ร่างวิญญาณ

ร่างวิญญาณ

โดย : ทรรศิตา

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

ในชุมชนท้องถิ่นชาวเขมรของผู้เล่ามีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า คนที่กำลังจะตายวิญญาณมักจะออกจากร่างเพื่อไปหาญาติพี่น้องผู้ที่จิตยังผูกพันอยู่หรือไปกระทำกิจอะไรสักอย่างที่จิตยังห่วงหาพะวงอยู่ ดังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้

ป้าเลียง ตื่นแต่เช้ามืดเพราะตั้งใจว่าจะไปหาบเอาฟืนที่ได้ผ่าจากตอไม้แห้งแล้วทิ้งตากไว้กลางทุ่งนาโคกตั้งแต่เมื่อวาน ทุ่งนาโคก ที่ว่านี้อยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านซึ่งต้องเดินข้ามถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 219 ขึ้นไปอีกฟาก ที่เรียกว่าโคกเพราะเป็นพื้นที่สูงไม่ค่อยมีน้ำ ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงใช้ปลูกพืชสวนพืชไร่มากกว่าทำนา และใช้เป็นที่เลี้ยงวัว ควาย มากกว่า ทั้งยังมีป่าไม้ขึ้นเต็มเป็นบางแห่งจึงเป็นที่เก็บผักหักฟืนของชาวบ้านแถบนั้น

เช้ามืดวันนั้น ป้าเลียงได้ออกจากหมู่บ้านไปทุ่งนาโคกดังกล่าว เมื่อไปถึงกองฟืนที่ผ่าไว้ก็รีบมัดด้วยเชือกที่เตรียมมา ในขณะที่มัดอยู่ตาก็บังเอิญเหลือบไปเห็นร่างเงาดำตะคุ่มๆ ร่างหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก อยู่ตรงเนินหัวนาถัดไปนี่เอง ซึ่งเนินหัวนาที่ว่านี้เป็นนาของยายเรืองที่กำลังป่วยนอนติดเตียงอยู่  ยายเรืองแกเป็นคนขยันมากที่สุดในหมู่บ้าน เนินหัวนาของแกนอกจากมีเถียงนา มีต้นหว้าที่ออกลูกดกทุกปีแล้ว ยังแวดล้อมไปด้วยพืชผักสวนครัวทั้งข่า ตะไคร้ ใบแมงลัก กะเพรา โหระพา พริก มะเขือ ปลูกเต็มไปหมดทั้งเนิน ยายเรืองจึงได้เก็บทั้งกินทั้งขายไม่มีอดอยาก และแกก็ดูจะหวงสวนครัวนี้มากนักหนา วันๆ นอกจากนำวัวมาล่ามเลี้ยงไว้ในนาแล้ว แกก็จะมานั่งอยู่กับเนินสวนครัวนี้ทั้งวัน ป้าเลียงยืนเพ่งดูจนแน่ใจว่าเป็นยายเรืองแน่ๆแล้วจึงตะ โกนถามไปว่า

“ยายเรืองทำอะไรอยู่ หายป่วยแล้วหรือ?”

แต่ร่างนั่นก็ดูจะไม่สนใจ กลับก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงกลางเนินสวนนั้นเหมือนกำลังดายหญ้าอยู่ ป้าเลียงแปลกใจหากสงสัยว่ายายเรืองแกคงจะไม่ได้ยินจึงตะโกนถามซ้ำไปอีกครั้ง แต่ร่างนั้นก็ยังคงเฉยเหมือนเดิมอยู่ ป้าเลียงจึงยกหาบฟืนขึ้นบนบ่า แล้วเดินตรงไปหาร่างนั้นในขณะที่เดินปากก็ตะโกนถามต่อไปอีกว่า

“ยายเอ้ย! หายป่วยใหม่ๆ ทำไมไม่พักผ่อนให้แข็งแรงก่อน จะออกมาโคกมานาทำไม เดี๋ยวป่วยหนักเป็นอะไรไปอีกจะลำบากลูกหลานเขานะ!”

พอพูดมาถึงตรงนี้ป้าเลียงก็ชะงักเท้าหยุดกึก เหมือนนึกอะไรสักอย่างขึ้นมาได้จนขนลุกซู่เย็นวาบไปทั้งตัว ขาแข็งทื่อจนแทบจะก้าวไม่ออก พอตั้งสติได้แกก็รีบหาบฟืนเดินจ้ำอ้าวผละออกไปทันที ใจเต้นสั่นระรัวแทบจะทะลุออกมานอกอก

ใช่แน่ๆ ต้องใช่แน่ๆ! แกคิด

แล้วสิ่งที่ป้าเลียงคิดอยู่นั้นก็เป็นจริงดังที่คาดคิดไว้เมื่อมาเจอ ตาหมาน ซึ่งกำลังจูงวัวข้ามถนนมาอยู่ เมื่อเห็นป้าเลียง ตาหมานก็พูดเสียงดังว่า

“นังเลียง นี่เอ็งจะหาบฟืนไปเผาเอ็งเหรอ!” เท่านั้นแหล่ะ ป้าเลียงก็ทิ้งฟืนที่หาบมาลงข้างถนนทันที เพราะตามคติความเชื่อของชาวบ้านแถบนั้น หากมีคนตายในหมู่บ้าน ต้องหยุดกิจกรรมทุกอย่างจนกว่าจะเผาศพเสร็จ

“ยายเรืองใช่ไหม? “ป้าเลียงตามตาหมานทันทีจนตาหมานแปลกใจ

“ใช่ เมื่อสักครู่นี่เอง ก่อนข้าจะออกมาประทัดยังไม่ได้จุดเลย” สิ้นเสียงตาหมาน ทั้งคู่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเสียงประทัดดังขึ้นจากภายในหมู่บ้าน

“นั่นไงเขาจุดแล้ว…ว่าแต่…เอ็งรู้ได้ยังไง” ตาหมานสงสัย

“จะไม่รู้ได้ยังไง เมื่อกี้ฉันยังเจอยายเรืองอยู่โนนเถียงนาแกอยู่เลยเรียกเท่าไหร่ ยายแกก็ไม่หันมา!”

พูดจบป้าเลียงก็รีบเดินข้ามถนนหลวงทันที พอๆ ตาหมานรีบดึงวัวข้ามถนนกลับคืนเช่นเดียวกัน

“สายๆ ค่อยออกมาอีกทีดีกว่า” ตาหมานว่าแล้วก็ตาลีตาลานดึงวัวรีบตามป้าเลียงเข้าหมู่บ้านไป

ในหมู่บ้านของผู้เล่าเชื่อกันว่า คนที่ตายไปโดยไม่รู้ตัวหรือตายแบบจิตไม่สงบจะไม่รู้ว่าตนเองได้ตายไปแล้ว จนกว่าจะครบสามวันเจ็ดวันหรือจนกว่าจะได้ยินประทัดหรือพระสวดครบสามครั้ง คือวันที่ตาย วันที่เผาและวันที่เก็บกระดูกอัฐิ ดังเช่นวิญญาณของยายเรือง

 

Don`t copy text!