนนขยายกว้างขึ้น บ้านเรือนกระจายตัวห่างจนเริ่มบางตา วิมลินหักพวงมาลัยเข้าทางถนนแคบๆ ช่วงแรกเจคยังไม่ทันสังเกต จนเริ่มรู้สึกว่าเมื่อเข้าสู่ถนนเส้นนี้มักเจอป้ายชี้บอกทุกทางเลี้ยวทางแยก ที่สะดุดใจคือชื่อสถานที่บนป้าย

“มูลนิธิเล่าจุงเอ็ง” เขาทวนชื่อเบาๆ “ทำไมผมคุ้นๆ จัง…เล่าจุงเอ็ง”

“ชื่ออาม่าของฉันเองค่ะ แม่แท้ๆ ของคุณพ่อ”

ชายหนุ่มตบเข่าฉาด “ใช่ๆ ผมคงเคยได้ยินแคนพูดถึง ปู่ของคุณ…เรียกอากงใช่ไหม อากงคุณมีเมียสองคน คนแรกเป็นอาม่าคุณ ส่วนทางลุงเสริฐกับน้องๆ คือลูกของเมียอีกคน”

“อากงกับอาม่าเล็กเสียไปนานแล้วเหลือแต่อาม่าใหญ่ที่แก่มาก แกมีบ้านพักอยู่ข้างมูลนิธิเดี๋ยวคุณก็เห็น”

“มูลนิธินี่ทำอะไรหรือ”

แทนที่จะตอบหญิงสาวกลับย้อนถาม “คุณรู้ใช่ไหมพ่อฉันยังมีพี่ชายอีกคน ลูกชายคนโตของบ้านที่เกิดจากอาม่าใหญ่ ถ้าเขายังอยู่ฉันต้องเรียกเขาลุงใหญ่ และตำแหน่งประธานบริษัทคงเป็นของเขา”

“เหมือนเขาตายไปตั้งแต่เด็ก แคนไม่ค่อยเอ่ยถึง”

“เพราะพี่แคนเองก็แทบไม่รู้เรื่องเขา ตอนนั้นพวกเรายังเด็กไม่มีใครอยากเล่าให้ฟังสักเท่าไหร่ จนฉันโตถึงพอทราบคร่าวๆ ลุงใหญ่เขามีอาการออทิสติกค่ะ แต่สมัยที่พวกเรายังไม่เกิดกันด้วยซ้ำความรู้เรื่องออทิสติกในไทยยังไม่แพร่หลาย ชาวบ้านแทบไม่มีใครรู้จักมัน พูดกันแค่ลุงใหญ่เป็นเด็กนิสัยประหลาด และพออายุสักสิบสองสิบสาม…เขาก็ฆ่าตัวตาย”

เจคเลิกคิ้วสูง แต่ยังไม่ทันซักถามเธอก็ชี้นิ้วทางซ้าย “นั่นไงคะบ้านอาม่า”

รถยนต์วิ่งผ่านรั้วเหล็กดัดโปร่งบนฐานปูนสีขาว ถ้ามองทะลุพุ่มไม้ที่ปลูกชิดด้านหลังรั้วและข้ามสนามหญ้าไปจะเจอบ้านสองชั้นสไตล์โมเดิร์น แต่เห็นแค่แวบเดียวเพราะวิมลินขับเลยไปอีกจนถึงรั้วอิฐก่อทึบซึ่งสร้างต่อจากรั้วบ้านนั้น เป็นแนวยาวหลายสิบเมตรค่อยพบประตูรั้วอัลลอยดัดและทาสีเลียนแบบใบไม้ ซีกหนึ่งของประตูติดป้ายมูลนิธิส่วนอีกทางเป็นป้อมยาม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชะโงกดูทะเบียนรถวิมลินก่อนเลื่อนประตูเปิดให้ด้วยระบบไฟฟ้า

รถขับผ่านถนนลาดยางที่แบ่งพื้นที่ออกเป็นด้านซ้ายและขวา ทางซ้ายเป็นสนามหญ้ามีเด็กหลายคนเดินเล่นกับผู้ปกครองหรือไม่ก็เจ้าหน้าที่ซึ่งสวมชุดมูลนิธิ ทางขวาเป็นสนามกีฬาซึ่งเด็กที่โตกว่าพวกในสนามหญ้ากำลังเล่นฟุตซอลอยู่ ตรงไปถนนกลายเป็นสามแยกวิ่งขนานไปกับอาคารชั้นเดียว สุดทางที่โรงจอดรถซึ่งแค่สร้างหลังคาคลุมไว้มีรถยนต์มอเตอร์ไซค์จอดหลายคัน แต่วิมลินเลี้ยวอีกทางเป็นซีกที่อยู่ติดกับบ้านของอาม่า คั่นไว้แค่รั้วพุ่มไม้เขียวสูงเกือบถึงอก หญิงสาวนำรถจอดชิดรั้วนี้ ลงจากรถพลางพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่ผู้ออกจากอาคารมาดูว่าใคร ครั้นเห็นวิมลินก็ยกมือไหว้แล้วเดินกลับเข้าไป ไม่นานประตูที่กั้นรั้วก็ขยับเลื่อนไปซ่อนในพุ่มไม้อย่างแนบเนียน เปิดเป็นทางปูหินสั้นๆ ก่อนถึงตัวบ้าน

“ไปหาอาม่ากันไหมคะ”

พวกเขาสาวเท้าพร้อมกันช้าๆ เดินเอื่อยเฉื่อยไม่รีบร้อน เจคชวนคุยต่อ “เด็กเยอะนะครับ ผมเห็นจับกลุ่มระบายสีกันในอาคารด้วย”

“มูลนิธิรับดูแลและวิจัยรักษาเด็กออทิสติกค่ะ อาม่ารู้สึกผิดกับลุงใหญ่มาตลอด ราวห้าปีก่อนพ่อเลยตั้งมูลนิธิขึ้นมาแล้วสร้างบ้านให้อาม่าคอยดูอยู่ใกล้ๆ”

ชายหนุ่มเงยหน้ามองตัวบ้าน จากซีกนี้เห็นที่ชั้นสองติดกระจกแทนผนังทั้งบาน คนในบ้านน่าจะนั่งดูพวกเด็กๆ วิ่งเล่นได้ทั้งวัน “ความลับของคุณเกี่ยวข้องยังไงกับมูลนิธิล่ะ”

“คนบริหารมูลนิธิหลักๆ เป็นอาม่ากับทีมงาน มีพ่อคอยช่วยห่างๆ ฉันไม่ค่อยได้ยุ่งเลยรู้ข้อมูลแค่คร่าวๆ ดูเหมือนช่วงหลังมูลนิธิเริ่มขาดเงินจนอาม่าร้อนใจ พ่อเลยตัดสินใจจะยกที่ดินแปลงหนึ่งให้มูลนิธิไว้ปล่อยเช่าเพื่อรับเงินระยะยาว แต่ดำเนินการได้ครึ่งทางพ่อก็เสียซะก่อน เรื่องเลยคาราคาซังเพราะที่ดินผืนนั้นเป็นชื่อบริษัทบุหรงกาญจน์ คนเซ็นยกให้ได้มีแต่ประธานเท่านั้น”

เจคเริ่มปะติดปะต่อรายละเอียด “ลุงเสริฐเขาไม่ยอมเซ็นหรือ”

“ไม่ได้แสดงออกโต้งๆ หรอกค่ะ แต่หาข้ออ้างยื้อไว้ระหว่างแอบติดต่อคนมาซื้อที่ดิน ถ้าเงินก้อนนี้หลุดมือมูลนิธิแย่แน่ เพราะที่ดินที่ตั้งของมูลนิธิก็ค้ำประกันเงินกู้ไว้”

ชายหนุ่มเหลือกตามองบนในท่าคิดทบทวน “ลุงเสริฐและพวกคุณอาไม่ค่อยถูกกับอาม่าใหญ่ของคุณนี่ บาดหมางตามประสาบ้านเล็กบ้านใหญ่”

“ตอนพ่อยังอยู่ทุกอย่างราบรื่นดีนะคะ ทางนั้นเกรงใจเพราะพ่อไม่เคยมีปัญหากับใคร ถึงพวกเขาจะเกลียดอาม่าใหญ่ขนาดไหนก็ไม่กล้าล้ำเส้น ฉันเองยังเผลอเชื่อสนิทใจจนมารู้เรื่องลอบขายที่ดินทีหลัง แต่ลุงเสริฐรักษาการประธานอยู่ มีพวกคุณอาเป็นกรรมการหนุนหลัง ถ้าพวกเขาจะทำอะไรกับที่ดินบริษัทฉันก็ห้ามไม่ได้”

เลยตัดสินใจบินไปพาตัวพี่ชายมาขัดตาทัพสินะ ทว่าดันเจอเขาเสียแทน เจคแอบต่อความอยู่ในใจ “แต่คุณแทบไม่เคยสนใจมูลนิธิเลย ทำไมต้องปกป้องขนาดนั้น”

“มันเป็นงานสุดท้ายที่พ่อทำค้างไว้ฉันอยากสานต่อให้จบค่ะ และยังมีผลกับจิตใจอาม่าใหญ่ด้วย ถ้าฉันปล่อยทิ้งคงไม่มีหน้าไปไหว้อัฐิพ่อ”

พวกเขามาถึงประตูบ้านเปิดโล่ง วิมลินเดินเข้าไปอย่างถือวิสาสะ ส่วนเจคยังติดพันการสนทนา “งั้นผมขอถามในฐานะคนนอกนะ ไหนๆ คุณก็ไม่สนใจตำแหน่งประธานอยู่แล้ว ทำไมไม่เอามันต่อรองกับลุงเสริฐ แลกเปลี่ยนหุ้นบางส่วนกับที่ดินซะเลย”

หญิงสาวกำลังจะตอบแต่เห็นการเคลื่อนไหวแถวห้องครัวเสียก่อน จึงแตะแขนเตือนเขาให้หยุดพูด แม่บ้านเยี่ยมหน้าออกมาเจอวิมลินก็กุลีกุจอต้อนรับ

“เชิญคุณอิงค่ะ คุณท่านพักผ่อนอยู่ข้างบนเหมือนเดิม”

“ฉันขึ้นไปเองได้ค่ะทำงานต่อเถอะ ไม่ต้องหาของว่างเครื่องดื่มไปให้พวกฉันหรอก”

เกือบทั้งชั้นสองกั้นไว้เป็นห้องเดี่ยว วิมลินเคาะประตูก่อนเปิดเข้าไป มีเตียงผู้ป่วยตั้งวางพร้อมอุปกรณ์การแพทย์บางอย่างแต่ยามนี้บนเตียงว่างเปล่า หญิงสาวในชุดพยาบาลผละจากที่นั่งตรงมุมห้องมาหา วิมลินเริ่มซัก

“คุณพยาบาลคนใหม่หรือคะไม่คุ้นหน้า ฉันเป็นหลานอาม่ามาเยี่ยมค่ะ”

“พอดีพยาบาลประจำลาชั่วคราวค่ะ ส่วนคุณท่านอยู่ตรงนั้นกำลังดูพวกเด็กๆ”

ซีกหนึ่งของชั้นสองเป็นผนังกระจกทั้งหมด ติดฟิล์มกรองแสงแบบมองได้ด้านเดียวจากข้างใน หญิงชราบนรถเข็นทอดสายตาผ่านออกไปยังสนามหญ้าของมูลนิธิ เจคตามวิมลินไปใกล้จนเห็นผิวหนังเหี่ยวย่น ไหล่งองุ้มกับแขนขาลีบเล็กตามอายุ แอบนึกในใจสภาพเช่นนี้จะดูแลมูลนิธิอย่างที่วิมลินเคยอธิบายได้อย่างไร

ชายหนุ่มหยุดรอด้านหลังห่างรถเข็นสองสามก้าว ปล่อยหญิงสาวไปนั่งคุกเข่าข้างหญิงชรา “อาม่า วันนี้หมอมาตรวจหรือยังคะ”

“ยัง เขาเลื่อนไปบ่าย แต่อั๊วสบายดี” จู่ๆ ริมฝีปากห่อยับก็ยกยิ้ม “ไปบอกเด็กนั่นวิ่งดีๆ เดี๋ยวหกล้ม”

เจคมองข้ามไหล่หญิงชรา เจอเด็กคนหนึ่งกำลังวิ่งคนเดียวในสนามซีกที่อยู่ชิดทางบ้านหลังนี้พอดีจึงเห็นชัด มีพี่เลี้ยงไล่ตามพลางตะโกนเรียกแต่เด็กไม่แสดงอาการสนใจเลย มันไม่ใช่ลักษณะดื้อดึงแบบเด็กทั่วไปแต่เหมือนเขาไม่รับรู้ตัวตนของพี่เลี้ยง ใบหน้าว่างเปล่าคล้ายมีแค่เขากับโลกตรงหน้าเท่านั้น

“ถึงล้มก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ สนามหญ้านุ่ม มีเจ้าหน้าที่ดูแลด้วย” วิมลินตอบ

“แต่วิ่งหนักขนาดนั้น ตรวจร่างกายแล้วใช่ไหม”

“คะ?” แววตาหญิงสาวเริ่มสับสน

“ต้องตรวจนะ ถ้าเป็นโรคหัวใจขึ้นมาจะแย่เหมือนเจ้าศล”

“อาม่ากำลังพูดถึงพ่อใช่ไหมคะ”

หญิงชราคล้ายไม่ได้ยินวิมลิน เอาแต่ยืดคอไปข้างหน้า มือกำหน้าอกแน่น “เจ้าศลเป็นโรคหัวใจเหมือนอั๊ว แล้วก็ตาย…ตาย” แกหันขวับหาวิมลิน สองตาเบิกถลนจนหญิงสาวสะดุ้ง “เจ้าใหญ่ก็เป็นออทิสติกเพราะอั๊วเอง หมอบอกอั๊วส่งต่อไปให้เขา”

หญิงชราผวาเข้าเกาะไหล่วิมลิน กรีดร้องเสียงสั่น “อั๊วทำลูกชายตาย ตายหมดเลย!”

อาม่าเอาแต่พูดซ้ำๆ พลางสะอื้นจนตัวโยน วิมลินและเจคตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก พยาบาลพยายามเข้ามาปลอบกลับถูกหญิงชราผลักไส วิมลินผวาเข้ากอดอาม่าที่เริ่มดิ้นรนจวนจะพลัดตกรถเข็น เธอตะโกนบอกเจคผู้กำลังจะวิ่งมาหา

“มีกริ่งข้างเตียงค่ะ! กดเรียกคนช่วยเร็ว”



Don`t copy text!