เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 17 : หลักฐานที่หายไป

เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 17 : หลักฐานที่หายไป

โดย : จันทร์จร

Loading

เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

ข่าวการฆ่าตัวตายของนางทับทิมแพร่กระจายไปราวกับไฟป่า แต่ละพาดหัวข่าวจุดประกายให้เกิดการพูดคุยและการคาดเดาไปทั่วแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ถึงการตายครั้งที่สองของเจ้าแม่แชร์ลูกโซ่ชื่อดังว่าเป็นไปได้มากแค่ไหนที่จะเป็นเรื่องจริง แต่ก็มีบางกระแสที่เห็นใจถึงจุดจบอันน่าเศร้าของบุคคลระดับตำนาน ในขณะที่หลายคนเริ่มเกิดทฤษฎีสมคบคิดขึ้นมา

“และข่าวด่วนในวันนี้ค่ะ นางทับทิมซึ่งเคยมีข่าวว่าเสียชีวิตเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว ก่อนจะมีการถูกจับกุมว่าเป็นการจัดฉากตายขึ้นมา ตอนนี้ได้จบชีวิตตัวเองแล้วตามคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ ทว่าหลายคนกำลังสงสัยเกี่ยวกับการตายของเธออยู่เช่นกัน” ผู้ประกาศข่าวคนหนึ่งรายงาน

ในรายการข่าวต่างๆ ได้เชิญนักวิจารณ์และผู้เชี่ยวชาญถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเสียงส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าผู้ตายจะรู้สึกผิดจนต้องยอมจำนน และปลิดชีวิตตัวเองในที่สุด

“มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเชื่อว่าตายไปเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาแล้วปลิดชีวิตตัวเองเพื่ออะไร ผมว่าทุกอย่างมันดูขัดแย้งกันไปหมด” นักวิจารณ์คนหนึ่งกล่าว และข้อโต้แย้งต่างๆ ก็ทำให้เกิดทฤษฎีมากมาย ที่แสดงถึงความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นการฆาตกรรม

ในส่วนโซเชียลมีเดียเองก็ลุกเป็นไฟไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทุกคนได้มีโอกาสสวมบทบาทเป็นนักสืบผ่านคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับนางทับทิม

‘ต้องถูกฆาตกรรมแน่ อาจเป็นคนมีอำนาจที่เคยตกเป็นเหยื่อและเสียเงินให้มาก่อน หรือไม่ก็โดนปิดปาก จะรู้ได้ไงว่าเป็นทับทิมตัวจริงหรือเปล่า’

ใครคนหนึ่งออกความเห็น และได้รับความนิยมจากผู้คนจำนวนมาก ส่วนบางคนก็เริ่มมีความคิดเห็นในเรื่องที่ต่างออกไป

‘เรากำลังลืมเหยื่อที่แท้จริงไปหรือเปล่า คนที่ถูกทับทิมฉ้อโกงไปเมื่อ 15 ปีก่อนยังไม่ได้อะไรคืนเลยนะ บางทีเราอาจต้องเป็นกระบอกเสียงแทนพวกเขา’

นักสืบโซเชียลต่างพากันลงรายละเอียดทุกอย่างของคดีที่พวกเขาคิดว่าเป็นไปได้ และสร้างทฤษฎีที่มีตั้งแต่น่าเชื่อถือได้มากไปจนถึงเรื่องราวแปลกประหลาด และสิ่งเหนือธรรมชาติ

แม้ความเห็นจะขัดแย้งกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ ความรู้สึกของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมได้เปลี่ยนไปแล้ว พวกเขาได้เห็นใครบางคนที่ปิดปากเงียบเพื่อปกป้องคนผิด และไม่มีคำตอบใดมาจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงเลย โศกนาฏกรรมอันน่าสลดใจของนางทับทิม คือหนึ่งในความจริงที่ผู้คนต่างเฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดจ่อ

 

และภายในห้องที่มีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟตั้งพื้นเพียงดวงเดียว เรไรกำลังนั่งอย่างเดียวดายที่เก้าอี้อ่านหนังสือ ใบหน้าของเธอบูดบึ้ง ล้อมรอบด้วยความเงียบเหงาในคอนโดฯ ของตัวเอง กับข่าวที่น่าสลดใจเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนางทับทิมตัวปลอม หรือดลพรผู้ที่เธอเห็นติดสอยห้อยตามมธุกรมาตลอด ซึ่งนั่นทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความโหดร้ายของความไม่รู้จักพอ

เสียงเคาะประตูเบาๆ ทำลายความเงียบงัน นั่นคือทิพย์ที่เข้ามาในห้อง เธอปิดประตูอย่างเงียบเชียบ ขณะที่กำลังก้าวเข้ามาหาผู้ที่อยู่มาก่อน ดวงตาของทิพย์เศร้าหมองและเป็นกังวล ต่ออาการที่เรไรกำลังเป็นอยู่

“เรย์…ฉันขอโทษนะ ถ้าฉันไปถึงที่นั่นให้ไวกว่านี้ บางทีเขาอาจจะไม่ต้องจบชีวิต” ทิพย์เริ่มด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิด

“ไม่ต้องรู้สึกผิดตอนนี้หรอกทิพย์ เราตั้งใจกันไว้แล้วนี่ว่าทุกการสูญเสียมีคนที่จะต้องชดใช้ แต่ถ้าเราทำไม่สำเร็จ เราก็คงมีจุดจบไม่ต่างจากดลพร” เรไรขัดขึ้นมาเบาๆ โดยไม่มองหน้าคนที่กำลังพูดด้วย น้ำเสียงของเธอสงบเยือกเย็นจนน่าประหลาดใจ และปราศจากการแสดงซึ่งอารมณ์ใดๆ

ขณะเดียวกันทิพย์ก็มีอาการลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดโทรศัพท์มือถือ แล้วส่งข้อความสุดท้ายของดลพรให้ดู

“ก่อนหน้าที่จะถูกจับ ดลพรเคยส่งรหัสบางอย่างให้กับฉัน และบอกว่าต้องเอาให้เรย์ให้ได้ แต่ฉันคิดว่ามันเป็นกับดักเลยไม่สนใจ จนเมื่อวานนี้เขาส่งพิกัดมา แล้วบอกว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเขา สิ่งนี้จะช่วยเราได้ ก่อนจะส่งพิกัดสุดท้ายของตัวเองมาด้วย แต่ฉันก็ไปช่วยไม่ทัน…”

เรไรมองรหัสที่ว่านั่น และรู้ได้ทันทีว่ามันคือรหัสตู้เซฟ นั่นอาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่ดลพรเก็บไว้เพื่อต่อรองผลประโยชน์ตัวเอง ทว่ามันสายเกินไปและมธุกรคงนึกไม่ถึงว่าเธอจะเก็บมันไว้

“เราต้องใช้สิ่งนี้ ดลพรอาจหนีมธุกรไม่พ้น แต่ก็ได้ทิ้งบางอย่างไว้กับเรา เรย์จะถือว่าเราเป็นหนี้เขา และจะต้องใช้มันกำจัดมธุกรให้ได้” ความมุ่งมั่นของเรไรฉายออกมาทางแววตาที่มั่นคง

“ฉันเอาด้วย…” ทิพย์พยักหน้าเห็นด้วย

ขณะที่หญิงสาวสองคนมองหน้ากัน ความตั้งใจครั้งใหม่ก็เกิดขึ้น ความสิ้นศรัทธาของพวกเธอกลายเป็นแรงขับเคลื่อนของแผนการ เติมความหวังที่จะเปิดโปงเกมอันชั่วร้ายของมธุกร และด้วยหลักฐานที่ดลพรทิ้งไว้ จะนำพาพวกเธอไปสู่เส้นทางของการให้ความเป็นธรรมกับทุกชีวิตที่ต้องจบลงเพราะมธุกร

เรไรเอื้อมมือไปแตะไหล่ทิพย์เพื่อให้กำลังใจอย่างเงียบๆ

“ไม่มีใครที่ต้องตายเปล่า ในเมื่อดลพรให้สิ่งที่เราต้องการแล้ว เราก็จะเปิดเผยความจริงของมธุกรได้” เธอพูดด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มหัวใจ

อีกชีวิตหนึ่งที่จากไปนั้นได้ทิ้งความหวังครั้งใหม่ให้กับเธอทั้งสอง เธอจะไม่ได้ต่อสู้ด้วยมือเปล่าอีกต่อไป และการลวงโลกของมธุกรกำลังเข้าใกล้จุดจบเต็มทีแล้ว

 

วันต่อมาเรไรพาพฤกษ์ไปยังจุดที่ดลพรส่งมาให้ ขณะที่ให้ทิพย์ไปสืบเรื่องการตายของดลพร สถานที่นั้นคือห้องพักห้องหนึ่งในคอนโดฯ เก่าย่านชานเมือง เมื่อเข้ามาในห้อง สายตาของพวกเขาก็มองหาตู้เซฟก่อนจะพบว่ามันถูกตั้งไว้ในตู้เสื้อผ้า เรไรรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เพราะตรงหน้าเธอนั้นคือความพยายามที่เหลือของดลพร ซึ่งหวังจะเอาชนะในเกมของมธุกรอยู่ในตู้เซฟนั้น

เรไรมองหากุญแจสำหรับเปิดตู้เซฟ จนได้เจอว่ามันอยู่ที่หลังรูปภาพที่โดดเด่นอยู่กลางผนัง เธอหยิบโลหะชิ้นเล็กไขเข้าไปในช่องกุญแจ แล้วศึกษาตัวเลขที่ส่งมาในข้อความพร้อมกับทิศทางที่ถูกต้อง จากนั้นจึงเอื้อมมือไปหมุนแป้นบนตู้เซฟ

ขณะที่มือกำลังหมุนไป เสียงคลิกอย่างสม่ำเสมอดังก้องผ่านความเงียบ แต่ละขีดสะท้อนการเต้นของหัวใจเป็นจังหวะ เมื่อถึงเลขตัวสุดท้ายก็เกิดเสียงคลิกเบาๆ และประตูตู้นิรภัยก็ถูกเปิดออก

“นี่แหละคือสิ่งที่เราต้องการ” เรไรบอกขณะที่หยิบเอกสารในตู้มาอ่าน มันคือหลักฐานการปลอมแปลงตัวตนของมธุกรที่มาดามลอร่าเก็บไว้ ซึ่งดลพรเป็นคนที่หยิบมันมาก่อนที่เธอกับพฤกษ์จะไปถึง

“เราจะทำยังไงกับมันดี”

พฤกษ์มองเอกสารด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ แต่แทนที่เธอจะตอบ เรไรกลับเพียงแค่ส่งยิ้มอย่างลึกลับให้กับเขา

“คุณอยากให้ฉันทำ หรืออยากจะทำด้วยตัวเองล่ะ”

“ผมมีวิธี และอยากทำมันเอง” เขาตอบอย่างไม่ต้องคิด เพราะไม่อยากให้เธอเอาตัวเองไปเสี่ยงอีกต่อไปแล้ว

“คุณรู้ใช่ไหมคะ ว่าใครก็ตามที่ยุ่งกับเรื่องนี้มีจุดจบยังไง”

“ผมอยากเปิดโปงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพราะคุณจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในอันตรายอีก” พฤกษ์สบตากับเธออย่างแน่วแน่

“เรย์จะไม่ยอมเสียคุณไปเด็ดขาด” แววตาของเรไรเริ่มสั่นไหว อาจเพราะเธอนั้นรู้สึกกับเขาลึกซึ้งเกินกว่าจะถอนใจตัวเองออกมาได้

“ผมรับปากว่าจะทำอย่างรัดกุมที่สุด…” พฤกษ์ตอบและเห็นสายตาประหลาดใจจากเธอ “ผมรู้ว่ามธุกรมีอำนาจแค่ไหน ถ้าเอกสารนี้หลุดไปถึงคนที่มีอำนาจ ใครบางคนอาจเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับตลอดกาล คราวนี้…เราจะเปิดโปงคนพวกนั้นด้วยวิธีที่ผมถนัด”

ดวงตาของชายหนุ่มสะท้อนความระแวงต่อระบบความยุติธรรมที่ตัวเองเคยเชื่อถือ จากการที่ทางการได้จับดลพรคราวที่แล้ว และปล่อยให้เธอออกไปตาย มันยิ่งทำให้เขาเชื่อมั่นว่ามธุกรมีเบื้องหลังที่ร้ายกาจคอยหนุนเธออยู่

เรไรได้แต่ชั่งใจกับคำพูดของเขา ช่วงเวลาแห่งความเงียบก่อตัวขึ้นมาชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอพยักหน้าในที่สุด

“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะให้คุณทำตามวิธีของคุณ แต่สัญญาว่าคุณจะต้องระวังตัวให้ดี”

“ผมสัญญาเรย์” พฤกษ์เอื้อมไปจับไหล่ของเธออย่างมั่นใจ

ทั้งสองพากันกลับออกมา หลักฐานที่ได้มามีความหมายมากมายต่อการต่อสู้ในครั้งนี้ มันคือความจริงเกี่ยวกับอาชญากรรมของมธุกร ที่ตอนนี้ได้มาอยู่ในมือและกำลังรอการเปิดเผย ภาระความรับผิดชอบนี้อยู่บนบ่าของพฤกษ์อย่างเต็มที่ เขารวบรวมเอกสารอย่างระมัดระวัง และจัดเก็บมันไว้อย่างปลอดภัย เพื่อแผนในขั้นตอนต่อไป

แม้สถานการณ์จะหนักหนาสาหัส แต่พฤกษ์ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสบายใจ เขามีเรไรซึ่งพร้อมที่จะต่อสู้ร่วมกันและมันทำให้ความสัมพันธ์ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น

“เรย์…” เขาเริ่มหันมาเผชิญหน้ากับเธอ “ผมอยากบอกคุณว่า…”

“ฉันรู้ค่ะ…” เธอมองเขาด้วยความเข้าใจ โดยไม่ต้องเอ่ยอะไรออกมาเธอก็รู้ความหมายเป็นอย่างดี ซึ่งเธอเองก็คิดเช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะบอกออกไป

“ขอบคุณครับที่คุณเข้าใจ และไว้ใจให้ผมทำ” ริมฝีปากของชายหนุ่มกระตุกเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย ด้วยความยินดีกับสิ่งที่ได้รับ

เรไรเองก็ยิ้มให้เขาเป็นการตอบแทน ขณะที่แววตาของเธออ่อนลง

“ฉันต่างหากค่ะที่ต้องขอบคุณ ยังไงก็ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ”

ไม่มีเสียงใดโต้ตอบกันอีกนอกจากรอยยิ้ม ผสานสายใยแห่งความไว้วางใจและความเคารพในการตัดสินใจระหว่างกันและกัน ในช่วงเวลานั้นทั้งสองรู้ว่าตัวเองต้องพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสิ่งที่จะตามมา

 

เวลาต่อมา ชื่อของมธุกรก็ปรากฏอยู่ทุกที่บนโลกอินเทอร์เน็ต ทั้งรูปภาพการศัลยกรรมตั้งแต่เริ่มจนเสร็จสมบูรณ์ เอกสารและหลักฐานการปลอมแปลงตัวตนใหม่ การคาดเดาถึงที่มาของประธานมูลนิธิโลกในฝัน ว่าแท้จริงแล้วเธอคือใครกันแน่ และใช่อย่างข้อมูลที่ถูกปล่อยออกมาหรือไม่

ความลับถูกเปิดเผยอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว มธุกรไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้ การแจ้งเตือนเข้ามาในโทรศัพท์มือถืออย่างไม่ขาดสาย เป็นการบอกถึงข่าวที่น่าหวาดกลัวที่สุด เธอเป็นที่จับตามองของพายุโซเชียลอย่างรวดเร็ว หัวข้อการค้นหากำลังมาแรงทุกช่องทาง รายงานข่าวด่วนทุกรายการต่างพูดถึงเรื่องนี้กันไม่หยุด

โลกออนไลน์ต่างแชร์ภาพของมธุกรขึ้นเทียบกับนางทับทิม เกิดการถกเถียงในมุมกว้างว่าเป็นความจริงหรือไม่ ไหนจะเป็นภาพการทำศัลยกรรมที่ถูกเผยแพร่ก่อนหน้า รายละเอียดทั้งหมดชี้ไปที่มธุกร แน่นอนว่าก็ยังมีคนที่เข้าข้างเธอออกมาปกป้องเช่นกัน

ในไม่ช้า หัวข้อก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องของมูลนิธิ โดยมุ่งเน้นไปที่แผนการฟอกเงินที่ต้องสงสัย บรรดาคนในสังคมออนไลน์ต่างเข้ามาเปิดเผยธุรกรรมที่คิดว่าน่าสงสัย ความสัมพันธ์ทางธุรกิจอื่นๆ ที่มีที่มาที่ไปคลุมเครือ และบัญชีต่างประเทศที่ซ่อนอยู่ ยิ่งมีการแบ่งปันข้อมูลมากเท่าไร ประชาชนก็ยิ่งเชื่อในความผิดของมธุกรมากขึ้น พอๆ กับกลุ่มคนที่ยังคงเชื่อมั่นว่าเธอเป็นคนดีมีศีลธรรม

สำนักข่าวใหญ่ทุกแห่งก็หยิบเรื่องนี้ขึ้นมา นักข่าวต่างขุดคุ้ยอดีตอันแสนคลุมเครือของเธอ การนำผู้เชี่ยวชาญมาให้ความเห็น และค้นหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้หญิงที่อยู่เบื้องหลังเรื่องอื้อฉาว คำถามเกี่ยวกับการตายของนางทับทิมถูกตั้งขึ้นมาเป็นประเด็นอีกครั้ง นำมาซึ่งความสนใจของสาธารณชนต่อคดีที่ยังไม่ได้ข้อยุติเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว

“นี่มันฝันร้ายชัดๆ”

มธุกรติดอยู่ในฝันร้ายที่ตัวเองสร้างขึ้น ทุกอย่างที่มาจากการโกหกหลอกลวงกำลังพังทลายลงต่อหน้า และผลที่ตามมาจากการกระทำก็กำลังจะจบแล้วจริงๆ งั้นหรือ กับความลับที่คิดว่าถูกฝังไปพร้อมกับความตายของผู้หญิงคนนั้น มันกำลังจะถูกเปิดเผยทีละเรื่อง และทำลายภาพลักษณ์ที่เธอสร้างมาทั้งหมดทิ้ง

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่ามธุกรจะไม่ตระหนักว่าการล่มสลายของเธอนั้นหาใช่เรื่องบังเอิญ นั่นคือการเคลื่อนไหวของใครคนหนึ่งที่พยายามจะกำจัดมาตลอด เพราะการที่มีคนรู้เรื่องนี้ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น หากมีอะไรเกิดขึ้นอีก มันจะยิ่งเติมเชื้อไฟลงไป และยิ่งส่งผลเสียให้เธอหนักกว่าเดิม

“นังเรไร ทำไมแกถึงยังอยู่อีกนะ”

โลกของเธอหมุนวนจนควบคุมไม่ได้ ความว้าวุ่นใจที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นจากพฤติกรรมของตัวเอง บ้านซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นอัครสถานที่หรูหราและสงบสุข ได้กลายเป็นโรงละครที่เต็มไปด้วยความปวดร้าว แจกันตกแต่งชั้นดีนำเข้าจากยุโรปถูกปัดลงมาแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ บนพื้นหินอ่อน แก้วคริสตัลที่บรรจุเครื่องดื่มเมื่อครู่ส่องแสงระยิบระยับขณะถูกขว้างออกจากมือ แล้วแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ภาพวาดราคาแพงถูกกรีดและฉีกทึ้งออกเป็นริ้วหาความสวยงามไม่ได้

“ฉันไม่มีวันจนตรอกเด็ดขาด ไม่มีทาง!”

มธุกรตกอยู่ภายใต้พายุอารมณ์ของตัวเอง มันคือความโกรธ ความกลัว และความสิ้นหวัง ทุกเสียงกรีดร้องคือเสียงที่แผดออกมาอย่างปวดร้าว วัตถุแตกหักทุกชิ้นเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงอารมณ์รุนแรงและหมายที่จะสู้อย่างที่สุด ตอนนี้มธุกรเป็นปีศาจร้ายที่ไม่อาจคาดเดาอะไรได้ ความเยือกเย็นและความหวาดกลัวถูกแทนที่ด้วยความแค้นต่อคนที่กล้ามาเหยียบย่ำทำลายเธอ

“แกจะไม่มีวันชนะฉันแน่ พวกแกจะต้องหายไป…”

ด้วยนิ้วที่สั่นเทา เธอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือ กดหาหมายเลขที่ต้องการจะหา เมื่อมีคนรับสายการสนทนาในแต่ละครั้งกลายเป็นการขอความช่วยเหลือที่น่าสิ้นหวัง การเรียกหาความภักดีของคนในกลุ่มเดียวกัน กลายเป็นภัยคุกคามที่ไม่มีใครอยากเอาตัวลงมาแลกด้วยทั้งนั้น

มธุกรโทร.หานักธุรกิจที่มีอำนาจ นักการเมืองผู้ทรงอิทธิพล เจ้าหน้าที่ระดับสูง ใครก็ตามที่เคยติดหนี้บุญคุณเธอ หรือใครก็ได้ที่ใช้บริการฟอกเงินสกปรกผ่านมูลนิธิ ทว่าการโทร.แต่ละครั้ง ความสิ้นหวังดูจะเพิ่มมากขึ้น เสียงของเธอสั่นด้วยความโกรธที่แทบจะเก็บเอาไว้ไม่อยู่ ขณะที่เธอตะโกนใส่โทรศัพท์ด้วยเสียงที่ดังไปทั้งห้อง

“ถ้าคุณไม่ช่วยฉัน คุณจะไม่ได้อะไรจากฉันอีก จำไว้ว่าฉันไม่เคยลืมคนที่หันหลังให้ และฉันก็ไม่รับประกันว่าสิ่งที่มีอยู่มันจะย้อนกลับไปทำร้ายคุณด้วยหรือเปล่า” เธอคำรามออกมา แววตาวาวโรจน์ลุกเป็นไฟที่โกรธจัด

ทั้งห้องเงียบสงัดเมื่อการต่อโทรศัพท์สิ้นสุดลง แต่ความเงียบไม่ได้ช่วยระงับความว้าวุ่นที่อยู่ในตัวเธอเลยแม้แต่น้อย ภัยคุกคามกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้เธอทุกขณะ ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงถึงความน่ากลัวของเกมที่เพลี่ยงพล้ำ และเธอเสียสละหมากแต่ละตัวไปด้วยความเต็มใจทั้งสิ้น



Don`t copy text!