เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 18 : ฝันร้ายกลับมา

เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 18 : ฝันร้ายกลับมา

โดย : จันทร์จร

Loading

เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

ขณะที่ความเชื่อมั่นของมธุกรกำลังถูกสั่นคลอน ด้วยข้อมูลต่างๆ มากมายที่เผยแพร่สู่โลกออนไลน์โดยใครบางคน กระนั้นเช่นเดียวกับเวลาที่หน้ากากความดีถูกโจมตี ผู้ที่ยังมีความเชื่อมั่นและภักดีกับเธอปฏิเสธที่จะเชื่อข่าวนั้น

กลุ่มคนเหล่านี้คือคนที่ได้รับสิ่งที่มูลนิธิหยิบยื่นให้ คนที่ได้ลิ้มรสความเอื้ออาทรจากมูลนิธิและเห็นมธุกรเป็นดั่งสัญญาณแห่งความหวังที่ส่องมาถึง ขณะนี้พวกเขาได้รวมตัวกันเพื่อเธอ ด้วยเสียงที่สนับสนุนพร้อมกับปกป้องใครก็ตามที่จะมาทำร้ายบุคคลสำคัญของพวกเขา

ที่ด้านนอกของมูลนิธิ มีฝูงชนจำนวนหนึ่งออกมารวมตัวกัน พวกเขาแต่งชุดขาวแสดงถึงความบริสุทธิ์ และออกมาเพื่อปกป้องคนที่รักออกจากเรื่องอื้อฉาว ทำให้บรรดาสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวต่างถูกปิดกั้น รวมถึงไม่ให้อุปกรณ์บันทึกภาพหรือเสียงใดๆ ทะลุผ่านกำแพงมนุษย์ที่ขวางกั้น และไปถึงตัวมธุกรที่อยู่ด้านในได้

“เราจะไม่ปล่อยให้ใครมาใส่ร้ายผู้มีพระคุณของเรา เรามารวมตัวกันที่นี่เพราะสิ่งที่คุณมธุกรทำ ความดีของเธอทำให้พวกเราอยู่รอด ในขณะที่พวกคุณไม่เคยมองเห็นหัวเราเลยสักครั้ง” ผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่งตะโกนต่อหน้าฝูงชน ด้วยตลอดชีวิตที่ผ่านมาเธอต้องอยู่กับการทำงานหนักหลายปี จนกระทั่งมูลนิธิให้เงินสนับสนุนการศึกษากับหลานสาว รวมถึงให้ทุนทำกินทำให้พวกเธอได้ลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้

“คุณมธุกรไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากสร้างประโยชน์ให้กับคนจน ข่าวที่ออกมาเป็นการใส่ร้ายป้ายสีคนดีอย่างไม่เป็นธรรม” ชายหนุ่มผู้เคยได้รับทุนการศึกษาพูดแทรกขึ้นมาบ้าง

ขณะที่เสียงเรียกร้องความยุติธรรมให้กับมธุกรดังทั่วมูลนิธิ ความรู้สึกร่วมของผู้คนก็ยิ่งแผ่ขยาย เสียงสนับสนุนของพวกเขาแสดงถึงความภักดีอย่างไม่เปลี่ยนแปลง

“หยุดใส่ร้ายคนบริสุทธิ์!”

ภายในมูลนิธิ มธุกรผู้เฝ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็เริ่มรู้สึกว่าการที่เธอเงียบก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะเวลานี้พันธมิตรที่คาดไม่ถึงกำลังรวมตัวเพื่อปกป้องเธอ และนี่อาจเป็นเครื่องต่อรองที่ดีกับคนที่อยู่เบื้องหลัง ว่าเธอมีเสียงของประชาชนพูดแทนแล้ว พวกเขาจะเป็นเครื่องป้องกันอย่างดี ซึ่งอาจทำให้เธอรอดพ้นจากข้อกล่าวหาได้ง่ายขึ้น

 

เวลาเดียวกันนั้น กระแสของโลกออนไลน์ก็เริ่มมีกลุ่มคนอีกกลุ่มออกมาต่อต้านบทความที่โจมตีมูลนิธิมากขึ้น รู้ตัวอีกทีพฤกษ์ก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่กลางพายุของความเกลียดชัง เกิดข้อกล่าวหาว่าเขากำลังคุกคามมูลนิธิที่ไม่มีความผิดอยู่ ข้อความแสดงความเกลียดชังท่วมท้นโซเชียลมีเดียของเขา

พฤกษ์ถูกตราหน้าว่าเป็นคนโกหก เป็นหุ่นเชิดของคนที่ต้องการทำลายมูลนิธิ ภัยของโลกออนไลน์กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวตนของเขามากขึ้น เขารู้ว่านี่อาจเป็นผลกระทบมาจากการรวมตัวของคนที่สนับสนุนมธุกร นอกจากอิทธิพลแล้ว การสร้างภาพเป็นคนใจบุญออกสื่อบ่อยๆ ก็ทำให้เธอสามารถครอบงำผู้คนจนแทบจะเป็นลัทธิ และกำลังใช้สิ่งนี้อย่างเป็นประโยชน์ที่สุด

‘มาใส่ร้ายคนที่ทำความดีมาตลอดได้ยังไง ถ้าไม่มีมูลนิธิจะมีใครที่สนใจคนจนอย่างจริงจังบ้าง’

หนึ่งในความเห็นหนึ่งออกมาตอบโต้กับบทความของเขา

‘คุณมธุกรเป็นเหยื่อของสื่อที่กระหายข่าว และทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง น่าอายที่สื่อพวกนี้ไม่เคยทำอะไรเพื่อประชาชนเลย’

‘งานของมูลนิธิคือการทำให้สังคมดีขึ้น พวกคุณทำอะไรบ้างเพื่อสังคม นอกจากการป้ายสีคนอื่น’

แม้เริ่มมีคนที่คิดร้ายกับเขามากขึ้น แต่พฤกษ์ก็ยังคงแน่วแน่ที่จะประกาศความจริงออกไป จนกว่าจะมีคนที่เกี่ยวข้องมาสนใจและตรวจสอบเรื่องนี้ เขารู้ดีว่าการต่อสู้เพื่อความจริงนั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูง ทว่าเขาได้ว่างเดิมพันทุกอย่างไปแล้ว ซึ่งมันไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับ มันไม่ใช่แค่การเปิดโปงตัวตนของมธุกรเท่านั้น มันคือการขุดคุ้ยความจริงที่ฝังอยู่หลังการสร้างภาพลวงหลอกผู้คน และเป็นส่วนหนึ่งของการคอร์รัปชันที่กัดกินสังคม

ขณะกำลังขับรถบนถนนเปลี่ยว พฤกษ์ก็กดโทรศัพท์มือถือถึงคนที่กำลังจะไปหา หัวใจของเขาเต้นแรงเมื่อนึกถึงเรไร ด้วยน้ำหนักของสิ่งที่ต้องต่อสู้นั้นกดดันจิตใจอย่างมาก เขารู้ถึงความเสี่ยงของเรื่องนี้ แต่ก็ไม่อาจหันหลังกลับได้ บทสนทนากับเรไรจึงเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนัก

“ฟังนะเรย์…ผมรู้ว่ามันเสี่ยง แต่เราต้องเดินหน้าต่อเท่านั้น คนที่กำลังคลั่งมธุกรจะไม่เลิกจนกว่าเราจะเปิดโปงมูลนิธิได้จนหมดเปลือก” น้ำเสียงของพฤกษ์เร่งเร้า ด้วยความร้อนรนระคนตื่นเต้นที่จะดำเนินตามเกมต่อ

“แต่…มันอันตรายเกินไป คุณกำลังจะเป็นศัตรูของคนที่สนับสนุนมูลนิธิด้วย” เรไรตอบด้วยเสียงอ้อนวอน และเป็นความจริงที่ว่าเธออาจคิดน้อยเกินไป เพราะไม่ทันได้นึกถึงกลุ่มคนที่คลั่งในความดีจนไม่สนสิ่งอื่น

“ผมทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากเดินหน้าต่อ คุณเข้าใจไหม…” พฤกษ์ตอบกลับไป ขณะที่สายตาจ้องมองไปที่กระจกหลัง

ชายหนุ่มได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์ที่กำลังใกล้เข้ามา ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างสวมหน้ากากสีดำที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาประกบข้างรถ และก่อนจะได้ตอบโต้ ร่างนั้นก็ชักปืนออกมา สิ่งสุดท้ายที่ได้ยินก่อนเสียงปืนดังสนั่น คือเสียงตื่นตระหนกของปลายสายที่เรียกชื่อเขาทางโทรศัพท์

“พฤกษ์! พฤกษ์…เกิดอะไรขึ้น ตอบฉันมาสิ พฤกษ์!”

โทรศัพท์มือถือหลุดออกมาจากมือของชายหนุ่ม ชื่อของเขาดังก้องไปทั่วรถระหว่างที่มันตกไปยังที่นั่งผู้โดยสาร

หัวใจของพฤกษ์เต้นรัวในอกขณะที่หักเลี้ยวรถ ภาพที่เห็นรอบตัวนั้นพร่ามัว ความกลัวจับขั้วหัวใจ มือไม้เย็นเฉียบตอนที่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงของกระสุนที่ยิงผ่านร่างกายตัวเอง อะดรีนาลีนพลุ่งพล่านในเส้นเลือดขณะที่ตระหนักถึงความหนักหน่วงของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เขาถูกโจมตีแน่…แต่ใครกันเป็นคนสั่ง ความคิดของเขาผสมผสานกับความกลัว

…จะปล่อยให้เรื่องนี้จบลงไม่ได้ ยังมีเรื่องอีกมากที่ต้องทำ

 

เรไรรู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลัง ในตอนที่ได้ยินเสียงปืนดังมาจากปลายสาย ตามมาด้วยเสียงรถชนกับอะไรบางอย่าง แล้วทุกอย่างก็เงียบไป หัวใจหญิงสาวเต้นแรงขณะที่เธอเรียกชื่อพฤกษ์ แล้วเธอก็ร้องไห้อย่างสิ้นหวังยิ่งกว่าครั้งไหน เมื่อไม่มีการตอบสนองจากโทรศัพท์

“ทิพย์!” เธอร้องเรียกเพื่อนเพียงคนเดียวที่เหลือ และเกือบทำโทรศัพท์มือถือตกด้วยความตื่นตระหนก ตามมาด้วยคำพูดที่ออกมาจากปากอย่างรวดเร็ว “มีเรื่องเกิดขึ้นกับพฤกษ์ เขาถูกยิง! เรย์ต้องไปตามหาเขาเดี๋ยวนี้!”

ดวงตาของเธอสั่นไหวด้วยความหวาดกลัวอย่างที่ทิพย์ไม่เคยเห็นมาก่อน

“ใจเย็นๆ ก่อนเรย์ รู้ไหมว่าเขาอยู่ที่ไหน”

“เรย์ไม่แน่ใจ…แต่เขากำลังจะมาหาเรย์ตอนที่เรากำลังคุยกัน เรย์ต้องหาพฤกษ์ให้เจอ เขาต้องการคนช่วย…” เรไรเอ่ยเสียงสั่น ดวงตาของเธอเบิกกว้างจากนั้นก็พูดซ้ำไปซ้ำมาจนจับใจความไม่ได้

เพียงครู่เดียวทิพย์ก็พาเรไรมายังรถ ก่อนจะเร่งความเร็วออกไปตามพฤกษ์ ระหว่างทางไม่ไกลจากที่ที่เธออยู่นัก หญิงสาวก็เห็นรถที่คุ้นเคยชนต้นไม้อยู่ข้างถนน หัวใจของเรไรแทบหยุดเต้นเมื่อได้เห็นรถพยาบาลหลายคันจอดอยู่ใกล้ๆ

“ไม่นะ…” เรไรหายใจไม่ทั่วท้อง ดวงใจของเธอหล่นวูบจนเกือบจะสิ้นสติ เมื่อทิพย์ชะลอรถและจอดใกล้กับที่เกิดเหตุ

พอรถจอดสนิท เรไรก็รีบลงจากรถแล้ววิ่งไปหาเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่มาขวางเธอเอาไว้

“นะ…นั่นรถเพื่อนฉัน เขาไม่เป็นไรใช่ไหมคะ เขา…” เธอร้องเสียงสั่นเครือ

“เขายังมีชีวิตอยู่ครับ แต่อาการค่อนข้างหนักมาก เรากำลังจะพาคนเจ็บไปโรงพยาบาล” เจ้าหน้าที่มองหน้าหญิงสาวอย่างเห็นใจ

เรไรมองซากรถที่พังยับด้วยน้ำตาคลอเบ้า เธอทำได้เพียงพยักหน้าและขอบคุณเจ้าหน้าที่ ก่อนจะหันกลับไปที่รถ ด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำด้วยความกลัวและเป็นห่วงในตัวพฤกษ์

 

หญิงสาวกลับมาที่รถและบอกให้ทิพย์ขับตามไปที่โรงพยาบาล ขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็วนั้น เรไรก็ได้แต่นั่งเงียบตลอดเส้นทาง ความคิดของเธอเต็มไปด้วยภาพของพฤกษ์ ที่นอนเจ็บปวดอยู่คนเดียวบนเตียงคนป่วย

เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาล เรไรก็แทบจะไม่รอให้รถจอดสนิท เธอเร่งรีบออกไปจากรถ กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามทางเดิน จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินซึ่งพฤกษ์ถูกเข็นเข้าไปในนั้น จิตใจของเธอแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และปรารถนาให้เขาปลอดภัยระหว่างที่เข้ามาใกล้หน้าประตูห้องฉุกเฉิน แต่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งได้หยุดเธอเอาไว้ก่อนที่จะเข้าไปได้

“เข้าได้เฉพาะเจ้าหน้าที่นะคะ ต้องขอโทษด้วยค่ะ” พยาบาลสาวบอกกับคนที่กำลังร้อนรนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“เรย์…ใจเย็นๆ ก่อน เขาอยู่กับหมอแล้วยังไงก็ต้องปลอดภัย” ทิพย์พยายามเข้ามาปลอบคนที่กำลังร้อนใจ และรู้ได้ถึงความรู้สึกอันลึกซึ้งที่เรไรมีให้กับพฤกษ์

“แต่เรย์ต้องไปพบเขาทิพย์ เรย์อยากเห็นว่าเขาปลอดภัยจริงๆ” เรไรรู้สึกอัดแน่นไปด้วยความกังวล ขณะที่เธอมองทิพย์ด้วยน้ำตาคลอเบ้า

ทิพย์ผู้ซึ่งเข้าใจเรไรเป็นอย่างดีได้วางมือลงบนไหล่คนที่อยู่ในอาการหวาดกลัวอย่างปลอบโยน

“หมอต้องทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้อยู่แล้ว เราต้องเชื่อใจหมอนะ”

“แต่เขาต้องเป็นแบบนี้เพราะเรย์ เพราะเขาอยากจะช่วยพวกเรา เขาไม่อยากให้เรย์ไปเสี่ยงอันตรายคนเดียว แล้วดูตอนนี้สิ…จะต้องมีอีกกี่คนที่จากไปเพราะแผนการของพวกเรา” เสียงนั้นแสดงถึงความสิ้นหวังอย่างที่สุด ทุกครั้งไม่ว่าเธอจะบอกกับพฤกษ์ถึงความไม่กลัวอันตรายแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังแสดงความเป็นห่วงเธอเสมอ และเรไรก็ไม่เคยทำใจได้เมื่อรู้ว่าตลอดการเดินทางของแผนการเปิดโปงนั้น มีใครบ้างที่ต้องเสียชีวิตไป

คำพูดของเรไรก้องไปทั่วทางเดินด้วยความขมขื่นและไม่พอใจ ส่วนทิพย์ก็ได้แต่นิ่งเงียบ และรู้สึกปวดใจที่เห็นเรไรทำท่าสิ้นหวังเช่นนี้

“เรย์คิดถูกรึเปล่าทิพย์ที่อยากจะเปิดโปงความจริง ถ้ามันจะต้องสูญเสียคนที่ตัวเองรักไปแบบนี้ เรย์ก็ไม่อยากจะทำแล้ว”

“เราถอยหลังกลับไม่ได้แล้วเรย์ มีแต่จะต้องไปให้ถึงที่สุดเท่านั้น”

คำพูดของทิพย์ทำให้เรไรเริ่มสงบ แล้วนึกอะไรขึ้นมาได้

“งั้นเรย์จะเป็นคนทำให้มันจบอย่างรวดเร็วเอง”

น้ำเสียงของเรไรเต็มไปด้วยความโกรธเธออยู่อย่างเงียบๆ มาเป็นเวลานาน และสิ่งที่เกิดขึ้นกับพฤกษ์เป็นการย้ำเตือนถึงความจริงอันโหดร้ายในโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่ และตอนนี้ปีศาจที่หลับใหลในตัวของเธอก็ได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้ว

 

เรไรไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตของเธอจะเงียบเหงาไร้ซึ่งความสุขเท่านี้มาก่อน ตั้งแต่วันที่พฤกษ์เข้ามาเธอก็มองเขาเป็นเหมือนหมากในเกมมาตลอด ไม่รู้ตัวเลยว่าเขากลายมาเป็นคนสำคัญไปตอนไหน เสียงรอบตัวเหมือนจะบอกอย่างเดียวกัน ว่าเธอกำลังกลัวความสูญเสียเหมือนครั้งที่แม่จากไป นั่นอาจเป็นเครื่องย้ำเตือนถึงความไม่แน่นอนที่กำลังกัดกินจิตใจไปทีละน้อย และที่โรงพยาบาลเธอก็ไม่ได้ข่าวเกี่ยวกับอาการของเขา ยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกไร้ที่พึ่งและหนทางที่เดินไปมันช่างมืดมิดไปหมด

แววตาว่างเปล่าจ้องกำแพงอย่างไม่รู้สึกถึงสิ่งใด จิตใจของเธอหมุนเวียนด้วยความทรงจำเกี่ยวกับพฤกษ์ทั้งหมด รอยยิ้มอย่างมั่นใจ นัยน์ตาที่จริงจังเวลาที่เขาพูดถึงการเปิดโปงพวกฉ้อฉล วิธีที่เขาโอบกอดเธอไว้อย่าอบอุ่นในเวลาแห่งความสิ้นหวังร่วมกัน

ทั้งหมดนี้กลายเป็นสิ่งที่หลอกหลอนเรไรอยู่ในความมืดมิด ที่ไร้ซึ่งสีสันใดๆ

ทันใดนั้น ความเงียบสงบก็ถูกทำลายด้วยเสียงแหลมจากโทรศัพท์มือถือ หน้าจอของมันสว่างตัดกับความมืดดำในยามรัตติกาล หญิงสาวหยิบมันขึ้นมา และยิ่งรู้สึกไม่อยากเชื่อสายตาเมื่อเห็นชื่อของภมร ปรากฏอยู่บนหน้าจอ

เรไรกดรับโดยไม่ส่งเสียงตอบ และรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร

“เป็นยังไงบ้างเรย์ ชีวิตช่วงนี้ยังอยู่ดีใช่ไหม” เสียงปลายสายเจือความเย้ยหยันอย่างเต็มที่ ราวกับว่าเขารู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับเธอ

คนรับสายกำโทรศัพท์แน่น จินตนาการไปถึงภาพที่เขากำลังยิ้มเยาะอยู่ปลายสาย เสียงอันน่าเกลียดเป็นการกระตุ้นอารมณ์ดิบของเธอได้เป็นอย่างดี ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังอยู่เงียบๆ เพื่อจะไม่ให้เขาได้รับรู้ถึงอารมณ์อ่อนแอ

“ทำไมถึงเงียบไปล่ะ กัดลิ้นตัวเองไปแล้วเหรอ ไม่สมกับที่เป็นคุณเลยนะ” ภมรหัวเราะเบาๆ อย่างเป็นสุข

“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ” เรไรโต้ตอบอย่างเย็นชา เธอกำลังจะกดวางเพราะอยากตัดรำคาญ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมง่ายๆ

“เดี่ยวก่อนสิเรย์ เมื่อก่อนเราเคยคุยกันสนุกกว่านี้ไม่ใช่เหรอ หรือหมดไอเดียที่จะหลอกใช้ผมแล้ว” ความเยาะหยันถูกแทนที่ด้วยเสียงที่เข้มขึ้น

หญิงสาวได้แต่กัดฟันแน่น จริงอย่างที่เขาพูด เพราะสำหรับเธอเกมของเขามันจบแล้ว และเธอก็ไม่ต้องการอะไรจากภมรอีก แต่นั่นยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวเองกำลังประมาทผู้ชายคนนี้มากเกินไป และไม่แน่ว่าตัวการที่ทำให้พฤกษ์ต้องเป็นแบบนี้ อาจจะอยู่ที่ปลายสายนี่เอง

“เรื่องที่เกิดกับพฤกษ์ เป็นฝีมือคุณใช่ไหมภีม” คำถามของเธอแน่วแน่ และมันเต็มไปด้วยความโกรธ ผสมกับความกลัวว่าสิ่งที่คิดจะเป็นความจริง

“ว้าว…นี่สินะเหตุผลที่คุณอารมณ์เสียอยู่ตอนนี้ ก็สงสัยอยู่ว่าทำไมถึงได้พูดน้อยจัง” เขายังคงกวนโทสะเธอไม่เลิก ด้วยคำพูดที่แสดงถึงชัยชนะบางอย่าง

ความกรุ่นโกรธที่อยู่ในตัวเธอเริ่มเดือดพล่าน ถึงจะไม่ต้องการให้เขาพอใจกับการตอบสนองนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าภมรนั้นยั่วอารมณ์ของเธอได้สำเร็จ

“แค่ตอบคำถามมา…คุณมีส่วนเป็นคนสั่งเก็บพฤกษ์ใช่ไหม” เสียงของเรไรเริ่มต่ำลง นั่นหมายถึงว่าเธอต้องการคำตอบอย่างจริงจัง และหมดเวลามาเล่นเกมจิตวิทยากับเขาแล้ว

สิ้นเสียงของเธอปลายสายก็เงียบไปครู่หนึ่ง วินาทีนั้นเหมือนดั่งชั่วนิรันดร์สำหรับเรไรที่รอฟังคำตอบจากเขาอยู่ เธอรู้ว่าภมรเป็นคนโหดร้าย และอาจเป็นไปได้ว่าการตายของโมรีคือฝีมือของเขา ที่สำคัญเขามักจะตัดเรื่องน่ารำคาญให้พ้นตัวเสมอ กับสิ่งที่พฤกษ์ทำกับมูลนิธิถือเป็นการเอาไม้ไปตีรังแตน มีหรือที่คนถือดีอย่างภมรจะยอม ยิ่งไปกว่านั้นคือเหนือสิ่งอื่นใดเขาสามารถทำทุกอย่างเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

สำหรับภมรที่ไม่ได้หยุดเงียบนานเท่าใดนัก พอได้ยินเสียงเข้มๆ ของเธออีกครั้ง เขาก็หัวเราะออกมาอย่างดัง และแฝงไว้ด้วยความโหดร้ายเย็นชาที่มีต่อเรไร ผู้หญิงที่เขาเคยคิดว่าเป็นคนเลือดเย็นที่สุด

“นี่สิเรย์ที่ผมคิดถึง ในที่สุดร่างปีศาจก็ออกมาจนได้”

ภมรหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ และเป็นการเยาะเย้ยเธออย่างร้ายกาจ พอสมใจแล้วเขาจึงพูดต่อ

“เอาละๆ ผมมีข้อเสนอง่ายๆ สำหรับคุณนะ ถ้าไม่อยากให้พฤกษ์สุดที่รักของคุณ หรือใครก็ตามที่คุณห่วงใยมีชะตากรรมเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ คุณจะต้องมาหาผมที่บ้านพักในเขาใหญ่คนเดียว พรุ่งนี้…ห้ามสายเด็ดขาด”

น้ำเสียงของภมรเต็มไปด้วยความเริงร่าอันจอมปลอม คำพูดที่หลุดออกมาเหมือนทำให้เธอยิ่งโกรธมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางเลือกใด และนั่นเพราะเขาต้องการให้มันเกิดขึ้น

“จะมัวทำเป็นคิดทำไมในเมื่อคุณต้องมาอยู่แล้ว แล้วสัญญาเลยว่าผมจะดูแลคุณอย่างดีเลย…ที่รัก” พูดจบเขาก็หัวเราะเบาๆ ออกมาก่อนจะวางสายไป

มือของหญิงสาวสั่นขณะที่เธอลดโทรศัพท์ลง จนหน้าจอกลับมามืดสนิทอีกครั้ง ใบหน้าสวยนั้นบึ้งตึงขึ้นมาในทันทีที่การโทรสิ้นสุด ทว่าเสียงหัวเราะของภมรเหมือนจะยังคงอยู่ และมันยังดังก้องอยู่รอบๆ ห้อง ซึ่งทำให้เธอรู้สึกเดือดดาลกว่าเดิม

ด้วยความโกรธอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนกำลังพลุ่งพล่านอยู่ในตัว ผสมกับความกลัวที่จะถูกพรากสิ่งที่รักไป ทุกอย่างผสมกันเหมือนดั่งยาพิษที่กร่อนทำลายจิตใจไปทีละน้อย ด้วยความโมโหเธอจึงเหวี่ยงโทรศัพท์ทิ้งอย่างสุดแรง จนมันไปกระแทกผนังแล้วลงมาที่พื้น กลายเป็นเศษซากที่แตกกระจายไม่สามารถกลับมาใช้งานได้ดังเดิมอีก

“บ้าเอ๊ย!”

เรไรรู้ว่าการไปหาภมรก็เหมือนเดินเข้าไปในถ้ำอสรพิษ นั่นยิ่งทำให้น้ำตาเอ่อคลอในดวงตาด้วยความแค้นที่หาทางลงไม่ได้ เธอปล่อยมันออกไปขณะที่ขบกรามอย่างเคืองขุ่น นาฬิกากำลังเดินไปเรื่อยๆ และมันหมายความว่าเธอต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ถ้ามันจะทำให้พฤกษ์และคนที่เธอรักปลอดภัย นั่นหมายถึงอาจจะต้องเอาตัวเข้าไปอีกครั้งเธอก็ยอม

“แกจะได้รับมันอย่างสาสมแน่ภีม”

ช่วงเวลานั้น เรไรก็ได้เตรียมแผนรับมือกับสิ่งที่กำลังจะมาถึง แม้จะรู้สึกขยะแขยงเมื่อคิดถึงภมร เพราะเธอเกลียดเขา เกลียดสิ่งที่เขาเคยทำ รวมถึงเกลียดความจริงที่ว่าเขาอาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่มธุกรวางไว้ และล่อให้เธอไปติดกับ

แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็รู้ว่าเธอต้องเข้มแข็ง เพื่อเอาคืนกับสิ่งที่พวกมันทำกับเธอ พฤกษ์ และแม่ จะอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากับภมร ไม่ว่าเขาจะเป็นปีศาจร้ายกาจแค่ไหน เรไรจะเป็นให้มากกว่า และทำให้พวกมันรู้ว่าการปลุกปีศาจโรคจิตขึ้นมานั้น มันต้องเจอกับอะไรบ้าง



Don`t copy text!