แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฏิหาริย์ บทที่ 17 : ความจริงที่ซ่อนอยู่ (2)

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฏิหาริย์ บทที่ 17 : ความจริงที่ซ่อนอยู่ (2)

โดย : ณรัญชน์

Loading

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฏิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co

หากเปรียบอารมณ์ของกุลธิดาเป็นท้องฟ้า ขณะนี้ผืนฟ้าก็เป็นสีเข้มแจ่มจรัส มีดวงตะวันทอแสงสว่างสดใสอยู่กลางเวหา ปราศจากหมู่เมฆบดบัง แตกต่างจากวันอื่นๆ ที่ผ่านมา

เสียงเพลงวอลตซ์ที่พลิ้วแผ่วอย่างอ่อนหวานอยู่รอบกายเป็นตัวช่วยให้อารมณ์ดีกว่าปกติ นั่นก็ข้อหนึ่งละ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือชายหนุ่มที่กำลังโอบประคองพาเธอเคลื่อนไหวไปตามเสียงดนตรี

คืนนี้ธิปกยอมพากุลธิดามาเต้นลีลาศที่บางปูตามที่เจ้าตัวร้องขอ ทีแรกเขาจะพานารามาเป็นก้างขวางคอเหมือนเคย แต่กุลธิดาทำหน้าเศร้าบอกด้วยเสียงละห้อยว่า

‘วันนี้วันเกิดธิดา ขอธิดาไปสนุกกับพี่ธิปกให้เต็มที่สักวันเถอะนะคะ’

เมื่อเป็นวันเกิดของเด็กสาวและบางปูก็ไม่ได้ไกลจากพระนครนัก สามารถขับรถไปกลับได้โดยไม่ต้องค้างคืน ธิปกก็ใจอ่อนยอมพากุลธิดามาเต้นรำที่ห้องบอลรูมของโรงแรมแห่งนี้ กุลธิดาแช่มชื่นเบิกบานจนธิปกพลอยมีความสุขไปด้วย เขาจึงปล่อยให้เธอเต้นรำตามสบาย จนใกล้เวลาห้าทุ่มถึงได้พากลับ

เส้นทางขากลับไม่ถึงกับมืดสนิทเพราะสองข้างทางมีเสาไฟฟ้าให้แสงสว่างอยู่เป็นระยะ แต่ถนนว่างโล่ง นานๆ จะมีรถสวนมาสักครั้ง ขับไปได้ครู่หนึ่งธิปกก็รู้สึกว่าพวงมาลัยรถของเขาหนักผิดปกติ ตัวรถเริ่มเอียงส่ายไปมา ชายหนุ่มฝืนประคองพาหนะไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นแสงไฟจากบ้านหลังหนึ่งซึ่งสร้างอยู่ริมถนน ป้ายที่ตั้งอยู่หน้าบ้านบอกให้รู้ว่าที่นี่เป็นอู่ซ่อมรถ

ธิปกรีบพารถไปจอดหน้าอู่ จากนั้นก็ลงไปกดกริ่งเรียก ครู่หนึ่งเจ้าของบ้านซึ่งเป็นผู้ชายร่างเล็กอายุประมาณสี่สิบปีกับภรรยาก็มาเปิดประตูรับ พอรู้ปัญหาของผู้มาเยือน เขาก็กุลีกุจอหยิบไฟฉายมาส่องตรวจดูรถของธิปก

“ยางแบนน่ะคุณ คงไปทับถูกอะไรเข้า โชคดีนะที่ขับมาถึงอู่ผมพอดี ไม่อย่างนั้นคงต้องค้างกลางทาง”

เจ้าของอู่คำนวณเวลาว่ากว่าจะปะยางและเติมลมเข้าไปคงต้องใช้เวลาชั่วโมงเศษ จึงบอกให้ลูกค้าทั้งสองเข้าไปรอในห้องรับแขก ตัวเขารับกุญแจรถแล้วขับไปจอดบนพื้นที่โล่งที่อยู่ติดกับตัวบ้าน

ภรรยาของนายช่างซึ่งเป็นผู้หญิงร่างเล็กเหมือนสามีนำน้ำเย็นสองแก้วมาวางบนโต๊ะ หล่อนบอกยิ้มๆก่อนจะขอตัวไปช่วยสามีที่กำลังปะยางง่วนอยู่คนเดียว

“ดึกแล้วคุณสองคนคงจะเหนื่อย กินน้ำกินท่าให้ชื่นใจก่อนนะ”

ตอนแรกธิปกคิดว่ากุลธิดาจะไม่ชอบใจที่ต้องมานั่งจับเจ่าอยู่ในห้องรับแขกเล็กๆ ค่อนข้างเก่า มีเพียงโต๊ะและเก้าอี้สองตัว ไฟเพดานที่ไม่สว่างนักส่องให้เห็นคราบเหลืองบนผนังห้อง ดูสกปรกและอึดอัดในเวลาเดียวกัน ทว่าเด็กสาวกลับยิ้มแย้ม ไม่ได้กระฟัดกระเฟียดติโน่นตินี่อย่างในยามปกติจนชายหนุ่มอดนึกชมไม่ได้

“พี่ธิปกดื่มน้ำหน่อยสิคะ เจ้าของบ้านเขาอุตส่าห์เอามาให้” กุลธิดาส่งแก้วใบหนึ่งให้เขา นั่งมองธิปกดื่มน้ำเข้าไปเกือบครึ่งแก้วด้วยสีหน้าชื่นบาน พลางชวนคุยเสียงใส นั่งอยู่ครู่หนึ่งธิปกก็รู้สึกว่าหนังตาทั้งสองข้างหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เขาพยายามฝืนเต็มกำลังแต่สุดท้ายก็ยังผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

กว่าชายหนุ่มจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ท้องฟ้าด้านนอกก็สว่างเต็มที่แล้ว ธิปกยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเห็นว่าเป็นเวลาเกือบเจ็ดโมงเช้า ภรรยาเจ้าของอู่เดินลงมาจากชั้นบนพอดี พอเห็นชายหนุ่มหล่อนก็ยิ้มให้

“รถเสร็จแล้วนะคุณ พี่เขาเห็นว่าคุณหลับอยู่ นึกว่าคงจะเพลียเลยไม่กล้าปลุก”

เหตุผลของหล่อนฟังไม่เข้าท่าอย่างไรชอบกล แต่ธิปกไม่ได้ติดใจ เขารีบตามหญิงสาวออกไปดูรถพบว่ายางที่ชำรุดถูกปะเรียบร้อยแล้ว จึงหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาชำระเงินแล้วกลับเข้าไปปลุกกุลธิดาที่ฟุบหลับอยู่บนเก้าอี้ ก่อนจะพาขึ้นรถขับกลับไปบ้านของนายปกรณ์

อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา รถของธิปกก็แล่นเข้าไปจอดที่หน้าหน้าตึกใหญ่ สาวใช้ที่กำลังกวาดใบไม้อยู่ในสนามร้องทักทันทีที่เห็นสองหนุ่มสาว

“คุณธิปก คุณกุลธิดา หายไปไหนกันทั้งคืนคะ เขาโกลาหลกันไปทั้งบ้านแล้ว”

เสียงอุทานของแม่สาวใช้ดังลั่นไม่ต่างจากใช้โทรโข่ง พอสิ้นเสียงคนหลายคนที่นั่งรออยู่ในห้องโถงก็พร้อมใจกันกรูออกมา นายปกรณ์เป็นคนแรก ตามด้วยคุณนิพนธ์และนางเยาวเรศ พ่อและแม่ของกุลธิดา ทั้งคู่เพิ่งมาถึงบ้านนายปกรณ์เมื่อวานนี้เองเพื่อมาอวยพรวันเกิดลูกสาวโดยเฉพาะ พอเห็นกุลธิดายืนก้มหน้างุดอยู่ใกล้ธิปก นางเยาวเรศก็หน้าตึง

“ธิปก เข้ามาคุยกันในบ้านก่อนเถอะ” ธิปกเอะใจที่นายปกรณ์พูดเสียงขรึม สีหน้าแววตาเหมือนกำลังหนักใจอยู่ในที

ทุกคนเดินตามกันไปนั่งลงบนเก้าอี้ยาวในห้องรับแขก ธิปกเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จริงอยู่ที่หนุ่มสาวหายไปด้วยกันตลอดคืนอาจเป็นเรื่องไม่งามนัก แต่ธิปกเชื่อว่าทุกคนในที่นี้ไว้ใจเขามากพอที่จะไม่คิดไปในแง่อกุศล จึงไม่ได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อยเมื่อนางเยาวเรศโพล่งออกมาว่า

“จะมีเหตุผลอะไรก็ช่างเถอะ แต่ที่คุณพาลูกฉันไปค้างอ้างแรมกันสองต่อสองนี่ ลูกสาวฉันเสียหายมาก คุณจะว่ายังไง”

ชายหนุ่มอึ้งไปอย่างคาดไม่ถึง พอตั้งสติได้ก็ตอบด้วยเสียงหนักแน่น

“ผมขอยืนยันว่าผมกับคุณกุลธิดาเพียงแต่นั่งรอให้ช่างปะยางแล้วเผลอหลับไป ช่างสองคนนั้นเป็นพยานได้ ไม่มีเรื่องอะไรให้คุณกุลธิดาเสื่อมเสียหรอกครับ”

นางเยาวเรศค้อนขวับ สะบัดเสียงตอบ “ฉันไม่สนใจว่าคุณจะอ้างยังไงแต่ลูกฉันหายไปกับคุณทั้งคืน ถ้าหากคนรู้เข้ามินินทาแย่หรือ คุณทำลายชื่อเสียงลูกสาวฉันแล้วก็ต้องรับผิดชอบแต่งงานแต่งการให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นฉันไม่ยอมจริงๆ ด้วย”

ธิปกตะลึงงัน เขาหันไปมองนายปกรณ์ก็เห็นชายสูงวัยทำหน้ากระอักกระอ่วนเหมือนอยากจะช่วยแก้ต่างให้ แต่ก็พูดไม่ออกเพราะความเกรงใจคุณนิพนธ์ ทำให้เดาได้ว่าตั้งแต่ก่อนที่เขาจะกลับถึงบ้าน คุณนิพนธ์และนางเยาวเรศคงได้พูดถึงปัญหานี้ รวมถึงบทสรุปที่ต้องการกับนายปกรณ์ไปก่อนแล้ว

“ผมขอยืนยันว่าคุณกุลธิดาไม่ได้เสียหายอะไรเลย จะไปพาเจ้าของอู่ซ่อมรถมาเป็นพยานยืนยันก็ได้ ท่านจะได้สบายใจ” ชายหนุ่มพยายามหาทางออก แต่แม่ของกุลธิดาสวนกลับมาด้วยท่าทางหงุดหงิด

“จะพามาให้ได้อะไรล่ะพ่อคุ้ณ พวกนั้นมันคนบ้านนอกคอกนาเอามายืนยันไปก็เท่านั้น ใครที่ไหนจะมาเชื่อ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าลูกฉันหายไปกับคุณทั้งคืน ถ้าคนอื่นรู้เข้าใครจะมองลูกฉันในแง่ดี มีแต่จะลือกันไปทั่วสิไม่ว่า ฉันไม่ยอมให้ลูกสาวต้องเป็นขี้ปากชาวบ้านหรอกนะ”

ก็แล้วใครจะมารู้…

ธิปกอยากจะแย้ง แต่ไม่ทันนางเยาวเรศที่ส่งเสียงแจ้วๆ ยืนกรานให้เขารับผิดชอบลูกสาวให้จงได้ เหลือบมองไปที่คุณนิพนธ์ก็เห็นเขานั่งเฉย ถึงจะไม่ร่วมวงเล่นงานธิปกแต่ก็ไม่ได้ห้ามปราม กลับปล่อยให้ภรรยาเจ้ากี้เจ้าการไปตามใจชอบ

ส่วนกุลธิดานั้นเอาแต่นั่งก้มหน้า เอนตัวระทดระทวยพิงไหล่มารดาไว้ ท่าทางเศร้าสร้อยเหมือนชื่อเสียงเสียหายไปแล้วจริงๆ

ดูจากอาการแข็งขืนของธิปกก็คะเนได้ว่าชายหนุ่มคงไม่ยอมรับปากง่ายๆ นางเยาวเรศจึงหันไปเล่นงานนายปกรณ์แทน

“คุณปกรณ์ คุณเป็นผู้ใหญ่ของคุณธิปก ฉันหวังว่าคุณจะเห็นใจฉันกับคุณนิพนธ์บ้างว่าจะต้องอับอายขายหน้าแค่ไหน ถ้าคุณไม่ทำสิ่งที่ถูกต้อง ต่อไปเวลามาพระนครพวกฉันคงไม่กล้ามาค้างที่นี่อีกแล้ว เสียดายนะ เราคบหากันมาตั้งเป็นสิบๆ ปีจะต้องมาหมางใจกันเพราะเรื่องของเด็กๆ”

เจ้าของบ้านได้แต่นั่งหน้าเจื่อน จะพูดจาเข้าข้างฝ่ายไหนก็ลูบหน้าปะจมูกไปเสียหมด

นางเยาวเรศปรายตามองธิปก มีกำลังใจฮึกเหิมขึ้นมาทันทีเมื่อสังเกตว่าท่าทางหนักแน่นของเขาอ่อนลง แสดงว่านางโจมตีได้ตรงจุดแล้ว จากที่คุณนิพนธ์เคยพูดถึงชายหนุ่มไว้ นางเยาวเรศเชื่อว่าธิปกจะไม่ปล่อยให้ผู้มีพระคุณต้องมาลำบากใจด้วยเรื่องของเขาเป็นแน่

นางก็เลยรำพึงรำพันตัดพ้อนายปกรณ์ให้แรงขึ้นไปอีก

“จำได้ไหมว่าตอนที่คุณลำบากใครเป็นคนเข้ามาโอบอุ้ม คุณจะทำอย่างนี้กับพวกเราได้ลงคอหรือ”

การต่อว่าเลยเถิดไปถึงขั้นยกเอาบุญคุณที่ครั้งหนึ่งคุณนิพนธ์เคยช่วยเหลือนายปกรณ์ขึ้นมาอ้าง ทำเอาฝ่ายที่เป็นหนี้บุญคุณหน้าเสีย ธิปกจะยืนกรานปฏิเสธต่อไปก็สงสารชายชรา เมื่อสุดจะบ่ายเบี่ยงได้อีก สุดท้ายเขาก็รับปากว่าจะรับผิดชอบในตัวกุลธิดา

เป็นการรับปากที่จำยอมและฝืนความรู้สึกอย่างเห็นได้ชัด หากพ่อแม่ของกุลธิดากลับทำราวกับมองไม่เห็นเสียอย่างนั้น

พอตกลงกันได้เรียบร้อยธิปกก็ขอตัวขึ้นไปพักผ่อน เขาตรงเข้าห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนก่ายหน้าผาก ใบหน้าเครียดขรึมระคนหม่นหมองเป็นประจักษ์พยานถึงความทุกข์ที่สุมแน่นอยู่เต็มอก ชายหนุ่มไม่ได้รู้เลยว่าขณะที่เขากำลังอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจอยู่นั้น ห่างไปไม่ไกล คนหลายคนกำลังอิ่มเอิบชื่นบานจากผลงานในครั้งนี้

สองคนแรกคือผัวเมียเจ้าของอู่ซ่อมรถที่ธิปกแวะพักเพื่อปะยาง ทั้งคู่กำลังนับเงินฟ่อนใหญ่ที่ได้มาโดยแทบไม่ต้องออกแรงเลย นอกจากใส่ยานอนหลับในแก้วน้ำให้ลูกค้าชายที่แวะมากลางดึกดื่มเข้าไปเท่านั้น

กุลธิดากับนางเยาวเรศก็อยู่ในอารมณ์ลิงโลดไม่ต่างจากสองผัวเมีย นางเยาวเรศนั้นโล่งอกเป็นที่สุดที่ลูกสาวคนเล็กซึ่งนางรู้ว่าเบื่อหน่ายความเงียบเหงาของบ้านที่ลำปางเต็มทนแล้ว จะได้ย้ายมาอยู่พระนครสมดังประสงค์ โดยมีสามีที่หล่อเหลา ฐานะร่ำรวยและมีอนาคตไกลคอยดูแล ยิ่งได้เห็นกับตาตัวเองในวันนี้ว่าธิปกกตัญญูรู้คุณต่อนายปกรณ์ นางเยาวเรศก็ยิ่งมั่นใจว่าเลือกลูกเขยได้ไม่ผิด

ส่วนกุลธิดานั้นแน่ละว่าจะต้องดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้นที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่หวัง เธอนึกขอบคุณวิศรุตที่ช่วยวางแผนและเตรียมการทุกอย่าง รวมถึงเป็นคนออกเงินค่าจ้างให้เจ้าของอู่ซ่อมรถอย่างไม่เสียดมเสียดาย ตัวกุลธิดามีหน้าที่เพียงนัดแนะกับมารดา และเกลี้ยกล่อมให้ธิปกพาไปเต้นรำที่บางปูให้ได้เท่านั้น

กันต์เป็นคนสุดท้ายที่รู้ข่าวดีนี้ เขาวางโทรศัพท์จากกุลธิดาพลางนึกสมน้ำหน้าธิปกไปด้วย

กันต์ยังแค้นไม่หายที่ธิปกเปิดโปงเรื่องนายเกษม ทุกวันนี้นายมงคลลงโทษเขาด้วยการส่งคนสนิทมาควบคุมการทำงานของชายหนุ่ม จนกันต์แทบกระดิกตัวไม่ได้ แม้แต่เวลาพบกันในบ้านชายชราก็มองผ่านเขาไปราวกับไม่มีตัวตน

กันต์รู้ว่าเท่าที่นายมงคลยังยอมให้เขามีตำแหน่งในบริษัท ก็เพราะเห็นแก่บพิตร พ่อของวิศรุตเท่านั้น แต่ความรักความเมตตาที่เคยมีให้เหมือนจะสูญสลายไปเกือบหมดสิ้นแล้ว

เขาต้องอับจนอย่างนี้ก็เพราะธิปกคนเดียว ฝันไปเถอะว่าเขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่ดีมีสุขต่อไปอีก

หากแต่อารมณ์ที่ทะลักล้นขึ้นมามากที่สุด…มากมายยิ่งกว่าความสะใจหลายเท่า…คือความยินดีที่นาราจะได้เป็นอิสระ

ถึงแม้ตัวเขาจะยังมีพันธะอยู่กับรพีพรรณ แต่กันต์วางแผนไว้แล้วว่าจะสลัดหญิงสาวออกไปให้จงได้ จากนั้นเขาจะเอาชนะใจนาราแล้วครอบครองโชคลาภที่เป็นผลมาจากเลือดกรุ๊ปเอเนกาทีฟของเธอ ต่อให้เวลานี้ยังมีอุปสรรคใหญ่เรื่องตวงพร แต่กันต์เชื่อมั่นว่าเขาจะสามารถทำให้นาราอภัยให้ได้อย่างแน่นอน



Don`t copy text!