ปอบผีสาว

ปอบผีสาว

โดย : ทรรศิตา

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

เรื่องนี้พ่อของผู้เล่าได้เล่าให้ฟังเมื่อหลายปีมาแล้วก่อนที่ท่านจะเสียไป แต่ผู้เล่ายังจำได้ไม่ลืม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวที่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมผู้คนบ้านเมืองยุคเก่าและวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยนั้น  นอกจากจะมีความจริงใจ ความซื่อตรง ความเป็นนักเลงลูกทุ่ง ความสนุกสนานแล้ว เรื่องราวที่แปลกประหลาดลึกลับก็ดูน่ากลัวชวนขนลุกไม่ต่างกัน 

พ่อเล่าให้ฟังว่า ในช่วงวัยหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่าปี พ่อได้ไปตกหลุมรักสาวต่างบ้านนางหนึ่งซึ่งอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งอันห่างออกไปอีกฟากของทุ่งกุลาต้องข้ามห้วยข้ามทุ่งไปไกลพอสมควร สาเหตุที่พ่อผู้เล่าได้ไปรู้จักกันนั้น เพราะพ่อและเพื่อนหนุ่มๆอีกสี่ห้าคนในหมู่บ้านได้ไปเที่ยวงานบุญของหมู่บ้านดังกล่าว งานช่วงกลางคืนได้มีหมอลำมาแสดงจนรุ่งเช้า  แต่พอช่วงดึกจนถึงเที่ยงคืนชาวบ้านส่วนใหญ่มักจะเริ่มทยอยกันกลับบ้านเรือนของตนเป็นบางส่วน พ่อของผู้เล่ากับเพื่อนๆ ก็เช่นกัน ขณะที่เดินออกจากวัดระหว่างทางได้พบกับสาวชาวบ้านนางหนึ่งเดินฝ่าความมืดกลับเพียงลำพัง พ่อจึงถามว่า “จะไปไหนรึ น้องสาว?” นางหันมาตอบอย่างอายๆว่า “จะกลับบ้านจ้ะ” พ่อถามต่อว่าบ้านอยู่ไหน นางชี้บอกว่าอยู่ท้ายหมู่บ้านเดินไปอีกไม่ไกลนัก  พ่อกับเพื่อนๆ เลยตกลงกันว่าจะไปส่ง เพราะเป็นห่วงที่เดินกลับกลางคืนเพียงคนเดียว

เมื่อไปถึงบ้านของหญิงสาว ซึ่งอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน พ่อผู้เล่าสังเกตว่า บ้านของหญิงสาวนางนั้นเป็นเรือนไม้อีสานแบบเก่า ตั้งอยู่กลางดงไม้ใหญ่ นางบอกว่าอยู่กับแม่เพียงสองคน และได้ชวนพ่อและเพื่อนๆ ขึ้นไปบนเรือน พลางหาพานยาสูบยาเส้นมามวนให้สูบ ตักน้ำตักท่ามาให้กิน  นางหน้าตาสะสวยกิริยาท่าทางดูเรียบร้อยเป็นที่ถูกอกถูกใจพ่อมาก จนระหว่างทางกลับบ้าน พ่อได้บอกกับเพื่อนๆ ของตนว่าจะจีบเอามาเป็นเมียให้ได้ ซึ่งเพื่อนๆ ของพ่อทั้งหมดก็เห็นดีด้วย

ตั้งแต่นั้นมา เมื่อถึงช่วงมืดค่ำลงหลังจากทำธุระการงานที่บ้านเสร็จแล้ว พ่อก็จะเดินลัดทุ่งกุลาข้ามห้วยไปหาหญิงสาวนางนั้นที่หมู่บ้านเป็นประจำทุกวัน และจะกลับมาบ้านตนเองอีกทีก็เกือบเที่ยงคืน หลายครั้งตอนขากลับ หญิงนางสาวนั้นมักบอกว่า “เดี๋ยวตามไปส่ง” แล้วก็หัวเราะ แต่ก็ไม่เคยทำดังที่ปากว่านอกจากยืนมาส่งตรงรั้วบ้าน  พ่อเวียนไปหาหญิงสาวนางนั้นจนเกือบเดือน จนปู่และย่าสังเกตเห็นว่า พ่อมีอาการใจลอย ๆ และซูบผอมลง จึงลองถามเพื่อนๆ ของพ่อดู พอได้ทราบเรื่องราวชัดเจนปู่จึงได้มาถามความจริงจากปากพ่อในวันหนึ่งต่อมา เมื่อปู่ถามว่าจนรู้แน่แก่ใจว่า เป็นหญิงสาวลูกสาวบ้านใด เรือนชานอยู่ที่ใดแล้ว  ปู่ก็ห้ามพ่อว่า “อย่าไปอีกนะถ้าไม่อยากตาย!” พ่อตกใจถามปู่ว่า  “ทำไมหรือพ่อ?” ปู่ตอบว่า

“คนในบ้านนั้นเป็นปอบทั้งแม่ทั้งลูก!”

ปู่จึงให้พ่อลองสังเกตดูว่าทำไม ชาวบ้านเขาจึงไม่ให้แม่ลูกคู่นี้อยู่ในหมู่บ้านด้วย ก็เพราะเป็นปอบนั้นเอง ทั้งคู่ได้ไปกินเป็ดกินไก่ชาวบ้านจึงเป็นที่รังเกียจจนถูกเขาไล่ออกไปอยู่นอกหมู่บ้าน

แรกๆ พ่อยังไม่เชื่อคำบอกของปู่ตามนิสัยของพ่อ คือ ถ้าไม่เห็นกับตาไม่ว่าสิ่งใดจะไม่ยอมเชื่อเด็ดขาด ปู่จึงให้พ่อพิสูจน์โดยให้สังเกตตอนขากลับมาบ้านว่า เมื่อเดินออกมาจากเรือนของหญิงสาวนางนั้น ให้ลองหันหลังกลับไปดูว่ามีหมาดำเดินตามมาด้วยหรือไม่ และเมื่อมาถึงทางเข้าหมู่บ้านเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง  พ่อจึงลองมานั่งคิดทบทวนตามคำที่ปู่บอกก็ถึงกับขนลุก เพราะเคยสังเกตว่า หลายครั้งที่เดินออกจากบ้านหญิงสาวนางนั้นมา มักจะมีหมาสีดำตัวค่อนข้างใหญ่ตามหลังมาด้วยจริงๆ เมื่อถึงช่วงข้ามห้วยหมาสีดำตัวนั้นก็จะลอยข้ามตามหลังมาด้วย จนกระทั่งถึงดงตาลปากทางเข้าหมู่บ้าน ก็มักจะมีเสียงหมาภายในหมู่บ้านออกมาเห่าหอนรับทุกครั้ง แต่พ่อกลับไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก คิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา

พ่อจึงตัดสินใจว่าจะพิสูจน์อีกครั้งในคืนนี้ หากเป็นจริงชัดเจนตามที่ปู่ว่า ก็จะยอมตัดใจจากหญิงสาวนางนั้น

ค่ำนั้นก่อนพ่อจะลงจากบ้านเพื่อไปหาหญิงสาว ปู่ได้นำห่อผ้าสีขาวห่อของบางอย่างมาให้พ่อ เมื่อเปิดออกดูก็พบว่าเป็นว่านชนิดหนึ่งขนาดเท่าหัวแม่มือพันด้วยด้ายสายสินจน์เก่า ปู่บอกว่า “เมื่อตอนขากลับคืนมาหมู่บ้าน ถึงเวลาจะข้ามห้วยขอให้แก้ห่อผ้านี้ทิ้งหัวว่านลงในน้ำห้วยแล้วรีบข้ามมา ขณะข้ามก็ห้ามหันหลังกลับไปดูเด็ดขาด ไม่งั้นปอบจะตามมาถูกเรือน!”

เมื่อไปหาหญิงสาวชาวบ้านในคืนวันนั้น ก่อนจะกลับพ่อเล่าว่า เหมือนนางจะรู้อะไรสักอย่าง จึงพยายามชวนพ่อให้ค้างคืนด้วย หากพ่อปฏิเสธและแกล้งพูดว่า “จะให้คนเฒ่าคนแก่มาสู่ขอตกลงแต่งงานเสียก่อนจึงจะยอมนอนด้วย” นางก็ไม่ว่าอะไร ทั้งเดินตามมาส่งที่ประตูบ้านเหมือนอย่างเคย เมื่อเอ่ยลาพ่อรีบเดินออกมาอย่างเร่งรีบ เมื่อหันกลับไปดูอีกครั้งก็ต้องแปลกใจ เพราะหญิงสาวนางนั้นได้หายไปแล้วอย่างรวดเร็ว และเมื่อเดินพ้นออกมาจากหมู่บ้าน ก็สังเกตเห็นว่ามีหมาสีดำตัวเดิมเดินตามมาอีกแล้วจริงๆ คราวนี้ตัวยิ่งโตขึ้นกว่าเดิม โตมากจนขนาดเท่าลูกวัวกันเลยทีเดียว พ่อบอกว่าขนลุกและสั่นไปทั้งตัว กลัวก็กลัวแต่ก็ทำเป็นใจกล้าทั้งเดินทั้งวิ่งจนมาถึงลำห้วย

ขณะที่ข้ามห้วยอยู่พ่อได้แก้ห่อผ้าของปู่ออกและทิ้งว่านลงในน้ำลำห้วยทันที และรีบข้ามห้วยมาไม่ยอมหันกลับหลังไปดู พ่อบอกว่า เสียงหมาดำตัวนั้นมันร้องโหยหวนทั้งขู่คำรามเสียงดังอยู่อีกฟากห้วยเพราะข้ามมาไม่ได้ จนกระทั่งเสียงเงียบไปเมื่อพ่อเดินเข้ามาถึงหมู่ของตน และนับตั้งแต่นั้นมาพ่อของผู้เล่าก็ไม่เคยเฉียดเข้าไปใกล้ในบ้านนั้นอีกเลย จนถึงทุกวันนี้

Don`t copy text!