หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (1)
โดย : สิตา
หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co
วิมลินเลิกเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นช้าๆ ร่างกายหมดเรี่ยวแรงจนกระพริบตาสักครั้งยังยาก ลำคอแห้งเป็นผงจึงเรียกหาน้ำ แต่มีเพียงเสียงครางเล็ดลอดริมฝีปากแตกระแหงออกมา ชายผู้นั่งข้างเตียงมีปฏิกิริยากับเสียงที่เบาแสนเบานั่นทันที เจคโน้มตัวเหนือร่างอ่อนแอ ใช้หลังมือแตะแก้มเธอพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“คุณ…ได้ยินผมไหม”
วิมลินพยักหน้านิดเดียว เลียริมฝีปาก “ฉันหิวน้ำ”
“อดทนหน่อยนะ ออกจากห้องผ่าตัดคุณก็หลับๆ ตื่นๆ ตลอด หมอสั่งต้องให้คุณลืมตาเต็มที่ถึงเริ่มจิบน้ำได้”
“หมอ? ผ่าตัด? ฉันอยู่โรง’บาลหรือ” ถามแล้วค่อยรับรู้ แขนซ้ายตัวเองถูกเข้าเฝือกจนหนาเตอะ ความเจ็บพุ่งขึ้นมาจนหน้านิ่ว แต่ไม่ถึงกับทนไม่ได้คงเพราะมียาช่วยบรรเทา รวมถึงเสียงเครื่องมือแพทย์ซึ่งดังเป็นระยะ และอุปกรณ์หลายอย่างที่ต่อกับร่างกาย
“แขนซ้ายคุณมีแผลและกระดูกหัก แต่รักษาเรียบร้อยแล้ว”
คนฟังเบิกตากว้าง ”เกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
“จำไม่ได้เลยหรือ”
เธอพยายามเรียกหาความทรงจำ แต่เหมือนกำลังเดินในอุโมงค์ดำมืดไร้เส้นทาง ความตื่นตระหนกผุดขึ้นในแววตา “ฉันนึกอะไรไม่ออกสักอย่าง ทำไมล่ะ”
“ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มยังใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเดิม พลิกมือเปลี่ยนเป็นลูบแก้มคนบนเตียงเบาๆ “หมอเตือนไว้เหมือนกัน คุณอาจเสียความทรงจำหลังเหตุกระทบกระเทือนรุนแรง เดี๋ยวก็หาย”
วินาทีก่อนวิมลินยังประหวั่นลนลาน คล้ายเกาะบนขอนไม้ที่ถูกเหวี่ยงกระดอนไร้ทิศทางกลางพายุ แต่คำพูดหนักแน่นและสัมผัสปลอบประโลมของเขาฉุดเธอกลับมายืนอย่างมั่นคงบนพื้น
เพราะเจคจะไม่มีวันทำร้ายเธอ…
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยามเห็นสีหน้าหวาดหวั่นคลี่คลายลงทีละน้อย เขายังไม่อยากเล่าทุกอย่างให้ฟังเพราะเกรงจะสร้างความสับสนมากเกินไป เพียงก้มหน้าไปใกล้อีกนิดเพื่อกระซิบข้างหูคนเจ็บ “ช่วงนี้คุณควรพักผ่อนเยอะๆ ผมจะดูแลงานแทนเอง ช่วยบอกพาสเวิร์ดปลดล็อกมือถือได้ไหม”
หญิงสาวให้ความร่วมมืออย่างว่าง่าย จากนั้นดวงตาหรี่ปรือก็ปิดสนิทอีกครั้งด้วยฤทธิ์ยาที่ยังคงค้างในร่าง เขาคอยดูแลจนแน่ใจว่าวิมลินจมในห้วงนิทราสงบสุข ค่อยถอนมือจากแก้มเธออย่างอาลัยอาวรณ์ ออกจากห้องไปยืนยังทางเดินภายในห้องพักระดับ VIP ของโรงพยาบาล พยักหน้าให้พยาบาลที่ยืนรอหน้าห้องเข้าไปเฝ้าไข้แทนเขา
วินาทีที่ประตูห้องผู้ป่วยปิดตามหลัง ความอ่อนโยนอบอุ่นก็เลื่อนหลุดจากใบหน้า ริมฝีปากเขาเม้มตึง ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นในฉับพลัน
วิมลินรอดตายครั้งนี้ต้องบอกว่าเป็นปาฏิหาริย์ในปาฏิหาริย์ เริ่มจากรถยุโรปคันเก่าที่เธอใช้งานประจำเป็นของตกทอดจากโกศลผู้เป็นพ่อ เพราะด้วยความเป็นผู้หญิงจึงไม่ค่อยสนใจเรื่องพาหนะเท่าใดนัก ขอแค่มันยังทำงานได้ตามปกติก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนคัน อีกอย่างเธอเป็นคนขับรถเองจึงชอบใช้คันเดิมๆ ที่คุ้นมือมากกว่า
บังเอิญเหลือเชื่อในช่วงโกศลยังมีชีวิตเขาเคยถูกขู่ฆ่า จึงเอารถไปดัดแปลงเป็นรถกันกระสุน อันที่จริงจะเรียกว่ารถกันกระสุนก็ไม่ค่อยถูก มันแค่ถูกดัดแปลงให้แข็งแกร่งกว่ารถปกติขึ้นมาระดับหนึ่งเท่านั้น และเนื่องจากผ่านการใช้งานหลายปี อุปกรณ์บางชิ้นที่ควรเปลี่ยนหรือบำรุงก็ไม่ได้ทำ เพราะวิมลินแค่ดูแลรักษารถในแบบปกติทั่วไป ไม่ได้สนใจไปถึงชิ้นส่วนเกี่ยวกับการป้องกันอาวุธด้วยไม่เห็นความจำเป็น ดังนั้นตอนเกิดเหตุส่วนประตูยังทำงานป้องกันได้ดีแต่ส่วนของกระจกกันกระสุนนั้นเสื่อมสภาพลงมาก มันกันกระสุนได้แค่สองสามนัดแรกแต่กันนัดสุดท้ายไม่ได้จนแตกละเอียด โชคยังดีเพราะมีกระจกทอนแรงและหันเหมุมของกระสุน เธอจึงถูกยิงเข้าที่แขนเท่านั้น
ชายหนุ่มก้าวไปยังห้องพักผ่อนของญาติฝั่งตรงข้ามทางเดิน ในนั้นมีพร้อมทั้งเตียง ตู้เสื้อผ้า โทรทัศน์ ครัวและโต๊ะกินข้าว เหมือนกับห้องในโรงแรมมากกว่าโรงพยาบาล ทางโซฟารับแขกสุขุมาลกำลังคุยกับภวัตอยู่ เมื่อเห็นชายหนุ่มจึงกวักมือเรียก
“เจคมานั่งนี่สิ อิงเป็นยังไงมั่ง”
“เมื่อกี้ก็ตื่นขึ้นมาอีกรอบแต่หลับไปแล้วครับ”
คนฟังพยักหน้า วิมลินถูกยิงมาได้เกือบสองวัน หลังการผ่าตัดคนป่วยก็หลับๆ ตื่นๆ ตลอดจนไม่มีใครตื่นเต้นแล้ว “รอฟื้นเต็มที่ค่อยให้ตำรวจมาสอบถามอิงอีกทีแล้วกัน”
“แต่ไม่น่าได้เรื่องอะไร” ภวัตปรารภ “พวกเราก็รู้กันดี ปกติอิงแทบไม่เคยบาดหมางรุนแรงกับใคร”
สุขุมาลกัดฟันกรอด “ใช่! นอกจากยัยเทวิกานั่นอิงเคยมีศัตรูคนอื่นเสียที่ไหนกันล่ะ”
วิมลินถูกยิงถือเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงของครอบครัว เมื่อญาติๆ ทุกคนมารวมตัวถกเถียงหน้าดำคร่ำเครียดล้วนได้ข้อสรุปตรงกัน เทวิกานั่นแหละคือผู้อยู่เบื้องหลังการกระทำครั้งนี้!
สุขุมาลระบายความคับข้องใจต่อ “ยัยนั่นเอาแต่หาเรื่องอิงครั้งแล้วครั้งเล่า หลังโดนดีกลับไปบ้างแทนที่จะสำนึกดันมาสร้างข่าวลือทำลายชื่อเสียง แล้วพอแผนตัวเองยังไม่ได้ผลอีกก็จ้างคนลอบยิงซะเลย เลวจนนึกไม่ถึง!”
ตะกอนที่เคยนอนก้นในใจถูกคำพูดสุขุมาลกวนจนขุ่นคลั่ก เจคนึกถึงใบหน้าซีดเซียวของวิมลิน เสียงครางด้วยความเจ็บปวดยามเธอไม่รู้สึกตัว สองมือพลันกำหากันเป็นหมัดแน่น
“พวกเราบอกแบบนี้กับตำรวจไปนี่ครับ ทางนั้นสืบได้ความบ้างไหม”
“ตำรวจไปสอบถามเทวิกาแล้ว” ภวัตตอบ “แต่เธอให้การปฏิเสธ ตำรวจเลยกำลังหาหลักฐานเพื่อจะออกหมายค้นหรือหมายเรียกอีกที”
สุขุมาลบ่น “ขั้นตอนกฎหมายอืดอาดจะตายพวกเราไม่รอหรอก ตอนนี้พี่เสริฐกับปริ้นก็คุมนักสืบของทางเราสืบหาเบาะแสด้วยอีกแรง ยัยเทวิกาไม่รอดแน่”
“จะมั่นใจได้ขนาดนั้นเลยหรือครับ” เจคแย้งเสียงเรียบ “รายนั้นก่อกวนเรามาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง เคยหาหลักฐานแน่ชัดสาวถึงตัวเธอเจอบ้างไหม”
คำโต้ตอบจากพื้นฐานความจริงทำเอาสุขมาลปิดปากเงียบ ภวัตจึงชี้แจงบ้าง
“อย่าเพิ่งถอดใจสิ ตำรวจเองก็พยายามกันอยู่นะ ตอนนี้เน้นไปที่การไล่ดูกล้องวงจรปิด ตามรอยมอเตอร์ไซค์ที่มือปืนใช้หลบหนี”
ปวินท์เปิดประตูเข้ามาในจังหวะนั้นพอดี จึงได้ยินท้ายประโยคของภวัตเต็มสองหู เขาแค่นยิ้ม
“เชื่อน้ำยาตำรวจได้ที่ไหน ล่าสุดมิดเมี้ยนแจ้งว่าร่องรอยมอเตอร์ไซค์คันนั้นหายกลางทาง เพราะกล้องวงจรปิดบนสี่แยกถัดไปเกิดเสียพอดี”
สุขุมาลเบิกตาโพลง “จริงหรือปริ้น”
ประเสริฐเดินหน้าเซียวตามหลังลูกชายเข้ามา จึงเป็นฝ่ายตอบ “ก็ตามที่เจ้าปริ้นพูดนั่นแหละ ขนาดพวกเราเองยังหาเบาะแสทางเทวิกาไม่เจอสักอย่าง ครั้งนี้เธอกลบร่องรอยมิดจริงๆ”
เจคยกขาไขว่ห้าง “ผมไม่สนใจแล้วครับว่าจะเจอหลักฐานทางเทวิกาไหม”
ภวัตขมวดคิ้วทันที “คุณกำลังจะบอกอะไรน่ะเจค”
“จะมัวแต่สืบหาหลักฐานที่ไม่รู้ว่ามีไหม แล้วยังต้องเสียเวลาต่อสู้กันในชั้นศาลอีกน่ะเหรอ ผมไม่เอาแล้ว ไม่สู้จัดการเทวิกาไปทีเดียวให้จบๆ”
ภวัตอ้าปากจะค้านแต่ครั้นเผชิญสีหน้าเย็นเยียบของเขา สันหลังก็พลันหนาวเยือก เปลี่ยนใจนิ่งฟังอีกฝ่ายพูดต่อ
“เราติดต่อพี่ชายของเทวิกาเถอะครับ เขาเป็นคนคุมบริษัทอยู่นี่ ต่อรองกับเขาว่าบุหรงกาญจน์พร้อมกลับไปร่วมมือด้วย แต่เขาต้องแสดงให้เราเห็นว่าสามารถคุมเทวิกาอยู่หมัด ทำให้เธอหมดสิทธิ์ระรานใครได้อีก!”
ประเสริฐชะงัก เพราะมองอีกฝ่ายเป็นแค่ไก่อ่อนมาตลอด ความรู้สึกต่อต้านจึงเด้งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ สิ่งที่เจคเสนอนับเป็นเรื่องใหญ่จะตัดสินใจเอาเองโดยพลการได้อย่างไร เขาเตรียมค้านเสียงหนักจังหวะเดียวกับที่เจคหันมาพอดี ประเสริฐสบสายตาเย็นชานั้นเข้าถึงกับสะอึก ชายหนุ่มยังเหลือคราบไก่อ่อนที่ไหนกัน ความกดดันซึ่งแผ่ซ่านจากตัวเขาคือความรู้สึกของคนที่เคยชินกับอำนาจ…และรู้จักการใช้มันอย่างเชี่ยวชาญ!
ที่ผ่านมาเจคมักเอาแต่หลบอยู่หลังวิมลิน ซ่อนตัวตนไว้แนบเนียนถึงเพียงนี้…
สัญชาตญาณเตือนให้ประเสริฐรู้จักถอย แต่ฝั่งลูกชายของเขายังไม่ทันสำเหนียก ปวินท์จึงโพล่งว่า “บ้าเลือดเกินไปไหม ถ้าเราพยายามข่มขู่ พวกเขาอาจแอบเก็บหลักฐานไว้แล้วฟ้องเรากลับได้นะ”
แววตาเจคพลันส่องประกายคมกริบ ถ้าวิมลินไม่คิดจะทำ…เขาก็พร้อมให้มือเปื้อนแทนเธอเอง!
“ผมไม่ได้ข่มขู่ครับ แค่เจรจาอยากร่วมงานด้วยแต่ติดที่ไม่สะดวกใจทำงานกับเทวิกา ให้ทางนั้นพิจารณาเอาเองจะทำอย่างไร ถ้าพวกเขาต้องการหวนมาร่วมงานกับเราจริงๆ ก็ควรแสดงความจริงใจให้เห็นก่อน ส่วนทางผมจะรอ…รอจนเขาทำถึงจุดที่ผมพอใจได้ บุหรงกาญจน์ก็พร้อมเซ็นสัญญาเสมอ”
ปวินท์ไม่ใช่ขี้ไก่ แค่ลองคิดนิดเดียวก็กระจ่างทันที ทางพี่ชายของเทวิกาอยากร่วมงานกับพวกเขาจนตัวสั่นย่อมยอมตามโดยไร้ข้อแม้ แต่เจคโยนให้คิดหาวิธีเองแล้วทางนั้นจะทำอย่างไรล่ะ น่าจะเริ่มด้วยการปลดเทวิกาออกจากตำแหน่ง ถ้าเจคยังเฉยก็ลงมือรุนแรงขึ้น อาจยึดหุ้นเธอคืนหรือส่งไปอยู่เมืองนอกเงียบๆ ตัดอนาคตในวงการไปตลอดกาล
ความร้ายกาจของแผนการนี้ก็คือ หากทางนั้นเริ่มต้นลงมือไปแล้วจะหยุดไม่ได้ มีแต่ต้องใช้วิธีร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าเจคจะพอใจ นั่นเพราะถ้าเริ่มทำอะไรสักอย่างเท่ากับแตกหักกับเทวิกาไปแล้ว หากถอยหลังพวกเขาจะยิ่งไม่ได้อะไรเลย จำเป็นต้องเดินหน้าให้ถึงที่สุด!
เจคอาศัยมือคนใกล้ชิดของเทวิกามาจัดการเธอเอง ส่วนเขาแค่นั่งมองจากหอคอยงาช้าง!
ผู้ชายคนนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน ก้ามข้ามจากคนผู้ไม่รู้อะไรในวงการธุรกิจจนมาถึงระดับนี้ ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็เพราะเขาฉายแววอย่างกะทันหันมาก ราวกับลูกงูลอกคราบกลายเป็นอสรพิษในพริบตา และสิ่งที่กระตุ้นเจคนั้น…คือหญิงสาวผู้นอนเจ็บในห้องฝั่งตรงข้ามนี่เอง
เสียงโทรศัพท์ดังกังวาน เจครับสายแล้วตอบรับว่า “ได้สิ รอสักครู่นะครับ” เขาวางสายพลางรายงานคนในห้อง “มีคนมาเยี่ยมอิงครับ”
“แต่เราสั่งห้ามเยี่ยมนะ เพื่อความปลอดภัยด้วย” สุขุมาลแย้ง
“ผมทราบครับ เลยจะขอตัวไปรับแขกนอกห้องสักครู่” เขาลุกขึ้นแต่ก่อนจะก้าวถึงประตูก็เอ่ยลอยๆ “ระหว่างนี้งานของอิงผมรับผิดชอบเองนะครับ อยากให้เธอพักผ่อนเต็มที่ ส่วนการประชุมกรรมการบริษัทสัปดาห์หน้าให้เลื่อนไปก่อนจนกว่าเราจะพร้อม”
มันเป็นแค่การแจ้งให้ทราบ เขาจึงไม่รอคำตอบรับแต่เดินออกจากห้องไปทันที
หน้าห้องพัก VIP ของโรงพยาบาล บอดี้การ์ดเฝ้าประจำทางเข้าออกอยู่สองคน เป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยแก่วิมลินโดยเฉพาะ ไม่ไกลจากตำแหน่งที่บอดี้การ์ดยืนทำหน้าที่ พริมกำลังถือดอกไม้ช่อโตคอยอยู่ พลางส่งยิ้มเมื่อเจอเจค
“ขออภัยด้วยนะคะพริมไม่ทราบว่าห้ามเยี่ยม แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว” ยื่นช่อดอกไม้สีสันสดใสให้ชายหนุ่ม “พริมเลือกแต่ดอกที่ไม่มีกลิ่นจะได้ไม่รบกวนคนเจ็บค่ะ”
“ขอบคุณนะครับ พริมใส่ใจเสมอเลย” รับของส่งต่อให้บอดี้การ์ดไปเก็บในห้อง
“แล้วอาการของคุณอิงเป็นยังไงบ้างคะ”
ภาพหญิงสาวนอนขดตัวบนเตียงพยาบาล นิ่วหน้าเจ็บปวดแม้ตอนที่แทบไม่รู้สึกตัว จุดประกายลุกโชนในดวงตาเขา
“เธอยังไหวครับไม่นานก็หาย” ฝืนยิ้มขึ้นมา “ขอโทษจริงๆ ที่ต้องเสียเวลา ผมขอเดินไปส่งนะครับ”
อีกฝ่ายรีบปฏิเสธแต่แพ้ความดึงดันของชายหนุ่มเช่นเคย “เถอะครับ อยากเลี้ยงกาแฟพริมด้วย”
เธอหัวเราะ “ถ้าเจอคุณเจคบ่อยๆ พริมคงติดกาแฟแน่เลยค่ะ”
พวกเขาคุยกันเรื่องอาการวิมลิน พริมถอนใจโล่งอกเมื่อทราบว่าปลอดภัย
“คุณพระคุ้มครอง คิดถึงเหตุการณ์คืนก่อนทีไรพริมยังใจสั่นอยู่เลย”
“ถ้าไม่ได้พริมคงแย่แน่ครับ ต้องขอบคุณอีกครั้ง”
ตอนเกิดเหตุเขาแทบสติหลุด ยังดีเลขาฯ มูลนิธิควบคุมสถานการณ์เก่ง เธอจัดแจงโทร.สั่งพยาบาลที่ดูแลอาม่าใหญ่ให้นำคนป่วยไปโรงพยาบาลก่อน จากนั้นขับรถพาเจคไปโรงพยาบาลที่วิมลินถูกส่งตัวไป ทิ้งเขากับรถไว้ที่นั่นเพื่อรอญาติซึ่งกำลังตามมาสมทบ ตัวเองจ้างแท็กซี่ไปดูแลอาม่าใหญ่ที่โรงพยาบาลอีกแห่ง ชายหนุ่มจึงไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ใช้เวลากับวิมลินได้เต็มที่
“คุณท่านปลอดภัยดีค่ะ” พริมตอบคำถามเจค “หมอบอกว่าเพราะคุณท่านอ่อนแอเลยอาจมีอาการแทรกซ้อนได้ทุกเมื่อ ยังไงควรอยู่โรงพยาบาลสักพักเพื่อตรวจร่างกายซ้ำ”
บนโต๊ะระหว่างพวกเขาวางด้วยเครื่องดื่มควันกรุ่นในแก้วกระดาษ ของเจคเป็นกาแฟเอสเพรสโซดับเบิลช็อต เข้มข้นชนิดทำตาค้างได้ทั้งคืนแต่กลับไม่อาจขับไล่ความเหน็ดเหนื่อยบนใบหน้าเขา พริมส่งสายตาห่วงใยมาให้ เผลอหลุดปากเบาๆ
“พักผ่อนบ้างนะคะ ต้องดูแลคุณอิงแล้วยังคอยสู้กับข่าวลืออีก คงล้าน่าดู”
“หือ ข่าวลืออะไรครับ”
อีกฝ่ายยกมือปิดปาก “ตายจริง คุณเจคยังไม่ทราบหรือคะ เอ้อ…”
หลังโดนคาดคั้นพริมจึงจำยอมเปิดคลิปวิดีโอให้ชม ดูเหมือนหลังตำรวจไปสอบถามเทวิกาเรื่องที่วิมลินถูกยิง ฝ่ายนั้นก็ตั้งโต๊ะแถลงข่าวทันที ทั้งยังใจดีอัดคลิปเผยแพร่ไปทุกช่องทางที่ทำได้
“ดิฉันไม่มีความเกี่ยวข้องกับกรณีที่คุณวิมลิน หัวหน้าฝ่ายการตลาดของบริษัทบุหรงกาญจน์ถูกลอบยิงค่ะ” เทวิกาประกาศกร้าว ในคลิปเธอแต่งหน้าเข้มจัด บุคลิกความสง่างามยังอยู่ครบจึงช่วยเสริมน้ำหนักถ้อยคำ
นักข่าวสอบถามว่า “แต่ทางตำรวจสงสัยเพราะพวกคุณมีความบาดหมางกันอยู่นี่คะ”
“วงการธุรกิจเดี๋ยวก็มิตรเดี๋ยวก็ศัตรูเอาแน่ไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าฉันคิดจะลงมือกับคู่ขัดแย้งทุกคน อาจเหลือคนไม่ถึงครึ่งเมืองละมั้งคะ”
เจคเหยียดยิ้ม ความสามารถในการเลี่ยงบาลีนี่…เทวิกาเป็นหนึ่งไม่มีสอง
“และฉันไม่เข้าใจทำไมถึงมุ่งเป้ามาที่ฉันคนเดียว” ในคลิป เทวิกายังกล่าวฉะฉาน “ทางผู้บาดเจ็บก็เคยมีข่าวลือไม่เหมาะสม เหตุการณ์ครั้งนี้อาจเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวมากกว่าด้านธุรกิจอีกนะคะ”
วิดีโอจบลงแค่ตรงนี้ พริมถอนใจเฮือก “คลิปแถลงเพิ่งเผยแพร่เมื่อเที่ยง ตกบ่ายข่าวลือของคุณเจคคุณอิงดันกลับมามีกระแสอีกแล้ว”
ชายหนุ่มขบกรามจนขึ้นเป็นสัน ครั้งก่อนข่าวลือเงียบหายเร็วส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาไม่ใช่คนมีชื่อเสียงในสังคมวงกว้าง แต่เวลานี้คนกำลังให้ความสนใจคดีที่วิมลินถูกลอบยิง แล้วพอเสริมด้วยเรื่อง ‘คาวๆ’ ยิ่งร่ำลือสนุกปาก การกลบข่าวคงไม่ง่ายเหมือนเดิมแล้ว เทวิกาช่างรู้จักเล่นกับกระแสเหลือเกิน
“คุณเจคไหวไหมคะ” พริมโน้มหน้าเข้ามาถาม แววตาแฝงด้วยความกังวลเต็มเปี่ยม “ทางนั้นเล่นแรงกัดไม่ปล่อยเลย”
เขาฉีกยิ้มให้ “ไม่ต้องห่วงครับ” ก็แค่เพิ่มอีกหนึ่งเหตุผลเข้าไปเวลาเอาคืนเทวิกาเท่านั้น “แต่ผมต้องขึ้นไปคุยเรื่องนี้กับทุกคน คงไม่มีเวลาไปส่งพริมที่รถ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวรีบปฏิเสธ “พริมสิมากวนคุณนานแล้ว ขอตัวเลยนะคะ”
ร้านกาแฟภายในโรงพยาบาลที่พวกเขานั่ง อยู่ไม่ไกลจากประตูทางเข้าออกนัก ชายหนุ่มจึงเพียงยืนขึ้น มองส่งจนกระทั่งเธอลับกายจากประตูโรงพยาบาล มือกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วปูดโปน
ใครที่กล้าทำร้ายคนที่เขาห่วงใย อย่าหวังว่าจะสามารถลอยชายไปง่ายๆ แน่!
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 15 : สิ่งที่ซ่อนไว้ในความลับ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 15 : สิ่งที่ซ่อนไว้ในความลับ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 13 : เหตุพลิกผัน (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 13 : เหตุพลิกผัน (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 12 : เปิดใจ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 12 : เปิดใจ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (4)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (1)