แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฏิหาริย์ บทที่ 9 : เหตุเกิดในงานเลี้ยง (1)

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฏิหาริย์ บทที่ 9 : เหตุเกิดในงานเลี้ยง (1)

โดย : ณรัญชน์

Loading

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฏิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co

เข็มกลัดอันนั้นทำเป็นรูปผีเสื้อกำลังกางปีก ตัวผีเสื้อประดับด้วยเพชรซีกสลับทับทิม มองเผินๆ ก็เหมาะกับชุดราตรีสีเลือดนกที่รพีพรรณกำลังสวมดีอยู่หรอก ติดที่ประกายเพชรและทับทิมค่อนข้างหมองบอกถึงราคาที่ไม่สูงนัก

รพีพรรณทาบเข็มกลัดกับอกเสื้ออยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจวางมันกลับคืนในกล่อง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ถ้าเป็นไปได้เธออยากซื้อเครื่องประดับชุดใหม่สำหรับใส่ไปงานเลี้ยงคืนนี้ แต่เพราะฐานะทางบ้านไม่อำนวย จึงไม่อาจทำอย่างที่คิด

ที่จริงถ้าเธอขอให้คนรักผู้ร่ำรวยซื้อเครื่องประดับให้สักชุด หรือแม้แต่หลายชุด เธอเชื่อว่าเขาจะตามใจโดยไม่ลังเล แต่เป็นตัวรพีพรรณเองที่ไม่อยากให้ชายหนุ่มมาล่วงรู้สภาพจนกรอบของครอบครัว ถึงแม้ว่าเขาจะรักเธอมาก แต่น่าจะเป็นการดีกว่าถ้าอีกฝ่ายจะเข้าใจว่ารพีพรรณยังอยู่ในฐานะเดิม

คุณวิศรุต! รพีพรรณคิดถึงชื่อนี้ด้วยความปลาบปลื้ม

วิศรุตเป็นฝ่ายเข้ามาทำความรู้จักกับเธอขณะที่รพีพรรณเรียนอยู่มัธยมปลาย กำลังสวยผ่องใสไม่ต่างจากกุหลาบแรกผลิ รูปร่างหน้าตาและคุณสมบัติหลายอย่างในตัวเขาผูกใจรพีพรรณได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญวิศรุตแสดงออกมาตลอดว่าจริงจังกับเธอ ไม่ใช่คบเพียงฉาบฉวยอย่างพวกลูกเศรษฐีที่นิยมสะสมสาวงามไว้เป็นของเล่น

หลายครั้งทีเดียวที่รพีพรรณอัศจรรย์ใจในความพลิกผันของโชคชะตา เธอยังจำได้ว่าครั้งหนึ่งคุณปู่ของวิศรุตเกือบจะหมั้นนาราไว้ให้เขา แต่ก็เกิดเหตุร้ายบางอย่างขึ้นเสียก่อนจนนายมงคลเปลี่ยนใจ เรื่องนั้นยังพานทำให้คุณพ่อโกรธเคืองแม่ของนาราจนไม่ดูดำดูดีอีกเลย กระทั่งอีกฝ่ายตายจากไปเงียบๆ ในปีถัดมา

เฮ้อ! จะเอาอะไรกับคนไร้วาสนาอย่างนารา โชคลาภอุตส่าห์มาถึงมือแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังหลุดลอยไปจนได้ ผิดกับรพีพรรณ แค่อยู่เฉยๆ ความมั่งคั่งก็ร่วงลงมากองถึงตักราวกับเป็นฝีมือจัดสรรของเทพเจ้า

รพีพรรณแค่นยิ้มด้วยความสมเพชน้องสาว แต่แล้วความอิ่มเอมทั้งหมดก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเอ็ดตะโรที่ลอยขึ้นมาจากชั้นล่าง รพีพรรณนิ่วหน้า ก้าวฉับๆ ไปเปิดแผ่นเสียงให้เสียงดนตรีช่วยกลบร่องรอยความบาดหมางที่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวันในบ้านหลังนี้

พร้อมกับความเบื่อหน่ายที่ผุดขึ้นมาในใจ ความชิงชังนาราก็แล่นพล่านตามมาติดๆ

ที่รพีพรรณต้องอัดอั้นตันใจอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะนาราหรอกหรือ หลังจากนังน้องสาวตัวแสบเร้นหายไปจากพิธีแต่งงาน คุณนายสายหยุดก็บังคับให้วรรณานำเงินที่เป็นหนี้อยู่มาคืนทั้งต้นทั้งดอก แม่ของรพีพรรณต้องขายเครื่องประดับทั้งหมด แต่ก็ยังได้เงินไม่มากพอ สุดท้ายพอจนปัญญาจริงๆ วรรณาก็ไปยืมเงินจากเพื่อนของสุพจน์ เอามาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปพลางๆ ก่อน

ขณะนั้นเหลือเวลาอีกไม่กี่สัปดาห์ คณะทำงานที่สุพจน์ร่วมทีมไปก็จะเสร็จภารกิจในต่างแดนและเดินทางกลับประเทศไทยอยู่แล้ว พอเพื่อนของเขาโทรศัพท์ทางไกลมาบอก สุพจน์ก็หูอื้อตาลาย ทั้งขายหน้าทั้งโกรธจนทนอยู่ต่อไปไม่ไหว เลยลาพักร้อนแล้วเดินทางกลับมาก่อนกำหนด พอมาถึงก็เปิดฉากทะเลาะกับภรรยาลั่นบ้าน

“โง่เง่าถูกหลอกจนหมดตัวยังไม่พอ ยังกล้าไปขอยืมเงินเพื่อนฉัน รู้ไหมว่าฉันแทบจะต้องเอาปี๊บคลุมหัวอยู่แล้ว ชื่อเสียงเกียรติยศที่ฉันสร้างมาหลายสิบปีบรรลัยหมดเพราะแม่แกคนเดียว” เขากระแทกเสียงใส่รพีพรรณที่เข้ามาห้ามทัพ

ความแค้นเคืองของสุพจน์มีด้วยกันสามประการ เกียรติยศหน้าตาในสังคมที่เขายึดถือนักหนานั่นก็เรื่องหนึ่งละ แต่อีกประการหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันและทำใจได้ยากยิ่งกว่าก็คือเงินก้อนใหญ่ที่วรรณาเสียไปนั้น เป็นจำนวนถึงสองในสามของสมบัติที่เขามีอยู่เลยทีเดียว

ยังดีที่เขาเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีเงินเดือนและบำนาญมากพอจะเลี้ยงครอบครัวต่อไปได้ แต่จะให้โอ่อ่าเท่าเมื่อก่อนนั้นเห็นจะไม่มีหวังเสียแล้ว คิดถึงจุดนี้ขึ้นมาทีไรสุพจน์ก็เดือดดาลจนแทบกระอักเลือด

ส่วนความโกรธาประการที่สามได้แก่เรื่องของลูกสาวคนเล็ก ถึงเขาจะไม่ได้เอาใจใส่นารานัก เรียกได้ว่าแทบจะไม่เหลียวแลมาหลายปีแล้ว แต่อย่างไรก็ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนหนึ่งอยู่นั่นเอง

“ก่อนฉันไปเธอรับปากว่าจะดูแลนาราแทนฉัน ทำไมลูกจะแต่งงานทั้งทีเธอถึงไม่ส่งข่าวให้ฉันรู้ แสดงว่านาราไม่เต็มใจแต่งงานแต่ถูกเธอบังคับใช่ไหม”

“ฉันไม่ได้คิดร้ายกับแม่นาราเลยนะคะคุณ” วรรณาแก้ตัว “ฉันเห็นพ่อวิฑูรย์เป็นลูกเศรษฐี นาราแต่งไปก็จะสบาย ถึงได้อยากให้รีบแต่งก่อนที่ผู้หญิงอื่นจะมาคว้าไป แม่นาราต่างหากถ้าไม่ชอบพ่อวิฑูรย์ก็น่าจะบอกกันดีๆ เล่นหนีไปกลางงาน หักหน้าฉันกับคุณสายหยุดเสียไม่มีชิ้นดี ทางนั้นเขาถึงได้โกรธมาก เลยทวงหนี้จนเราเดือดร้อน”

“ก็แสดงว่าเอาลูกฉันไปใช้หนี้ พูดมาตรงๆ เถอะ” สามีทุบโต๊ะเปรี้ยง “ก่อนทำเธอคิดถึงชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของฉันบ้างไหม ถ้าคนอื่นรู้ว่าลูกสาวฉันถูกจับแต่งงานกับลูกชายเจ้าหนี้เพราะแม่เลี้ยงไม่มีปัญญาหาเงินมาคืนเขา ชาวบ้านจะนินทากันว่าอย่างไร ชื่อเสียงปู่ย่าตายายฉันป่นปี้หมดเพราะเธอคนเดียว”

วรรณาร้องไห้โฮ หมดปัญญาจะหาคำแก้ตัวจึงต้องปล่อยให้สามีด่าว่าโดยไม่ตอบโต้ หลังจากนั้นบรรยากาศในบ้านก็อึมครึม นายสุพจน์มึนตึงกับภรรยาตลอดเวลา เขาแทบไม่เคยอยู่บ้านแม้แต่ในวันหยุด ถ้ากลับมาก็หาเรื่องทะเลาะกับวรรณาทุกครั้ง รพีพรรณแสนจะเบื่อหน่ายที่ต้องคอยปลอบโยนยามมารดาร้องไห้คร่ำครวญ และลึกๆ แล้วเธอก็อดที่จะประณามในความผิดพลาดของวรรณาไม่ได้

แต่เมื่อไม่อยู่ในฐานะจะตำหนิผู้ให้กำเนิด รพีพรรณก็เอาความผิดทั้งหมดมาโยนให้นาราที่เธอถือว่าเป็นคนสร้างปัญหาขึ้น

จะไม่ใช่ได้อย่างไร…ถ้าเพียงแต่นารายอมเข้าพิธีวิวาห์ไปซะ เรื่องทุกอย่างก็จะคลี่คลาย ไม่ใช่เดือดร้อนจนมองหน้ากันไม่ติดไปทั้งบ้าน

รพีพรรณสาบานว่าจะไม่ยอมให้นารามีความสุขเป็นอันขาด งานเต้นรำคืนนี้จะเป็นหลุมฝังศพของน้องสาว ให้ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกเลย!

 

งานราตรีสโมสรคืนนั้นจัดขึ้นที่บ้านคหบดีท่านหนึ่ง เพื่อเลี้ยงต้อนรับลูกชายซึ่งเพิ่งคว้าปริญญาโทกลับมาจากเมืองนอก บังเอิญว่าลูกสาวเจ้าของบ้านเป็นคนมีเพื่อนฝูงมากจึงจัดเป็นงานเต้นรำเสียเลย เพื่อให้หนุ่มๆ สาวๆ ได้มาร่วมสนุกกัน

เจ้าของงานโทรศัพท์มาเชิญธิปกด้วยตัวเองและขอให้เขาพานารามาเป็นเกียรติกับงานด้วย

“ลูกสาวผมชื่นชมคุณนารามาก พอรู้ว่าผมรู้จักกับคุณธิปก แกก็มาอ้อนวอนให้ผมขอร้องคุณให้พาคุณนารามาด้วย เอาเป็นว่าผมจะรอต้อนรับพวกคุณทั้งสองคนนะครับ”

กันต์มาร่วมงานพร้อมกับรพีพรรณซึ่งงดงามอยู่ในชุดราตรีสีเลือดนก แต่งหน้าจัดกว่าปกติเพื่อให้เหมาะสมกับงานกลางคืน รพีพรรณจะอารมณ์ดีเสมอเวลาได้ออกงานสังคมพร้อมกับคนรักซึ่งเป็นหนุ่มรูปงาม มีฐานะดี มีนามสกุลใหญ่โตเป็นที่รู้จักในพระนคร

มีชายหนุ่มหลายคนมาโค้งขอรพีพรรณเต้นรำแต่กันต์ปฏิเสธไปทุกราย ท่าทางหวงแหนออกนอกหน้าจนหญิงสาวอดภูมิใจไม่ได้ ตั้งแต่คบกันมา ‘คุณวิศรุต’ แสดงให้ประจักษ์มาตลอดว่าเขายกย่องเธอไว้เป็นคนพิเศษที่สุด ยิ่งเห็นสายตาริษยาของผู้หญิงในงานรพีพรรณก็แช่มชื่น พอจะบรรเทาความกดดันที่ต้องผจญอยู่ทุกวันนี้ออกไปได้บ้าง

เต้นรำกับคนรักจนจบเพลงกันต์ก็พารพีพรรณมานั่งจิบเครื่องดื่ม พบกมลเนตรที่มาพร้อมเพื่อนชายคนหนึ่ง กมลเนตรพยักพเยิดไปทางฟลอร์ กระซิบว่า

“แม่นารามาแล้ว กำลังเต้นรำกับคุณธิปกอยู่นั่นไง”

รพีพรรณมองร่างโปร่งระหงในชุดสีครีม ที่กำลังเคลื่อนตัวไปตามจังหวะเพลงอยู่ในอ้อมแขนของธิปก ถ้าเป็นวันอื่นเธอคงหงุดหงิดเมื่อได้เห็นหน้าตาผ่องใสอิ่มเอิบบอกถึงชีวิตผาสุกของน้องสาว แต่ยามนี้รพีพรรณเพียงแต่มองเลยไปอย่างหมั่นไส้เล็กน้อย ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดเข้ากับเด็กสาวอีกคนหนึ่งที่กำลังถลึงตาจ้องนาราอยู่เช่นกัน

กุลธิดาบังเอิญได้ยินธิปกบอกนายปกรณ์ว่าได้รับเชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยงที่บ้านคหบดีท่านหนึ่ง พอรู้ว่าจะมีการเต้นรำกุลธิดาก็ร่ำร้องขอมาด้วย แต่ถูกปฏิเสธอย่างสุภาพ

‘ไม่ได้หรอกครับ เจ้าของบ้านเจาะจงเชิญนาราให้ไปกับผม และผมก็รับปากไปแล้วด้วย’

กุลธิดาวาดภาพชายหนุ่มลอยละล่องอยู่บนฟลอร์กับแม่รองนางงามที่เธอหมั่นไส้ ก็ร้อนผ่าวไปทั้งตัว จึงไปอ้อนวอนนายปกรณ์ว่าอยากไปร่วมสนุกบ้าง นายปกรณ์สงสารลูกสาวเพื่อน ประกอบกับตัวเขารู้จักกับเจ้าภาพอยู่แล้ว ถ้าจะส่งกุลธิดาไปร่วมยินดีในนามตนเองก็สามารถทำได้โดยไม่น่าเกลียด เลยโทร.ไปสั่งนายสราวุธ ซึ่งเป็นทนายความที่สำนักงานดูแลผลประโยชน์ให้พาเด็กสาวไปงานเลี้ยง กำชับให้คอยดูแลอย่างดีอย่าให้เกิดเรื่องจนกว่าจะกลับ

เมื่อกุลธิดามาถึงงาน วงดนตรีกำลังบรรเลงเพลงวอลทซ์อยู่พอดี เธอรีบกวาดสายตามองหาธิปก ขัดใจที่เขากำลังเต้นรำกับนาราอย่างที่คิดไว้ กระนั้นพอได้เห็นหนุ่มสาวกำลังลีลาศกันอย่างสนุกสนาน กุลธิดาก็ตื่นเต้น จึงยอมส่งมือให้สราวุธพาขึ้นไปร่วมสนุกโดยไม่อิดออด

ธิปกแอบมองเงียบๆ เห็นกุลธิดายิ้มชื่นบานสลับกับหัวเราะไม่ขาดปาก ก็นึกเอ็นดูความไร้เดียงสาของสาวน้อย นารามองภาพเดียวกับเขาแล้วเอ่ยเสียงเบา

“เธอน่ารักนะคุณ เห็นอย่างนี้แล้วฉันทำร้ายจิตใจเธอไม่ลง หรือเราจะล้มเลิกแผนการดี ค่าจ้างฉันไม่เอาก็ได้”

ธิปกส่ายหน้า “ผมเห็นคุณกุลธิดาเป็นน้องสาว ไม่อยากให้เธอถลำลึกมากไปกว่านี้ ตอนนี้เธอยังไม่คิดอะไรกับผมมากนัก รีบให้เธอตัดใจก่อนนี่ละดีแล้ว”

เพลงวอลตซ์เนิบช้าเปิดโอกาสให้นาราสังเกตสิ่งรอบตัวได้ง่ายกว่าละตินที่ต้องคอยนับจังหวะทุกย่างก้าว เพียงไม่นานเธอก็เหลือบไปเห็นรพีพรรณ ประกายร้อนผ่าวเหมือนมีไฟคุอยู่ในจากดวงตาของอีกฝ่ายบอกความชิงชังอย่างแจ่มชัด

นาราหันไปคุยกับธิปก “พี่รพีคงหาโอกาสเล่นงานฉันอยู่ ติดว่าที่นี่คนเยอะไม่อย่างนั้นคงเข้ามาต่อว่าฉันแล้ว”

“ตั้งแต่หนีออกมาในวันแต่งงาน คุณไม่ได้พบพี่สาวคุณอีกเลยหรือ”

“พี่รพีเคยมาหาฉันที่สำนักพิมพ์ แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะถูกฉันตอกกลับว่าคุณแม่ใหญ่ติดหนี้คุณนายสายหยุดพะเรอเกวียนจนต้องจับฉันไปใช้หนี้ สองแม่ลูกนี่รักหน้าตาจะตายไปเลยกลัวคนจะได้ยินเข้า แต่ฉันรู้ว่าพี่รพีผูกใจเจ็บฉันอยู่ มีโอกาสเมื่อไรเขาต้องเล่นงานฉันแน่”

ภาพหนุ่มสาวที่กำลังโอบประคองกันพลางพูดจากระซิบกระซาบเหมือนอยู่ในโลกส่วนตัวเพียงลำพัง เมื่อมองจากสายตาของคนนอกก็ดูราวกับทั้งคู่ใกล้ชิดกันมาก กุลธิดาเห็นเข้าพอดี ฉับพลันอารมณ์รื่นเริงก็หายวับไม่ต่างจากดอกไม้ที่ถูกราดด้วยน้ำเดือด เธอรีบผละจากคู่เต้นรำปรี่ไปหานาราด้วยสีหน้าของเด็กเอาแต่ใจ แต่สราวุธที่ถูกนายปกรณ์กำชับมารั้งแขนไว้ได้ทัน

“อย่าครับคุณธิดา คนเยอะแยะประเดี๋ยวจะดูไม่ดีนะครับ”

ขณะเดียวกันธิปกก็กระชับเอวบางของคู่เต้นรำของเขาให้แน่นเข้า ก้มลงกระซิบข้างหู

“คุณธิดามองเราอยู่ ยิ้มหวานๆ นะคุณ แล้วก็มองผมเหมือนมองคนรักด้วย”

นารายืนตัวแข็ง เธอไม่ชินกับการถูกเนื้อต้องตัวเลยเริ่มยิ้มไม่ออก “เอาจริงหรือ ไม่ต้องแสดงละครแนบเนียนนักก็ได้มั้ง”

ธิปกบอกเรียบๆ “เราต้องทำให้สมจริงสิ คุณเป็นผู้หญิงที่ผมชอบแล้วคุณเองก็ชอบผมด้วย จะให้เต้นรำห่างกันเป็นวาได้หรือ ไม่ต้องเป็นห่วงผมไม่คิดจะล่วงเกินคุณหรอก”

เรื่องนั้นนารารู้ ถึงเขาจะกระชับอ้อมแขนเข้ามาแต่สัมผัสที่แตะอยู่รอบเอวหรือแม้แต่มือที่จับกันไว้ไม่ทำให้เธอรู้สึกถึงการฉวยโอกาสเลยแม้แต่น้อย

เอาน่ะ! ไหนๆ ก็รับปากทำงานให้เขาแล้ว นาราตัดสินใจคลี่ยิ้ม ปล่อยให้ธิปกพาหมุนตัวไปตามจังหวะเพลง เธอเรียนเต้นรำตั้งแต่เป็นน้องใหม่ในมหาวิทยาลัย แต่ก็หัดตามคำชวนของเพื่อนไปอย่างนั้น แทบไม่มีโอกาสได้เต้นจริงสักครั้ง จึงเต้นได้ไม่คล่องนัก

ครั้งหนึ่งระหว่างหมุนตัวหญิงสาวบังเอิญก้าวคร่อมจังหวะจนเสียหลักเกือบจะล้ม โชคดีที่มีวงแขนแข็งแรงช่วยดึงไว้ ร่างที่กำลังเซเลยซบลงไปบนอกธิปเต็มรัก

นาราหน้าแดงรีบยืดตัวขึ้นตามเดิม “ฉันปล่อยไก่ออกไปทั้งเล้า มีใครเห็นบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้” เธอกระซิบบอกเขา

“คนอื่นเขามัวแต่เต้นรำ ไม่มีใครทันมองคุณหรอก” ธิปกปลอบ ใบหน้าคมสันนิ่งเฉยเป็นปกติ แต่นาราเอะใจที่ใบหูสองข้างของเขาแดงก่ำ ซ้ำเมื่อครู่ตอนที่แก้มทาบกับอกเสื้อ เธอรู้สึกว่าหัวใจของขายหนุ่มเต้นรัวเป็นตีกลอง ราวกับกำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่ก็ไม่ปาน

หรือเขาจะเป็นโรคหัวใจ เอ…ไม่ยักเคยได้ยินคุณปกรณ์พูดถึง

คู่เต้นคู่อื่นๆ อาจไม่ทันสังเกตความผิดพลาดของนาราอย่างที่ธิปกว่า แต่ไม่ใช่กุลธิดา เพราะเด็กสาวคอยชำเลืองมองธิปกอยู่แล้ว พอเห็นภาพนั้นกุลธิดาก็หมดอารมณ์จะเต้นรำต่อ เลยเดินกระแทกเท้าลงจากฟลอร์ไปนั่งหน้าบึ้งอยู่ด้านล่าง หารู้ไม่ว่าทุกอิริยาบถอยู่ในสายตาของรพีพรรณกับกมลเนตรที่คอยจับตาอยู่

ดูจากสีหน้าเจ็บช้ำ น้อยใจ ริษยาที่สาวน้อยแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ต่อให้คนปัญญาตื้นแค่ไหนก็เดาได้ว่ากุลธิดาจะต้องทั้งเกลียดทั้งแค้นนาราจับขั้วหัวใจเลยทีเดียว

คนแบบนี้สิถึงจะเป็นประโยชน์กับแผนการที่วางไว้…

 



Don`t copy text!