หน้ากากมยุเรศ บทที่ 15 : สิ่งที่ซ่อนไว้ในความลับ (1)
โดย : สิตา
หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co
พริมเป็นพี่สาวเจค!
คำพูดนั้นพุ่งเข้ากระแทกวิมลินจนผวาเฮือก แล้วสมองเธอก็รีบปรับข้อมูลใหม่ทันที ในเมื่อเจคสลับตัวกับพี่แคน แสดงว่าพี่แคนต่างหากที่เป็นน้องชายพริม หรือจะบอกว่าพี่แคนไม่ใช่ลูกของพ่ออย่างนั้นใช่ไหม หญิงสาวพานสับสนยิ่งกว่าเดิม
เธอชำเลืองมองชายหนุ่ม เขาก็กำลังจ้องมาที่เธอเช่นกัน สองบ่าตึงเขม็งในท่าเตรียมพร้อม แต่กลับไร้ซึ่งอาการตื่นตระหนกต่อความจริงที่พริมพยายามยัดใส่หน้า แววตาปราศจากความผูกพันใดทั้งสิ้น แน่ละ…ก็เขาไม่ใช่น้องชายอย่างที่เลขาฯ มูลนิธิเข้าใจผิดเสียหน่อย
วิมลินกัดริมฝีปาก ตั้งใจเก็บความลับไว้สุดชีวิต เพราะถ้าพริมทราบเข้าเธอกับเจคคงไม่มีวันรอดจากดาดฟ้าแห่งนี้ หญิงสาวรีบขยิบตาให้ชายหนุ่ม เขารับรู้แทบทันทีจึงยังคงชี้นิ้วใส่หน้าพริม เอ่ยเสียงแข็ง
“คุณโกหก! ผมเป็นลูกพ่อโกศล เป็นทายาทคนต่อไปของบุหรงกาญจน์”
เลขาฯ มูลนิธิเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยว “ฉันเองก็อยากให้เธอขึ้นเป็นประธานบุหรงกาญจน์ ถึงไม่ยอมเปิดเผยตัวตนยังไงล่ะ นายโกศลทำพ่อพวกเราตาย มีแต่ส่งเธอขึ้นแทนที่เขาส่วนฉันแอบข้างหลังดูคนอื่นก้มหัวให้ลูกชายพ่อ นั่นแหละถึงเป็นการแก้แค้นอย่างสาสม!”
วิมลินหนาวเยือก แผนการช่างแยบยลมาก โชคดีที่มันไม่มีวันสำเร็จ
พริมยังคงพล่ามต่อ “ฉันจึงแฝงตัวเพื่อใกล้ชิดนายโกศลผ่านทางมูลนิธิ หวังหาทางเกลี้ยกล่อมเขาพาเธอกลับมา แต่คนคนนั้น…” หญิงสาวแสยะยิ้ม “ความเลือดเย็นของเขาคงไม่ต้องอธิบายหรอกใช่ไหม ขนาดตอนนั้นเขายังคิดว่าเธอเป็นลูกในไส้นะ ถามสักคำเถอะเจค เธอพร้อมนับถือโกศลเป็นพ่ออย่างเต็มใจจริงๆ หรือ”
เจคกัดริมฝีปาก พยายามดึงเธอให้พูดเพื่อถ่วงเวลา “ถึงจะกล่อมใครก็ไม่สำเร็จ แต่คนอย่างคุณคงไม่งอมืองอเท้าหรอกมั้ง”
“แน่นอน ฉันสืบรู้ว่าคุณอิงก็เคยพยายามขอให้คุณโกศลรับเธอกลับมาเหมือนกัน เลยคิดจะเข้าทางเธอดู แต่ยังไม่ทันไรคุณโกศลดันหัวใจวายตายเสียก่อน เล่นเอาฉันจิตตกเลย เพราะใครๆ ต่างรู้ดีคุณอิงรักพ่อแค่ไหน บางทีเธออาจยอมแพ้เรื่องพี่ชายเพื่อไม่ฝืนความประสงค์ของพ่อที่เสียไปแล้ว อีกอย่างคุณประเสริฐยังพยายามเอาหุ้นมาล่อให้เธอช่วยดันเขาเป็นประธาน ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เธอจะยอมเสียผลประโยชน์เพื่อพี่ชายที่หายหน้าไปเป็นปีๆ”
เจคเข้าใจ ถ้าพิจารณาจากมุมมองคนนอกก็นับว่าสมเหตุสมผล ถึงกระนั้นพริมอาจนึกเสียใจถ้าได้รู้ความจริง เธอไม่จำเป็นต้องเปลืองสมองอะไรเลย เพราะวิมลินก็มีเป้าหมายเดียวกับเธออยู่แล้ว!
ในระหว่างนั้น วิมลินพยายามกดหัวใจที่สั่นระรัวด้วยความหวาดกลัว ฝืนตั้งถามคนที่กำลังเอาปืนจ่อตัวเองอยู่ “คุณรู้เรื่องลุงเสริฐเอาหุ้นมาต่อรองกับฉันได้ยังไง มันเป็นการประชุมลับภายในครอบครัวเท่านั้น หรือมีญาติฉันคนไหนเอามาบอกคุณ”
ชายหนุ่มพลันขมวดคิ้ว วิมลินกำลังจะบอกว่าในบรรดาญาติที่เขารู้จัก มีคนทรยศอยู่ด้วย!
พริมสังเกตท่าทางอยากรู้ของพวกเขาแล้วก็ยักไหล่ “เธอเดาถูก ฉันแอบคบกับคุณปริ้นอยู่”
ที่แท้ก็เป็นปวินท์!
“อย่าคิดอะไรไปไกลนักสิ” เลขาฯ มูลนิธิพูดใส่หน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงปนขุ่นเคือง “คุณปริ้นไม่ได้ทรยศอะไรพวกเธอนะ แค่ชอบเอาเรื่องนู้นเรื่องนี้มาคุยตอนอยู่บนเตียงด้วยกัน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำฉันจะใช้ประโยชน์จากมันยังไง ส่วนฉันก็คอยกรอกไอเดียจูงจมูกเขาตามที่ต้องการ เช่นแนะนำให้เขาไปบอกพ่อเรื่องการแอบขายที่ดินที่จะยกให้มูลนิธิ”
เหมือนมีคนขว้างระเบิดใส่กลางวง เจคอ้าปากค้าง “ต้นคิดเรื่องการขายที่ดินมาจากคุณหรอกหรือ แล้วก็แกล้งทำเป็นหนุนอิงขัดขวางการซื้อขายอีกที”
“ช่วยไม่ได้ ฉันต้องหาแรงจูงใจให้คุณอิงยอมตามตัวพี่ชายกลับมา มูลนิธิเป็นภารกิจคั่งค้างอันเดียวที่คุณโกศลยังทำไม่สำเร็จ ยังไงคุณอิงก็ไม่มีทางทิ้งมัน และจะระงับการซื้อขายที่ดินลงได้ คุณอิงจำเป็นต้องหาฝ่ายตรงข้ามกับคุณประเสริฐและคุณปริ้นมาช่วย”
ถ้าไม่ใช่เพราะชีวิตกำลังแขวนบนเส้นด้าย วิมลินก็อยากปรบมือให้ผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน ความเจ้าแผนการของพริมไม่เป็นสองรองใคร
“แล้วเธอก็กลับมาจนได้” เลขาฯ มูลนิธิมองชายหนุ่มด้วยแววตาอ่อนโยน แต่มันไม่เหมือนพริมสมัยก่อนเลย เพราะในความอ่อนโยนนั้นแฝงเร้นด้วยความบ้าคลั่ง “เธอไม่มีวันรู้หรอกเจค ตอนเจอเธอครั้งแรกฉันอยากวิ่งเข้าไปกอดเธอมากแค่ไหน กอดแล้วประกาศให้รู้ฉันคือพี่สาวที่รอคอยเธอมาตลอด ฉันอยากพบเธอให้บ่อยที่สุดถึงพยายามชวนให้มาเยี่ยมอาม่าที่บ้านหลังนี้ พยายามอ้างเหตุผลเพื่อแวะไปแอบดูเธอที่บริษัทบ่อยๆ พอเห็นเธอก้าวหน้าขึ้นทุกวันฉันดีใจแทบคลั่ง แต่แล้ววันหนึ่งคุณปริ้นก็มาเล่าให้ฟัง บอกว่าคุณลูกปลาสงสัยพวกเธอสองคนแอบคบกัน!”
เจคกลืนน้ำลาย เตือนตัวเองว่าห้ามหลุดอะไรที่อาจเป็นการกระตุ้นเธอโดยเด็ดขาด
พริมยังคงพล่ามต่อไม่หยุด “คุณปริ้นมองมันเป็นเรื่องตลกแต่ใจฉันแทบไหม้ อีกนิดเดียวเธอก็จะขึ้นเป็นประธานแล้ว ไม่ควรมีข่าวเสียหายในช่วงเวลาแบบนี้เลย ตอนนั้นฉันจึงเริ่มคิดกำจัดคุณอิงให้พ้นทาง ที่ไหนได้เธอกลับมาปรึกษาฉันเรื่องความสัมพันธ์ ฉันมองตาก็รู้ว่าเธอชอบผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ไม่ได้ดูอึดอัดแบบคนที่รู้สึกผิดกับความสัมพันธ์ต้องห้ามสักนิด ยังนึกโล่งใจที่เธอไม่คิดอะไรกับคุณอิงเหมือนที่คุณลูกปลาคาดเดาไปเอง เลยตัดสินใจชะลอเรื่องกำจัดคุณอิงไปก่อน แต่ดันเกิดข่าวลือของพวกเธอขึ้นจนได้ ถ้ามันลุกลามบานปลายคุณประเสริฐอาจใช้เป็นข้ออ้างขัดขวางการขึ้นเป็นประธานของเธอ ฉันจึงคิดตกในวินาทีนั้นเอง ไม่ว่าพวกเธอจะมีความสัมพันธ์กันจริงไหมแต่อิงก็คือจุดอ่อนของเธอ ดังนั้นนะอิง…เธอมันสมควรตาย!”
พูดจบก็ขยี้ปากกระบอกปืนกับขมับเชลยด้วยท่าทางสะใจ วิมลินเหงื่อซึมเต็มหน้าผาก ร้องครางอย่างเจ็บปวด เจคตะโกนห้ามเสียงสั่น “หยุดนะ หยุดเถอะ”
เลขาฯ มูลนิธิจึงยอมรามือ ชายหนุ่มพยายามชวนคุยต่อเพราะกลัวเธอจะทรมานวิมลินอีก “คุณเลยวางแผนแยกผมออกจากอิงแล้วล่อเธอไปที่ที่คุณสั่งมือปืนดักรอ คุณชำนาญถนนเส้นนั้นถึงรู้ว่าตรงไหนมีหรือไม่มีกล้องวงจรปิดบ้าง”
“ใช่ รถมูลนิธิเคยถูกชนตรงที่เดียวกันฉันถึงรู้ว่าจุดนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด หลังนัดแนะมือปืนเสร็จก็ไปตะล่อมคุณปริ้น เขาหลงกลเสนอให้เธอควงฉันไปงานเลี้ยง คุณปริ้นนึกว่าตัวเองจะได้หน้า แต่ที่จริงแล้วฉันต่างหากได้อยู่ใกล้ชิดน้องชาย แถมยังกันตัวเองออกจากที่เกิดเหตุแบบง่ายๆ”
แค่คิดว่าตอนที่เจอรถวิมลิน พริมแกล้งแสดงละครต่อหน้าเขาทั้งที่ตัวเองเป็นคนบงการ และยังเหี้ยมพอจะลงมือวางยาหญิงชราอย่างอาม่า ชายหนุ่มก็เนื้อตัวเย็นเฉียบ
เจคเผลอยกมือแตะซองจดหมายยับยู่ที่พับเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง เขาเพิ่งได้มันมาพร้อมข้อมูลของพริมจากนักสืบ เป็นไม้ตายสุดท้ายที่ชายหนุ่มสาบานจะไม่ขอหยิบมาใช้ เพราะสิ่งแลกเปลี่ยนมันสาหัสจนไม่มีวันยอมรับได้ เจคเตือนตัวเองอย่าลนลานตั้งสติไว้ เลขาฯ มูลนิธิเชื่อว่าเขาคือน้องชายเธอจึงค่อนข้างโอนอ่อนให้มาก ขอแค่เขาเกลี้ยกล่อมพริมสำเร็จ ทุกอย่างก็จะจบโดยที่ความลับยังคงเป็นความลับไปตลอดกาล
เลขาฯ มูลนิธิเหลือบมองสีหน้าเจ็บปวดของเชลย จุปากเบาๆ “เธอก็ยังอุตส่าห์โชคดีรอดตายมาได้ และข่าวลอบยิงยังช่วยกลบกระแสข่าวลือแย่ๆ ส่วนเรื่องคดีเทวิกาก็กลายเป็นผู้ต้องสงสัย ฉันจึงคิดจะปล่อยเธอไว้สักพัก ที่ไหนได้เทวิกาดันสร้างกระแสข่าวลือขึ้นมาใหม่ ฉันรีบไปหาเจคที่โรงพยาบาลโดยอ้างมาเยี่ยมเธอ แต่พอเห็นแววตาเขาตอนพูดถึงเธอฉันก็รู้เลย นั่นมันเป็นข่าวลือเสียที่ไหน เจครักเธอจริงๆ!”
วงแขนที่รัดรอบคอกดแน่นจนวิมลินนิ่วหน้า เธอทุบท่อนแขนอีกฝ่ายเพื่อขอให้ช่วยคลายแรงแต่พริมกลับหัวเราะเสียงขื่น
“พี่น้องรักกัน…มันกลายเป็นเรื่องบ้าๆ แบบนี้ได้ยังไง ถ้าก่อนหน้าฉันคิดแค่ว่าเธอสมควรตาย ตอนนั้นแหละที่ฉันมั่นใจสุดๆ ว่าเธอจำเป็นต้องตาย!” ดวงตาพริมผุดเส้นเลือดแดงก่ำราวคนบ้า นิ้วซึ่งทาบไกปืนเริ่มกระตุกไปมาน่าหวาดเสียว “ต่อให้ฉันต้องพินาศย่อยยับก็จะลากเธอลงนรกไปด้วย เพราะเธอจะทำลายอนาคตเจค”
“พี่พริม!” เจคเสี่ยงเปลี่ยนสรรพนามเรียกหาอีกฝ่ายเพื่อเตือนสติ และได้ผล เลขาฯ มูลนิธิหยุดอาละวาดทันที หันมองเขาด้วยแววตาลิงโลดที่ดูผิดปกติแปลกๆ
“ยอมเรียกฉันว่าพี่แล้วหรือ”
ชายหนุ่มกัดลิ้นไม่ให้เผลอถอนใจโล่งอกต่อหน้าเธอ “พี่เข้าใจอิงผิดแล้ว เธอคอยช่วยผมเรื่องงานมาตลอด ผมไม่มีทางก้าวหน้าขึ้นมาขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ หากเราสามคนร่วมมือกัน บุหรงกาญจน์ก็แค่ลูกไก่ในกำมือ พี่เชื่อผมไหม”
ขอบตาพริมแดงขึ้นทุกครั้งที่ได้ยินเจคเรียกพี่ “ทำไมพี่จะไม่เชื่อเธอล่ะ คิดว่าพี่พล่ามแผนการยืดยาวเพื่อจะอวดหรือไง พี่แค่อยากแสดงให้เห็นว่าพี่ไม่เคยมีความลับกับเธอ เพราะเราเป็นพี่น้องกัน”
“ใช่ๆๆ เราเป็นพี่น้องกัน” ชายหนุ่มสบตาเลขาฯ มูลนิธิ ยื่นมือไปข้างหน้าพลางเริ่มเดินช้าๆ “จากนี้เราสองพี่น้องจะช่วยกัน เพราะงั้นพี่ส่งปืนให้ผมเถอะนะ…ดีไหม”
พริมแลบลิ้นเลียริมฝีปาก มือถือปืนขยับเข้าออกด้วยอาการลังเล ชายหนุ่มจ้องอาวุธร้ายตาเขม็ง กลั้นหายใจทุกครั้งที่กระบอกปืนเบี่ยงใกล้ใบหน้าวิมลิน จนจังหวะหนึ่งพริมกดปากกระบอกปืนไปที่ขมับเหยื่ออีกครั้ง นิ้วในโกร่งไกตึงเขม็ง ชายหนุ่มก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขากระโจนเข้าแย่งปืนจากมือพริมทันที ทั้งสองกอดรัดฟัดเหวี่ยงจนวิมลินกระเด็นไปอีกทาง หัวไหล่ซึ่งบอบช้ำจากการถูกปืนฟาดกระแทกพื้นเต็มแรง หญิงสาวเจ็บจนน้ำตาไหล
เปรี้ยง!
เสียงปืนดังก้องพร้อมร่างเจคทรุดฮวบลง แถวชายโครงมีเลือดซึมเปื้อนเสื้อแล้วค่อยๆ แผ่ขยายเป็นวงกว้าง วิมลินตกใจตัวแข็งทื่อส่วนพริมร้องกรี๊ด ปืนหลุดมือตกพื้นแต่เธอไม่สนใจ รีบคุกเข่ากดห้ามเลือดให้น้องชาย
“เจคอย่าเป็นอะไรนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจยิงเธอแต่ปืนลั่น”
แรงช็อกทำให้ชายหนุ่มไม่รู้สึกเจ็บ แต่ร่างกายตึงๆ หนักๆ ขยับแทบไม่ได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพยายามโงหัวขึ้นดูว่าวิมลินเป็นอะไรไหม พริมเห็นแล้วจึงรู้สึกตัว เมื่อครู่เจคหลอกเธอเพื่อจะช่วยวิมลิน!
หญิงสาวโกรธจนตัวสั่น คว้าปืนแล้ววิ่งไปหาวิมลินทันที “พี่จะฆ่ามันก่อนแล้วค่อยพาเธอไปรักษา!”
เหตุการณ์เกิดในเสี้ยววินาทีแต่ชายหนุ่มกลับเห็นเป็นภาพสโลโมชัน พริมยืนจังก้าเหนือร่างอ่อนระโหยของวิมลิน สีหน้ากระเหี้ยนกระหือรือยามเล็งปืนที่หน้าอกเหยื่อ พริบตาก่อนเธอเหนี่ยวไกเจคก็สติแตก ตะโกนลั่น
“อย่านะ! คุณกำลังจะฆ่าน้องสาวตัวเอง!”
วินาทีที่เจคหลุดปากออกมา พริมพลันชะงักไปจังหวะหนึ่งจึงไม่ทันยิง ส่วนวิมลินเหมือนโดนสายฟ้าฟาดใส่จนชาไปทั้งร่าง เธอมองผ่านม่านน้ำตาไปยังพี่ชายกำมะลอ ความคิดแรกคือเขากำลังล้อเล่นอะไรกัน!
หญิงสาวอยากเถียงแต่ความเจ็บทำเอาสมองมึนงงไปหมด พริมที่ยังเอาปืนเล็งเธออยู่จึงเป็นฝ่ายตวาดขึ้นแทน
“พูดจาเหลวไหลแล้วเจค คุณต่างหากน้องชายฉันเกี่ยวอะไรกับอิง”
ทุกองคาพยพบนใบหน้าชายหนุ่มซีดเผือดเหมือนคนตาย มีเพียงแววตาตื่นตระหนกหลังรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป เขากัดฟันกรอดจนกรามแทบหัก ไม่ยอมตอบคำถามพริมที่ตะโกนซ้ำอีกหลายรอบ นั่นกลับยิ่งเพิ่มน้ำหนักในคำพูดเขาจนเลขาฯ มูลนิธิเริ่มกังวล แล้วความกังวลก็แปรเป็นความโกรธ เธอกระชากผมวิมลินขึ้น กดปืนใส่ด้านบนหัว
“บอกมา! ไม่งั้นฉันยิง!”
“อย่านะ…อย่าทำเธอ”
วิมลินครางอย่างเจ็บปวด เจคพยายามขยับจะลุกไปช่วย โชคร้ายแผลพลันเริ่มสำแดงฤทธิ์ ความเจ็บปวดปนแสบร้อนปะทุจนเหงื่อแตกพลั่ก แต่มันยังทรมานไม่ถึงเสี้ยวของความรู้สึกเขาในตอนนี้ เรี่ยวแรงเหือดหายราวถูกสูบจนต้องนอนแผ่อีกครั้ง ทำได้แค่โงหัวขึ้นมา พริมจึงตะโกนใส่อีกรอบ
“รีบพูดสิ เธอโกหกใช่ไหม อิงจะเป็นน้องสาวฉันได้ยังไง”
ถ้าขืนปดว่าวิมลินไม่เกี่ยวข้องกับเธอ พริมคงเหนี่ยวไกทันที ความขัดแย้งในใจบีบชายหนุ่มจนหน้าบิดเบี้ยว เจคละอายต้องหลบตาวิมลินที่เอาแต่จ้องหน้าเขา ล้วงจดหมายจากกระเป๋ากางเกงโยนไปอีกทาง
“เปิดดูเองสิ นั่นเป็นผลตรวจดีเอ็นเอของคุณกับอิงแสดงว่าเป็นพี่น้องคนละแม่กัน”
วิมลินมองตามซองกระดาษราวกับมองอสรพิษซึ่งพร้อมฉกใส่ได้ทุกเมื่อ แต่ด้านพริมกลับยังไม่เชื่อง่ายๆ “คุณเก็บดีเอ็นเอฉันไปตอนไหน”
“จำครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันได้ไหม พอคุณไปผมก็เก็บแก้วกาแฟคุณไปใช้แทนตัวอย่างดีเอ็นเอ ส่วนตัวอย่างจากอิงยิ่งง่ายเพราะเธออยู่กับผม” เจคหลับตาลง ไม่ยอมบอกต่อว่าตอนนั้นเขากลัว จึงเก็บตัวอย่างไว้ไม่กล้าส่งไปตรวจเสียที กระทั่งตัดใจสำเร็จเมื่อไม่กี่วันก่อน และด้วยห่วงความจะแตกเลยสั่งให้ส่งจดหมายไปที่สำนักงานนักสืบแทนที่บ้านหรือบริษัท เขาถึงเพิ่งทราบผลเมื่อเช้า
เลขาฯ มูลนิธิส่งเสียงเชอะ รู้ดีเจคจงใจโยนจดหมายไปเสียไกลเพื่อให้เธอออกห่างจากวิมลิน แต่สภาพพวกเขาตอนนี้แค่จะลุกนั่งยังยาก คิดหนีคงเหมือนไต่ขึ้นสวรรค์ จึงยอมปล่อยมือจากเชลย เดินไปหยิบจดหมายคลี่อ่าน
“หลอกกันใช่ไหม” พริมเขวี้ยงกระดาษทิ้ง “ผลมันระบุเป็นผู้หญิงนิรนามสองคน แกล้งเอาใครมาตรวจก็ได้ จะหลอกฉันก็ฉลาดกว่านี้หน่อย”
เจคหัวเราะพรืดจนเจ็บแผล “ไม่เชื่อก็ตามใจ งั้นยิงผมกับอิงทิ้งที่นี่เลยสิ แล้วค่อยเก็บตัวอย่างจากศพเราไปตรวจว่าใครเป็นน้องคุณกันแน่”
เขาไม่สนเสียงกรีดร้องไม่พอใจของใครบางคน หลับตาพลางพยายามหายใจเข้าออกอย่างอ่อนล้า แล้วจู่ๆ กลับเจ็บแผลจี๊ดต้องรีบลืมตา
วิมลินคลานทุลักทุเลจากที่เดิมมากดแผลเขาไว้ด้วยแขนข้างเดียว ทั้งที่สภาพเธอเองก็แย่ไม่แพ้กัน เอ่ยถามเสียงแผ่ว “เจ็บไหมคะ แต่ต้องห้ามเลือดก่อน”
ชายหนุ่มพังทลายในพริบตานั้นเอง เขามีสิทธิ์อะไรถึงได้รับความห่วงใยขนาดนี้ ทั้งที่เอาแต่หลอกลวงเธอมาตลอด หันไปทางพริมเห็นท่าทางเกรี้ยวกราดจึงตัดสินใจได้ทันที เขายอมสารภาพทุกอย่าง ยอมเป็นตัวเลวทรามในสายตาวิมลิน ขอแค่ให้พริมรู้ความจริงว่าวิมลินเป็นน้องสาวและไม่คิดทำร้ายเธออีก
“พริม รู้ไหมทำไมผมจับไต๋คุณได้ ตอนนั้นไงล่ะ ที่คุณไปหาผมที่บ้านเพื่อเตรียมตัวไปงานเลี้ยงด้วยกัน ผมยืนดูรูปในห้องรับแขก คุณเลยเอ่ยชมแม่ผมแล้วชี้ไปที่รูปเธอ” เขาส่ายหน้าทั้งที่ยังนอนแผ่ “แต่นั่นน่ะไม่ใช่รูปแม่ผกา เป็นรูปน้าวาดแม่ของอิงต่างหาก”
วิมลินเบิกตาโพลง ส่วนเลขาฯ มูลนิธิพลันสวนกลับ “อะไรนะ นั่นไม่ใช่แม่เธอหรือ”
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 15 : สิ่งที่ซ่อนไว้ในความลับ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 15 : สิ่งที่ซ่อนไว้ในความลับ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 13 : เหตุพลิกผัน (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 13 : เหตุพลิกผัน (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 12 : เปิดใจ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 12 : เปิดใจ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (4)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (1)