เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 20 : ไม่มีโอกาสสุดท้าย

เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 20 : ไม่มีโอกาสสุดท้าย

โดย : จันทร์จร

Loading

เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

พื้นที่ของมูลนิธิเวลานี้ถูกแทนที่ด้วยทะเลสีขาวของกลุ่มผู้สนับสนุนมธุกรที่สวมเสื้ออันสื่อถึงความบริสุทธิ์ และความศรัทธาที่ไม่แปรเปลี่ยนท่ามกลางข้อกล่าวหาที่มุ่งร้ายไปยังมธุกร ประธานมูลนิธิที่พวกเขาเคารพรัก ซึ่งยิ่งนานวันก็ยิ่งมีผู้เข้ามาสมทบมากขึ้น พวกเขาชูป้ายข้อความที่เตรียมมาด้วยตัวอักษรหนาและชัดเจน

‘เราจะสู้เพื่อไม่ให้คนดีโดนรังแก’

‘ผู้บริสุทธิ์ต้องไม่ถูกใส่ร้าย’

‘ความจริงจะอยู่เหนือทุกสิ่ง’

ฝูงชนที่รวมกลุ่มกันมีทั้งคนหนุ่มสาว คนแก่ หญิงชายวัยกลางคนจากทุกสาขาอาชีพ นั่นคือความหลากหลายที่รวมกันเป็นหนึ่ง ด้วยความเชื่ออันหนักแน่นในตัวมธุกร

ในยามค่ำคืน กลุ่มผู้สนับสนุนจะถือเทียนและปล่อยให้เปลวไฟเล็กๆ ริบหรี่ท้าทายความมืดที่คืบคลานเข้ามา พร้อมกับส่งเสียงสนับสนุนประธานมูลนิธิ สร้างเสียงประสานอันทรงพลัง ทุกหนแห่งในที่ชุมนุมต่างพูดคุยกันด้วยความมุ่งมั่นที่จะปกป้องมธุกร จากข้อกล่าวหามากมายที่ถาโถมเข้ามา โดยหลายคนอาจลืมไปว่า ทุกข้อกล่าวหานั้นยังไม่มีใครสามารถเอาผิดเธอได้อย่างจริงจังสักครั้ง

เวลานี้มูลนิธิกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ซึ่งสื่อมวลชนหรือเจ้าหน้าที่ไม่อาจเข้าไปได้ นี่คือจุดศูนย์กลางของพายุแห่งความศรัทธาที่ไม่มีทีท่าจะสงบลง เกือบจะกลายเป็นเรื่องน่าขันสำหรับคนที่กำลังติดตามข่าวสาร มูลนิธิการกุศลที่กำลังจะถูกตรวจสอบ กลับกลายเป็นศูนย์รวมความศรัทธาอันบ้าคลั่งไปตั้งแต่เมื่อไร

ถึงอย่างนั้น ผู้สนับสนุนกลุ่มใหญ่ก็ดูเหมือนจะเพิกเฉยกับสิ่งที่สังคมกำลังวิจารณ์ พวกเขามัวแต่เฝ้าระวังด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า ความศรัทธาในตัวมธุกรเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงอำนาจในการโน้มน้าวใจได้เป็นอย่างดี นี่คือจุดยืนที่ชัดเจนว่าคนเหล่านี้เชื่อในความบริสุทธิ์ของมธุกรไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม แต่อาจไม่มีใครรู้เลยว่าพายุลูกใหญ่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า

เช้านี้มธุกรปรากฏตัวต่อหน้าผู้มาชุมนุมด้วยชุดขาวสะอาด อันสะท้อนถึงความบริสุทธิ์ที่ตนพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะรักษามันเอาไว้ ผมของเธอจัดทรงไว้อย่างดีไม่มีที่ติด ด้วยสีที่ดำขลับตัดกับชุดได้อย่างโดดเด่น เพิ่มรัศมีของความสง่างามและพลังความดีรอบตัว ทุกย่างก้าวเป็นไปอย่างสงบนิ่ง ล้วนเป็นการสื่อถึงข้อความที่กำลังบอกสังคมอย่างเงียบๆ

เธอยืนตระหง่านต่อหน้าทุกคนที่มาชุมนุมกันหน้ามูลนิธิ กวาดสายตามองออกไปยังผู้สนับสนุนด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวังและความเชื่อใจอันไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งทำให้มธุกรรู้สึกโล่งใจ ภายใต้ใบหน้าที่ยังคงสงบนิ่ง

“วันนี้ฉันมายืนต่อหน้าพวกคุณ เพราะข้อกล่าวหาที่ไม่ถูกต้อง โดยคนบางกลุ่มที่ต้องการใส่ร้ายฉันอย่างไม่ยุติธรรม มีคนที่อยากให้ฉันออกจากมูลนิธิ พยายามทำให้ชื่อเสียงของฉันเสื่อมเสีย ไม่ใช่เพราะความผิดที่ฉันทำ แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่ยอมรับความคิดของฉัน ความคิดที่จะทำภารกิจเพื่อโลกที่น่าอยู่ขึ้น” เธอเริ่มด้วยน้ำเสียงจริงจังและมั่นคง

คำพูดของมธุกรกลายเป็นสิ่งที่ตรงเข้าไปในจิตใจของกลุ่มผู้สนับสนุน ฝูงชนต่างเงียบกริบ และตั้งใจจดจ่อกับทุกคำที่ออกมาจากปากของเธอ

“เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ฉันอุทิศตัวให้กับการรับใช้สังคม ช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ในที่ไม่มีแสงส่องไปถึง แต่ตอนนี้ มีกลุ่มคนที่พยายามทำให้งานเหล่านี้พังทลายลงไป พวกเขาอ้างว่าฉันได้ทำผิดกฎหมาย และพวกเขากำลังทำลายความหวังที่จะช่วยเหลือคนอีกมากมาย เขาอยากเห็นมูลนิธินี้พังทลาย”

น้ำเสียงของมธุกรดังไปทั่ว ตามมาด้วยมวลชนส่งเสียงอื้ออึงเหมือนผึ้งแตกรัง ใบหน้าเปลี่ยนไปเป็นความโกรธและมุ่งร้ายต่อคนที่กล้ามาทำลายมูลนิธิ ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนเหล่านั้นเชื่ออย่างหมดใจว่าเธอบริสุทธิ์ ภาพของหญิงในชุดขาวยืนแน่วแน่ต่อข้อกล่าวหา ตรงกันข้ามกับภาพที่สื่อกล่าวหาเธออย่างสิ้นเชิง เหมือนเป็นสิ่งที่คาดหวังไว้อยู่แล้ว และผู้คนก็รอสิ่งที่เธอกำลังจะบอกต่ออย่างใจจดใจจ่อ

“ฉันต้องมาที่นี่วันนี้ เพราะความรักที่พวกคุณมีให้ ฉันเป็นแค่คนที่ตกหลุมรักความดีงามของเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่เพราะสิ่งอื่นใดแอบแฝง แต่เพราะความใจดีและความอบอุ่นที่พวกคุณมอบให้ มันทำให้ฉันเห็นถึงความหวัง และความปรารถนาที่อยากจะส่งกลับไปให้กับทุกคน” มุมปากของเธอยิ้มอย่างอ่อนโยน และมองใบหน้าที่ชื่นชมอยู่ด้วยความอบอุ่น

ขณะเดียวกันมธุกรก็ชูเอกสารบางอย่างขึ้นมา นั่นคือเอกสารการเข้าเมืองที่เธออ้างว่าได้มาอย่างถูกกฎหมาย มันคือหลักฐานยืนยันความชอบธรรมที่เธอควรได้รับ ขณะเดียวกันก็มีพนักงานของมูลนิธินำสำเนาไปแจกให้กับผู้ที่มาชุมนุม และเสียงพูดคุยของฝูงชนก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อได้เห็นหลักฐานต่อหน้า

“ที่พวกคุณกำลังอ่านอยู่นั้น มีภาพถ่ายครอบครัวของฉันที่ประเทศบ้านเกิด ฉันอยากแบ่งปันให้พวกคุณได้เห็น ว่าฉันไม่ใช่คนไร้ตัวตนอย่างที่พวกเขากล่าวอ้างและฉันถูกใส่ร้ายอย่างไม่ยุติธรรม”

เธอเห็นคนที่มาชุมนุมพลิกดูภาพถ่ายทีละภาพ มันคือภาพเธอกับครอบครัวที่ยิ้มแย้มและไร้ซึ่งความกังวล ภาพงานแต่งกับข้าราชการคนหนึ่งซึ่งเป็นภาพของความสุขและความรัก แต่ละรูปคือส่วนหนึ่งของชีวิต ที่เธอบรรจงรังสรรค์ขึ้นมาอย่างประณีต เพื่อแสดงละครตบตาทุกคนถึงตัวตนของมธุกรที่พวกเขาอยากเห็น

“ฉันมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือสังคมค่ะ” เธอพูดต่อ ท่ามกลางกลุ่มคนที่เงียบงันนั้นเสียงของเธอกำลังดังเข้าไปในใจพวกเขา “เพื่อตอบแทนคนที่แสดงความรักและสนับสนุนฉันอย่างมากมาย และตอนนี้ฉันขอถามกลับว่า ฉันผิดเหรอคะที่ฉันทำเพื่อสังคมมากมายขนาดนี้”

กลุ่มผู้สนับสนุนลุกฮือขึ้นมา แล้วร้องตอบกลับเธอด้วยเสียงอันดังและเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น

“ไม่ผิด!”

พวกเขาโห่ร้อง ราวกับจะให้เสียงดังก้องไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

“มธุกรไม่ผิด! มธุกรไม่ผิด! มธุกรไม่ผิด!”

เสียงของผองชนรวมกันเป็นเสียงเดียวที่กลายเป็นแรงสนับสนุนอันสำคัญ คลื่นแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ชะล้างทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ให้เชื่อในสิ่งที่พวกเขายึดมั่น มธุกรยืนตระหง่านท่ามกลางผู้คน เปรียบเสมือนสัญญาณแห่งความหวังกลางพายุที่กำลังโหมกระหน่ำ

 

ระหว่างเสียงโห่ร้องสนับสนุนมธุกรดังอย่างต่อเนื่อง ร่างอันโดดเด่นในชุดสีดำสนิทก็ปรากฏตัวขึ้น เธอเดินตัดผ่านฝูงชนที่เป็นคลื่นสีขาวราวกับมีดคมๆ ด้วยชุดที่ตัดเย็บอย่างไร้ที่ติ เข้ากับรูปร่างอรชรของหญิงสาวได้อย่างสมบูรณ์ เรไรเดินเป็นจุดเด่นกลางฝูงชนที่รวมตัวกันเป็นฉากหลัง สีหน้าเรียบสงบของเธอขับความลึกลับให้กับการมา และเรียกความสนใจด้วยชุดดำที่ตัดกันอย่างกล้าหาญ ซึ่งทำให้ผู้คนเงียบไปในทันใด

ในมือของหญิงสาวถือพวงหรีดประดับด้วยดอกไม้สีขาว พาดกลางด้วยข้อความ ‘อาลัยแด่นางทับทิม’ เธอทำให้ฝูงชนต่างเงียบสงัด แล้วตามมาด้วยเสียงโห่ดังขึ้น แต่เรไรก็ยังไม่สะทกสะท้าน ด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นใจบนริมฝีปากของเธอ หญิงสาวเดินอย่างมีจุดมุ่งหมาย ดวงตาจับจ้องไปยังมธุกรไม่เปลี่ยนแปลง

เรไรวางพวงหรีดไว้ตรงหน้าของประธานมูลนิธิ เธอมองหน้ามธุกรอย่างไร้เดียงสา พร้อมกับเสียงปรบมือดังๆ สามถึงสี่ครั้งเป็นจังหวะดังก้องท่ามกลางฝูงชนที่เงียบสงบ เป็นเสียงเย้ยหยันในความสับสน โดยการปรบมือช้าๆ อย่างตั้งใจท้าทายทุกคน

“เป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมมากค่ะ คุณสร้างหลักฐานได้น่าประทับใจจริงๆ” ร่างในชุดสีดำเย้ยหยัน ดวงตาเปล่งประกายด้วยเจตนาร้ายอย่างชัดเจน

มธุกรจ้องไปที่เรไร สีหน้าชะงักไปชั่วขณะภายใต้แววตาอันมาดหมายของหญิงสาว ก่อนจะรีบตั้งสติ และฉายรอยยิ้มบนใบหน้า

“ฉันออกมาเพื่อยืนยันในสิ่งที่ฉันเป็นเรไร และมันอาจขัดกับเรื่องที่เธอพยายามใส่ความฉันมาโดยตลอด” น้ำเสียงของมธุกรสั่นเล็กน้อย ขณะที่เธอพยายามรักษารอยยิ้มไว้

บรรยากาศระหว่างเรไรกับมธุกรเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่สัมผัสได้ ประสานการโต้แย้งทั้งข้อกล่าวหาและการปฏิเสธที่ไม่ได้พูดออกมา ฝูงชนเฝ้าดูอย่างเงียบงัน เพื่อรอคอยจุดสำคัญของการเผชิญหน้าอันไม่คาดฝันนี้

มธุกรเม้มปากแน่น ขณะที่เกิดรอยย่นเล็กๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างคิ้ว เมื่อเรไรหาญกล้าที่จะมาเผชิญหน้ากับเธอด้วยตนเอง แม้จะพยายามรักษาภาพลักษณ์ให้คงเดิมอย่างไรก็ตาม หน้ากากของนักบุญเริ่มสั่นคลอนเมื่อเจอกับสายตาเฉียบคมของหญิงสาว ความโกรธแล่นผ่านประกายตาของตนเอง แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มราวกับนางฟ้าอย่างรวดเร็ว

“ขอบคุณทุกคนนะคะ สำหรับเสียงที่สนับสนุน” มธุกรเอ่ยเสียงอ่อนหวานราวกับน้ำผึ้งขณะก้าวออกมาจากผู้ชุมนุม โดยที่สายตาไม่ละไปจากหญิงสาวแม้แต่น้อย “แต่ฉันคิดว่าคงดีกว่าถ้าเราจะได้คุยกันอย่างเป็นส่วนตัว”

มธุกรเดินเข้าไปหาเรไร ก่อนที่กลุ่มผู้สนับสนุนพากันหลีกทางให้กับคนทั้งสอง หญิงสูงวัยกว่าพยายามเก็บสีหน้าให้สงบไว้ แต่คลื่นความวิตกกังวลที่ฉายบนใบหน้านั้นกลับปิดไม่มิด ขณะที่เธอเดินเคียงคู่กับหญิงสาวในชุดสีดำท่ามกลางกองเชียร์สีขาวเข้าไปในมูลนิธิ

 

เมื่อเข้ามาในห้องส่วนตัวมธุกรก็เดินเข้าไปหาผู้บุกรุกทันที เธอนั้นไม่ได้เต็มใจจะต้อนรับเรไรเลยสักนิด หากไม่ติดว่าไม่อยากเสียหน้าต่อผู้คนจำนวนมาก

“ใจกล้ามากเลยนะที่โผล่มากลางคนที่สนับสนุนฉันแบบนี้ หรือเพราะไม่มีอะไรจะเสียแล้วกันแน่ บอกมาสิว่าเธอต้องการอะไร”

น้ำเสียงของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้เรไรรู้สึกกลัว ใบหน้าสวยสวมรอยยิ้มของปีศาจ ความแตกต่างระหว่างเครื่องแต่งกายสีดำของเธอกับความบริสุทธิ์ของฝูงชนสีขาว กลับยิ่งทำให้เธอรู้สึกมีอำนาจมากขึ้น

“ฉันมาเพื่อบางอย่างที่เป็นของฉัน บางอย่างที่คุณเอาไป…ชีวิตของแม่ฉัน” น้ำเสียงของเรไรมั่นคงขณะที่พูดถึงสาเหตุการมา

“โถ…เรไร” มธุกรถอนหายใจ แล้วมองหญิงสาวด้วยสีหน้าเศร้าสลด “ดูตัวเธอสิ นี่เองสินะสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตใจที่ถูกครอบงำด้วยความเกลียดชัง ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้ทำอะไรแม่เธอเลย ฉันต่างหากที่ตกเป็นเป้าของความหลงผิดของเธอ”

หญิงสาวนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะดังไปทั้งห้อง มันชัดเจนกว่าความศรัทธาของฝูงชนที่มีให้กับมธุกรเป็นไหนๆ มันไม่ใช่เสียงแห่งความสุข แต่เป็นความสนุกชวนขนหัวลุกที่น่าสยดสยอง และทำให้คนฟังสั่นสะท้านด้วยความกลัวได้

“เอาละ…เมื่อคุณมั่นใจแบบนั้น เรามาดูกันว่าคุณจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ถ้าสิ่งที่มีค่าได้ถูกพรากไป คุณจะยังยืนสงบเหมือนตอนนี้อยู่รึเปล่านะ” เรไรลดเสียงลงจนเกือบจะเป็นการกระซิบด้วยความเยือกเย็น เมื่อเธอโน้มตัวเข้าไปใกล้ ซึ่งคำพูดของเธอมีความหมายโดยตรงถึงมธุกร

“เธอกำลังพูดถึงอะไรกันแน่”

“คืนนี้ฉันว่าจะไปเที่ยวบ้านพักของภีมที่เขาใหญ่ คุณเองก็น่าจะไปเหมือนกันนะคะ” เรไรพูดต่อ น้ำเสียงของเธอมีร่องรอยของการคุกคามเล็กๆ “ที่นั่นฉันมีบางอย่างที่มีค่ามากสำหรับคุณ อย่างที่คุณคิดสิ่งที่อาวิชทิ้งไว้นั้นมันยังอยู่กับฉัน และเราทั้งคู่ต่างรู้ว่าคุณต้องการมันมากแค่ไหน แต่คุณต้องมาแค่คนเดียวเท่านั้น…เพราะไม่อย่างนั้นคุณจะไม่มีวันได้เห็นมันอีกตลอดกาล”

ใบหน้าของมธุกรซีดลงและก็จดจำได้ในทันทีว่าเรไรหมายถึงอะไร แม้จะพยายามซ่อนความกลัวชั่วขณะ ในดวงตาสั่นไหวของเธอ เรไรน่าจะเห็นมันได้อย่างเด่นชัด นั่นคือช่วงเวลาที่สนุกที่สุดของหญิงสาว ที่ได้เห็นมธุกร เศรษฐินีใจบุญภายใต้ฉากหน้าอันไร้ที่ติ กำลังจะสูญเสียความสงบเยือกเย็นของตัวเอง

ความหนาวสะท้านแล่นไปทั่วสันหลังของมธุกร เธอไม่ได้ยืนอยู่บนเวทีที่มีกองเชียร์ของตัวเองอีกต่อไป แต่ตอนนี่เธออยู่บนเวทีของเรไร และฝั่งนั้นก็เป็นคนเริ่มบทบาทต่างๆ เอง นี่อาจเป็นครั้งแรกที่มธุกรรู้สึกถึงความหวาดหวั่นในใจ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดั่งปีศาจร้ายจากหญิงสาว ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายที่น่ากลัวที่สุดของเธอ

 

เมื่อยามเย็นปกคลุมไปทั่วเมือง อากาศอันหม่นหมองผสานเข้ากับความรู้สึกพะวงถึงสิ่งที่ต้องทำแผ่คลุมไปทั่ว ภายใต้แสงสลัวของเมืองใหญ่ ร่างหนึ่งเดินตรงที่ทางเดินของโรงพยาบาล นั่นคือเรไรที่ปรากฏออกมาด้วยใบหน้านิ่งเฉย

ในที่สุดเธอก็เดินมาถึงห้องพักของพฤกษ์ เรไรหยุดนิ่งชั่วขณะก่อนจะเข้าไป เธอผลักประตูเปิดห้องอย่างเงียบๆ และเดินเข้าไป เพื่อพบกับสายตาของพฤกษ์ที่ตื่นเต้นและดีใจอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มของเขาปลอบประโลมเธอราวกับคลื่นของความอบอุ่น นำความโล่งอกเข้ามาสู่หัวใจของหญิงสาว แล้วก็แทนที่ด้วยความหวาดกลัวต่อความเยือกเย็น ที่เกือบจะทำให้เขาจากเธอไปแล้ว

“เรย์…” ประกายอบอุ่นออกมาจากดวงตาที่อ่อนล้า พฤกษ์มองไปที่ทางเข้าห้อง ด้วยมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย

การได้เห็นเขามีชีวิตอีกครั้งทำให้เรไรมีความสุขอย่างเหลือเชื่อ เธอยิ่มอย่างอ่อนโยนขณะที่ขยับเข้าไปใกล้เตียงคนป่วย สายตาคู่นั้นลูบไล้ใบหน้าของเขาอย่างเชื่องช้า แทนที่ด้วยความสุขสงบซึ่งไม่ได้สัมผัสมานาน

“รู้สึกยังไงบ้างคะ”

เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าเต็มไปด้วยความกังวลที่รู้สึกได้ ซึ่งมันเป็นความวิตกอย่างที่เขาไม่เคยเห็นในสายตาของเธอมาก่อน

“ผมน่ะหนังเหนียวกว่าที่คุณคิดนะเรย์ ไม่รู้เหรอว่าแค่นี้น่ะ ทำอะไรผมไม่ได้หรอก” พฤกษ์หัวเราะเบาๆ ดวงตาของเขาฉายแววซุกซนขณะที่พยายามทำให้อารมณ์ของหญิงสาวเบาลง และเธอส่งยิ้มเล็กๆ ให้กับเขา ความโค้งของริมฝีปากและแสงอันอบอุ่นในดวงตาคู่นั้นทำให้เขารู้สึกโล่งใจมากกว่ายาใดๆ

“จากนี้ไปคุณต้องดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้นะคะ เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณอีก…ฉันคงเหงาแย่เลย”

เรไรยิ้มให้เขาในตอนที่คำพูดนั้นออกมาจากปากตัวเอง เธอรู้สึกได้ถึงปมที่ก่อตัวขึ้นในใจ หัวใจอัดแน่นไปหมดเมื่อคิดถึงความรู้สึกนั้น ก่อนจะกะพริบตาไล่ความชื้นที่สะสมอยู่รอบดวงตา

“ขอบคุณนะคะที่อยู่ข้างฉัน…คอยช่วยเหลือ และเป็นหลักให้พักพิงท่ามกลางเรื่องวุ่นวายพวกนี้”

ขณะที่เรไรมองไปยังพฤกษ์ แววตาของเธออ่อนลงเพราะน้ำตาที่ไหลออกมา ด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจจริง มันเป็นช่วงเวลาที่หญิงสาวได้วางความแค้นและความโกรธเคืองออกไป พร้อมกับเผยให้เห็นหัวใจที่เปราะบางอยู่ข้างใน และนี่คือแก่นในการต่อสู้ของเธอ มันคือเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมเธอถึงต่อสู้อย่างดุเดือด นั่นก็เพื่อทุกคนที่ห่วงใย คนที่เธอไม่อยากจะเสียไปอีก

ความสงสัยบางอย่างปรากฏขึ้นในดวงตาของพฤกษ์ ระหว่างที่เขาประมวลผลคำพูดของหญิงสาว สิ่งที่ซ่อนอยู่ในเสียงของเธอทำให้เขาต้องทบทวนกับคำพูดนั้น และเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาในทันใด

“ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้นเรย์” เขาถามพลางขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล พฤกษ์รู้สึกได้ถึงอารมณ์ต่างๆ ที่หมุนวนอยู่ภายในตัว เขาเข้าใจเรไรที่ต้องการความยุติธรรมและชื่นชมในความเข้มแข็งของเธอ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับอันตรายที่เธอจะต้องเผชิญ

เรไรมองหน้าพฤกษ์ ริมฝีปากของเธอยิ้มออกมาอย่างหวานอมขมกลืน

“เพราะจากนี้ไป ฉันจะต้องทำในสิ่งที่เริ่มให้เสร็จ”

“เรย์ ผมไม่มีทางปล่อยให้คุณทำแบบนั้น มันอันตราย…” คลื่นความกลัวถาโถมเข้าใส่ชายหนุ่ม ขณะที่เขานึกถึงข้อความที่ได้รับจากเธอก่อนหน้านี้ พฤกษ์เอื้อมมือไปจับมือของเธอ เสียงแห่งการอ้อนวอนพยายามจะให้เธอล้มเลิกความคิดนั้นเสีย

เรไรหยุดชั่วขณะ สายตาของเธอไม่เปลี่ยนแปลง จากนั้นโดยไม่ต้องพูดอะไร หญิงสาวโน้มตัวเข้าไปและจูบพฤกษ์อย่างอ่อนโยน การผสานระหว่างความเสน่หาและขื่นขมอยู่ในที มันเป็นช่วงเวลาที่ถ่ายทอดความรู้สึกทั้งคำอำลาและคำสัญญา

เมื่อถอนจูบ เรไรมองเข้าไปในดวงตาของพฤกษ์ น้ำเสียงของเธอเจือด้วยความเศร้า

“ครั้งหน้าที่เราพบกัน” เรไรกระซิบ คำพูดของเธอมีนัยของการสิ้นสุด “ฉันจะไม่ยอมให้คุณไปไหนเด็ดขาด”

เธอส่งยิ้มหยอกล้อให้เขา แววตาขี้เล่นแฝงความหนักหน่วงในใจ แล้วเรไรก็เดินหันหลังออกไป ทิ้งให้พฤกษ์อยู่ในความตกตะลึง เขาพยายามเรียกและรั้งเธอไว้ เสียงของเขาดังไปทั่วห้อง โดยไม่สนใจความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่บาดแผล

ชายหนุ่มพยายามลุกขึ้นจากเตียง แต่ไม่ทันกับที่พยาบาลเข้ามาและผลักเขาเบาๆ ให้ลงไปนอนอีกครั้ง ตอนนั้นเองที่หัวใจของเขาเต้นระรัว ระหว่างเฝ้าดูบานประตูที่ปิดลงด้านหลังของเรไร

เรไรหันไปทางอื่นด้วยสายตาสุดท้ายที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา เสียงฝีเท้าของเธอดังก้องไปในระยะไกล ขณะที่เธอเดินเข้าไปในยามค่ำคืน ความหมายมั่นของเธอฉายออกมา ครั้งนี้ทุกอย่างจะต้องจบและจะไม่มีใครต้องมาสูญเสียกับเรื่องนี้อีก



Don`t copy text!