หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (2)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (2)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

และในตอนนี้ที่กับระเบิดทำงานเสร็จเรียบร้อย เจคก็กำลังมองสภาพเทวิกาด้วยแววตาสมเพช

ภายนอกเทวิกายังคงเป็นสาวสังคมผู้เฉิดฉาย มีเพียงผู้ที่เผชิญหน้าในระยะใกล้ถึงกระจ่างชัด ใบหน้าบิดเบี้ยวถลึงตาราวจะทิ่มแทงให้ทะลุ ส่วนลึกในแววตาคล้ายบ่อโคลนข้นคลั่กที่ผสมปนเปทั้งความเดือดดาล เจ็บปวดจากความพ่ายแพ้ และความอาฆาตที่ไร้วันมอดดับ ยามถูกมองผ่านดวงตาคู่นี้ แม้คนคนนั้นจะบริสุทธิ์น่าเลื่อมใสปานใด ก็คงเปื้อนดินเปื้อนโคลนไม่มีวันสะอาดไปได้เลย

ชายหนุ่มถอนใจละเหี่ย จะปะทะหน้าเพื่อรับพลังงานด้านลบใส่ตัวทำไม จึงดึงวิมลินควงแขนออกจากงานเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่เพิ่งก้าวลงสะพานที่เชื่อมต่อเรือบ้านไปถึงอีกฝั่ง เทวิกาผู้ตามหลังมาพลันตวาดก้อง

“พวกเธอหยุดก่อน!”

เจคอยากเร่งความเร็วหนีเสียด้วยซ้ำ ทว่าสาวข้างกายกลับรั้งฝีเท้าลง ชายหนุ่มรีบกระซิบ “ช่างเธอเถอะน่า”

“เราไม่หนีค่ะ บุหรงกาญจน์ไม่เคยหลบการเผชิญหน้ากับใคร”

เขาจึงได้แต่ยืนเซ็ง แถวนี้เป็นส่วนหนึ่งของสนามหญ้าภายในสวนอาหาร ผู้คนส่วนใหญ่อยู่กันตามห้องจัดเลี้ยงหรือบริเวณอื่น รอบด้านเลยไม่มีใครนอกจากเขาสามคน เทวิกาก้าวมาหยุดใกล้โคมไฟสนามสูงเหนือศีรษะ หายใจหอบราวจะล้มพับได้ทุกวินาที แต่ยังพยายามเค้นเสียง

“คิดว่าชนะแล้วหรือ!”

วิมลินไม่โต้ตอบ แววตาเย็นชาราวกับผู้หญิงตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับอากาศธาตุ เทวิกากัดฟันกรอดจนแทบดังไปทั้งสนาม

“รู้จักใช้แต่วิธีชกใต้เข็มขัดเพราะแม่สอนมาละสิ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ ต่อหน้าใสซื่อแต่เผลอเมื่อไรก็รีบแทงคนข้างหลัง!”

ชายหนุ่มขมวดคิ้วทันที สังหรณ์ร้ายกระแทกเข้ามาจนตัวชาวาบ วินาทีนั้นรีบหันมองคนข้างตัวจึงเห็นเต็มสองตา สีหน้าเฉื่อยชาของวิมลินวูบหายราวถูกสูบ คำรามเสียงต่ำ

“เหลวไหล! จะใส่ร้ายใครก็ควรให้เกียรติคนที่เสียไปแล้วบ้าง”

สาวใหญ่เชิดหน้า เมื่อฝ่ายตรงข้ามเริ่มปั่นป่วนตามคำยุแหย่ เรี่ยวแรงจึงกลับคืนดั่งปลาได้น้ำ “เด็กอย่างเธอจะรู้อะไร แม่บังเกิดเกล้าที่เคารพหนักหนาไม่ใช่คนดีเหมือนที่คิดหรอกนะ”

คล้ายเส้นบางอย่างในหัวขาดผึง วิมลินจะก้าวขึ้นไปประชิดเทวิกาแต่เจครั้งตัวไว้ทัน เขารู้ดีครอบครัวเป็นจุดอ่อนของหญิงสาวเสมอมา ยิ่งสายสัมพันธ์ใกล้ชิดก็ยิ่งมีอิทธิพลต่อความรู้สึก เทวิกาคงระแคะระคายเช่นกันถึงเอามาทิ่มแทงด้วยความแค้น เจคตั้งใจจะพาน้องสาวกำมะลอหลบจากตรงนี้ไปก่อน แต่เทวิกากลับชี้นิ้วใส่หน้าเขา

“เธอก็ระวังไว้เถอะเจค สักวันจะโดนยัยอิงหักหลังเหมือนที่ผกาเคยโดนนังวาดทำไว้!”

หญิงสาวในอ้อมแขนเขาพลันตัวแข็งทื่อ เจคกัดริมฝีปาก สะบัดหน้าหาตัวการ “หยุดพูดเถอะครับคุณวิ”

“ทำไม หรือทนฟังความจริงกันไม่ได้” เทวิกาตอบเสียงเยาะ “รู้เอาไว้ซะ สมัยนั้นพอยัยอิงเกิดมา คุณศลเห็นฉันยอมรามือเลยได้คืบจะเอาศอก คิดพาพวกเธอสองแม่ลูกกลับบ้าน ข่าวแว่วไปถึงหูนังวาดเข้า รายนั้นทำยังไงรู้ไหม นังวาดถึงขนาดมาพบฉันเพื่อขอให้ร่วมมือกันค้านคุณศลอย่าพาพวกเธอกลับ! เชื่อไหมล่ะ นังวาดที่ต่อหน้าแม่เธอก็ยิ้มฉอเลาะพูดจาลงคะลงขาทุกคำ ลับหลังดันแค้นเธอสองแม่ลูกจับจิต กลัวจะมาแย่งสมบัติไปจากยัยอิง!”

วิมลินตะปบมือกับแขนเจค เกร็งแน่นจนเล็บจิกเนื้อ ชายหนุ่มนิ่วหน้าแต่ไม่บ่นสักคำ หัวสมองหญิงสาวว่างเปล่าไปหมด ได้แต่พูดซ้ำๆ ราวแผ่นเสียงตกร่อง

“ไม่จริง คุณโกหก…โกหก”

“เด็กเอ๊ย” เทวิกาเหยียดยิ้มสาแก่ใจ ยกมือตบแก้มวิมลินเบาๆ “ส่องกระจกดูเสียบ้าง นี่มันสีหน้าของคนที่เชื่อว่าฉันโกหกจริงๆ หรือ”

ริมฝีปากหญิงสาวสั่นระริก อยากโต้ตอบใจแทบขาดทว่าลิ้นกลับชาดิก แล้ววินาทีที่ประหนึ่งโลกถล่มตรงหน้านั่นเอง เจคก็ก้าวเข้ามา ปกป้องเธอไว้จากเทวิกาเหมือนเช่นทุกครั้ง

สาวใหญ่ขมวดคิ้วจ้องร่างสูงที่ยืนขวางทาง เธอยังมองยายอิงถูกขยี้ใต้เท้าไม่พอเลยสักนิด จึงพ่นคำใส่หน้าชายหนุ่ม “บ้าดีนะเธอนี่ กล้าหันหลังให้ลูกสาวนังวาดอีกหรือ ชอบถูกแทงซ้ำๆ นักใช่ไหม”

“เรื่องของคุณวิสนุกมากครับ ทีนี้อยากฟังเรื่องของผมบ้างไหม” ก้นบึ้งในดวงตา ประกายวาบดุจคมมีดฉาบฉายขึ้น เทวิกาหนาววูบอย่างไร้เหตุผล “ก่อนแม่จะพาผมออกจากบุหรงกาญจน์สักเดือนได้มั้ง ผมป่วยหนักต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาล จำได้ไหมครับ”

เทวิกาไม่ตอบแต่วิมลินจำได้ดี ครั้งนั้นเด็กแข็งแรงอย่างพี่แคนป่วยบ่อยมาก หมอหาสาเหตุไม่เคยเจอ ไม่แปลกที่พี่แคนจะเล่ามันให้เจคฟัง

“ถ้าอยู่โรงพยาบาลผมจะดีขึ้นแต่กลับบ้านก็ป่วยใหม่ทุกครั้งจนแม่เอะใจ วันหนึ่งเลยแอบเอาข้าวที่ผมต้องกินไปป้อนเจ้าขาวหมาเฝ้าบ้าน ไม่ถึงวันมันก็ตาย คนสวนไม่รู้เรื่องรู้ราว เห็นอาการเจ้าขาวก็ฟันธงประสาซื่อว่าโดนยาเบื่อ”

วิมลินสะบัดหน้ามองแผ่นหลังเหยียดตรงนั่น ขนลุกชันไปทั้งร่าง แต่น้ำเสียงเจคยังคงสม่ำเสมอ…ราบเรียบ

“แม่จึงตัดสินใจเป็นคนจัดการเรื่องอาหารของผมทั้งหมด ไม่ยอมให้ใครแตะ ผมไม่เคยป่วยแบบนั้นอีกเลย”

เทวิกาผงะถอยโดยไม่รู้ตัว หางตาสั่นระริกขณะตวาดเสียงแหบ “ขุดมันขึ้นมาพูดทำไม!”

“อ้าว พอแม่สั่งคนในครัวให้ช่วยกันจับตามอง ก็พบหญิงรับใช้ของคุณชอบมาป้วนเปี้ยนแถวครัวช่วงเตรียมอาหารบ่อยจนผิดสังเกต ปกติเธอคนนั้นขี้เกียจจะตาย ไม่มีคำสั่งคุณไม่ขยับตัวหรอก แล้วคุณสั่งเธอมาทำอะไรที่ครัวล่ะครับ”

หัวใจวิมลินวูบตกแทบเท้า ลองวิเคราะห์ดูช่วงเวลานั้นเทวิกาเพิ่งรู้ตัวว่าท้องครั้งที่สอง เธอตั้งความหวังกับลูกคนนี้มาก ย่อมพยายามกรุยทางสำหรับการขึ้นเป็นทายาทของโกศล และพี่แคนคืออุปสรรคอันดับหนึ่งที่กั้นขวางไว้

หวนนึกถึงตอนพ่อบอกให้เทวิกาเป็นคนดูแลแคนแทนแม่แท้ๆ แต่ผกาไม่ยอม ให้ตายก็ไม่มีวันยอม!

“คิดใส่ความกันรึไง อย่าลืมสินอกจากฉันยังมีวาดจันทร์ที่แค้นพวกเธอสองแม่ลูกเหมือนกัน”

“แม่ตรวจสอบแล้วครับ น้าวาดแทบไม่เคยมาช่วงที่กำลังเตรียมอาหารเลย อีกอย่างถ้าวางยาผมมีโอกาสที่อิงจะโดนด้วย เพราะผมกับอิงมักกินข้าวกินขนมด้วยกัน ไม่มีแม่ที่ไหนยอมเสี่ยงแบบนั้นหรอก” เขาส่ายหัว “เสียดายแม่ขี้กลัวเกินไป ถ้ายอมไปปรึกษาหมอหรือตำรวจ หรือกล้าไปบอกพ่อสักคำ เรื่องอาจไม่จบแบบนี้”

หญิงบ้านนอกไร้การศึกษา โดนกดหัวมาทั้งชีวิต สามีก็คล้ายไม่ดูดำดูดีตนกับลูกสักเท่าไร เสี้ยวหนึ่งเธอคงกลัวหากสามีไม่เชื่อเพราะถึงอย่างไรด้านเทวิกาก็มีแต้มต่อเหนือกว่า ชะตากรรมตัวเองและบุตรชายอาจเลวร้ายกว่าเดิม ผกาสู้เต็มที่ตามแบบฉบับของเธอแล้ว

สีหน้าเทวิกาเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด มือกำชายเสื้อบิดแทบขาดคามือ “อยากพูดอะไรก็พูดไป ฉันไม่มีวันยอมรับ!”

“เช่นกันครับ คุณวิจะพูดถึงน้าวาดแบบไหนก็พูดไปเถอะ” เจคคว้ามือคนข้างตัวมากุมไว้ สบตาเธอแน่วแน่ “พวกผมไม่มีวันยอมรับเช่นเดียวกัน!”

จากนั้นชายหนุ่มก็ยิ้ม รอยยิ้มที่ก่อระลอกคลื่นจากจุดเล็กๆ แล้วกระเพื่อมไหวแผ่กว้าง แตะถึงส่วนลึกในหัวใจ วิมลินเคยคิดว่าการถูกปกป้องจะทำให้อ่อนแอ จนกระทั่งวินาทีนี้ หัวใจกลับเอ่อท้นด้วยความกล้าซึ่งเขามอบให้

ลืมได้อย่างไรกัน เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่คอยแต่ขดตัวหนียามเผชิญหน้าเทวิกาอีกแล้ว!

หญิงสาวขยับขึ้นไปเบื้องหน้าเจค ใบหน้านิ่งเฉยราวรูปสลักคล้ายกับความหวั่นไหวเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องเหลวไหล “คุณวิทราบไหมคะ บุหรงกาญจน์ซื้อตัวคนของคุณมาทำแฟชั่นโชว์ให้เราเรียบร้อย พรุ่งนี้พวกเธอคงยื่นใบลาออก”

“หา!?” สาวใหญ่สะท้านราวถูกทุบ “นี่เธอ…นี่เธอวางแผนไว้หมดแล้วสิ ยัยบ้า!”

วิมลินไหวไหล่ “อีกเรื่องที่คุณควรทราบ พวกลูกน้องเคยภักดีกับคุณมากนะ จนกระทั่งคุณฝืนเอาตัวเข้าไปเป็นหนึ่งในผู้จัดงานแฟชั่นโชว์ เขี่ยแบรนด์ลูกปลาทิ้งเอาหน้าใหม่มาแทน สับเปลี่ยนนางแบบและวุ่นวายกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์หวังขัดขาบุหรงกาญจน์ ทำทุกอย่างโดยไม่ฟังคำตักเตือนหรือสนใจความเหนื่อยยากของพวกเธอเลย อิงคงต้องขอบคุณนะคะ เพราะมีคุณอยู่เลยทำงานง่ายขึ้นเยอะ”

เทวิกายืนอยู่ใต้โคมไฟสนามสูงเหนือศีรษะ แสงเหลืองซีดส่องใบหน้าประหนึ่งใบไม้แห้งกรอบที่แค่กำก็แหลกคามือ สาวใหญ่อ้าปากพะงาบ กลอกตาลนลานราวจะควานหาคำโต้ตอบจากอากาศเบื้องหน้า…แต่จะหลงเหลืออะไรอีกนอกจากความว่างเปล่า

วิมลินขยับประชิดฝ่ายตรงข้าม ก้มกระซิบแทบหูเธอ “‘อย่าเอาอารมณ์ส่วนตัวมาเกี่ยวข้องกับงาน’ คำสอนของพ่ออันนี้อิงมอบให้นะคะ ถือเป็นของขวัญปลอบใจชิ้นสุดท้ายก็แล้วกัน”

กล่าวจบไม่สนใจปฏิกิริยาอีกฝ่าย หญิงสาวหมุนตัวจากมาทันที เจครีบเดินตีคู่ ก้มมองแก้มซีดเผือดของเธอแล้วครางเสียงแผ่ว

“คุณ…ไหวไหม”

ผู้ถูกถามไม่ตอบ เพียงยืดแผ่นหลังขึ้น เชิดหน้าราวไม่ยอมให้ใครเห็นความอ่อนแอ ชายหนุ่มแอบกลั้นเสียงถอนหายใจ แตะศอกเธอแทนการประคอง เคียงข้างวิมลินไปทีละก้าวจนตลอดทาง

ขากลับบ้านใช้เวลาเร็วกว่าขาไปมากเพราะรถไม่ติด เมื่อขับเข้าโรงจอดรถที่บ้านเรียบร้อยคนงานชายก็วิ่งมารับเหมือนเช่นเคย เจคที่ก้าวลงจากพาหนะยกมือห้าม

“รถเอาไว้ล้างพรุ่งนี้เถอะ แล้วช่วยไปบอกแม่บ้านไม่ต้องรอไปพักผ่อนได้เลย” ปกติถ้ามีงานเลี้ยงกลางคืนแม่บ้านจะคอยจนวิมลินกลับมา เพราะเจ้าของบ้านอาจยังไม่ได้กินข้าวด้วยหลายเหตุผล เผื่อต้องทำอาหารหรืองานอื่นตามสั่ง

หลังรอบตัวสงบเงียบชายหนุ่มค่อยอ้อมมาเปิดประตูรถอีกฝั่ง วิมลินนั่งกอดเข่าอยู่บนเบาะ ซบหน้านิ่งกับหัวเข่า เส้นผมหลุดลุ่ยจากมวยที่เกล้าไว้ละยังท่อนแขนยาวเรียว ชายกระโปรงกรอมเท้าเปลือยเปล่า รองเท้าส้นสูงกลิ้งทับกันตรงพื้นรถ ดวงไฟบนเพดานโรงรถสาดจ้าทิ่มตาแต่เธอยังนิ่งไม่ขยับสักนิด

อยู่ท่านี้มาตั้งแต่เริ่มเคลื่อนล้อออกจากงานสังสรรค์แล้ว…

เจคนึกสงสารจับจิต แต่ต้องสารภาพแบบไม่อ้อมค้อม วิมลินที่เชิดใส่คนทั้งโลกทว่ากลับยอมแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเขา เห็นแล้วหัวใจก็พองโตขึ้นมา

และวินาทีนั้นเอง ชายหนุ่มพลันตัวแข็งทื่อ หัวใจพองโตถูกเจาะแตกกระจาย!

นี่เขา…เขาแอบดีใจทั้งที่วิมลินกำลังเศร้าอยู่งั้นหรือ เห็นแก่ตัวได้ปานนั้น ยังกล้าพูดจะดูแลปกป้องเธอเหมือนพี่ชาย!

บางครั้งเวลาที่เราเพิ่งเข้าใจสิ่งสำคัญ มันจะพุ่งทะลวงเข้ามาอย่างไร้ซึ่งสัญญาณใดทั้งสิ้น เจคเผลอสูดหายใจจนขาดห้วง มันง่ายขนาดเขายังตะลึงกับความงี่เง่าของตัวเอง เขาไม่เคยใส่ใจวิมลินแบบพี่ชายสักนิด ไม่เฉียดใกล้เลยด้วยซ้ำ

เขาชอบเธอ…ชอบมากในฐานะของผู้หญิงคนหนึ่ง

เจคเท้าศอกกับขอบประตูรถ ลูบหน้าผากที่เริ่มมีเหงื่อผุดพราย เขาจงใจหลอกตัวเองด้วยการย้ำแต่ว่าต้องปกป้องวิมลินแบบน้องสาวอะไรนั่น เนื่องจากตระหนักจนถึงก้นบึ้ง จบเรื่องเมื่อไรเขาจะจากที่นี่ไปตลอดกาลเพราะไม่มีวันอยู่ร่วมกับบุหรงกาญจน์ได้ อีกอย่างด้วยฐานะที่เขาสวมรอยอยู่ หากถลำลึกจนเลยเส้นอันตรายมันจะไม่ใช่แค่การหันหลังกลับไม่ได้ แต่เหมือนปีนตึกสูงร้อยชั้นโดยเตะบันไดทิ้ง ถ้าขยับพลาดครั้งเดียวทั้งเขาและวิมลินจะร่วงใส่พื้นทันที

ข้ามเส้นไม่ได้เด็ดขาด!

ชายหนุ่มตบหน้าเรียกสติ รอจนหัวใจที่เต้นระรัวสงบลง อารมณ์พลุ่งพล่านกลับเข้าที่ จึงก้มตัวกล่าวอย่างนุ่มนวล “อิง ถึงบ้านแล้ว”

หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ทวนคำเสียงพร่า “ถึงบ้านแล้วหรือคะ”

ยามเธอเอ่ยปาก ขอบตาแดงๆ ยังคลอด้วยน้ำใส เลื่อนลอยประหนึ่งใบไม้กลางธารเชี่ยวพร้อมจมหายทุกเมื่อ ดวงตาคู่นั้นไม่ได้มองยังอาคารไกลออกไป หากแต่หยุดลงที่เขา

…ถึงบ้านแล้ว

กำแพงในหัวใจพังทลายโดยไร้สุ้มเสียง สมองเขาพลันว่างเปล่าตอนโน้มศีรษะเข้าห้องโดยสาร ยื่นมือฝ่าความยับยั้งชั่งใจซึ่งเหลือเพียงซากกองอิฐ เกลี่ยปอยผมที่ละแก้มนุ่มละมุน นิ้วโป้งซับคราบน้ำใสจากหางตา ประคองวงหน้านั้นไว้ราวแก้วที่กลัวแตกสลาย

เป็นการก้าวข้ามเส้นอันตรายที่รู้สึกดีจนเหลือเชื่อ

ลมหายใจอุ่นร้อนของเธอเป่ารดฝ่ามือเขา นัยน์ตาใสแจ๋วยังคงจ้องตรงมาอย่างไว้วางใจเต็มเปี่ยม นั่นช่วยรั้งชายหนุ่มไม่ให้ประทับริมฝีปากลงไปอย่างหวุดหวิด ลำคอขยับกลืนน้ำลายหลายครั้งจนความหวั่นไหวดับหายเงียบเชียบเช่นเดียวกับตอนมันจุดติด เจคใช้ความอดทนที่เหลือไม่ถึงเสี้ยวคลายมือจากแก้มนุ่มละมุนอย่างโหยหา พลิกฝ่ามือขึ้นรอตรงหน้าเธอ

หากวิมลินไม่ยินยอม แม้ต้องทุบหัวใจจนแหลก เขาก็พร้อมจะกลับเป็นพี่ชายคนเดิมของเธอ

 



Don`t copy text!