ฝุ่นในสายลม บทที่ 24 : เรื่องของจิม

ฝุ่นในสายลม บทที่ 24 : เรื่องของจิม

โดย : ม.มธุการี

Loading

ฝุ่นในสายลม โดย ม.มธุการี เรื่องราวของลัทธิประหลาดกับความเชื่อของคนที่กระตุ้นสัญชาตญาณนักข่าวของภาวิน เขาจึงแฝงตัวเข้าไปสืบความลับของลัทธินี้ แต่ตัวคนเดียวอาจทำไม่สำเร็จ มีเพียงฝนดาว หญิงสาวที่สูญเสียญาติสนิทไปกับลัทธินี้ที่อาจจะช่วยเขาไขปริศนาอันดำมืดนี้ได้ อ่านนิยายสนุกๆ เรื่องนี้ได้ที่เพจอ่านเอาและเว็บไซต์ anowl.co

 

ผมชื่อจิมนะครับ ก็อย่างที่บอกไป อาชีพที่ทำอยู่ตอนนี้ คือกำลังวิจัยฝุ่นครับ ภาษาชาวบ้านก็คือเตะฝุ่นน่ะเอง

มีเสียงหัวเราะครื้นเครงตามมา

“ประสบการณ์ของผมอาจจะไม่เหมือนกับทุกคนเสียทีเดียว คือปกติแล้วผมก็ไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องพวกนี้เอาเลย คิดเสมอว่าคนพวกนี้เพี้ยนสุดๆ จนวันหนึ่งผมไปได้เพื่อนบ้านที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาใหม่ เป็นผู้ชายชาวต่างชาติครับ ผิวขาวเหมือนกระดาษเลย และรูปร่างสูงใหญ่ สูงกว่าผมเกือบครึ่งเท่าเพราะปกติผมก็เป็นคนสูงอยู่แล้ว เขามีพฤติกรรมแปลกๆ คือชอบส่องกล้องดูเพื่อนบ้าน ทุกวันผมจะเห็นเขาส่องกล้องดูบ้านโน้นทีบ้านนี้ที แล้วกล้องของเขาก็เป็นกล้องส่องทางไกลที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยเหมือนกัน

วันหนึ่งผมมีโอกาสได้พูดคุยกับเขา เพราะเขามาด้อมๆ มองๆ ส่องบ้านผมอยู่ ผมแนะนำตัวไปและเขาก็บอกว่า เขาชื่อโพซิดิน มาจากเมืองอัลเวร่า ประเทศทารอส ผมก็สงสัยว่าเมืองนี้มันอยู่ที่ไหนแน่ เขาก็อึกอัก ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปบนฟ้า ผมก็ไม่ว่าอะไร นึกในใจว่านายนี่สงสัยจะไม่เต็มร้อยแน่ แต่ผมสนใจกล้องส่องทางไกลที่เขามีมากกว่า ก็เลยขอเขาดู ถามว่าซื้อจากที่ไหน เขาก็ว่าโลกเรานี่ไม่มีขายหรอก แล้วสาธิตให้ผมดู มันเป็นกล้องเล็กๆ ที่มหัศจรรย์มาก เพราะเวลาส่องดู เราจะมองเห็นทะลุเข้าไปถึงโครงสร้างของวัตถุนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้านคน รถรา หรือแม้กระทั่งตัวคนเรา เพราะเวลาส่องดูตัวคนที่เดินผ่านไปมา ผมจะเห็นโครงกระดูกในตัวเขาเลยนะ รวมทั้งอวัยวะทุกส่วนตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย เหมือนกับกล้องเอกซเรย์นั่นแหละ ผมตกใจเลยถามเขาว่าเทคโนโลยีกล้องถ่ายรูปตอนนี้ไปได้ถึงขั้นนั้นแล้วหรือ แล้วมันทำอะไรได้อีก เขาก็กดปุ่มและบอกผมว่า ผมสามารถส่องไปไกลสุดขอบจักรวาลเลย ผมมองดูก็แทบช็อกเพราะเห็นตามนั้น จริงๆ ผมเห็นไกลไปถึงจุดเริ่มต้นของบิ๊กแบง เหมือนมันมาลอยอยู่ต่อหน้าผมเลย ผมก็ถามเขาว่ามันทำได้ยังไงกัน เขาก็ว่าเป็นเทคโนโลยีพิเศษที่ยังไม่มีในโลกนี้ ผมก็ว่างั้นเขาเอามาจากไหนกัน ทีแรกเขาก็ไม่ยอมตอบ จากนั้นก็ถามว่าแล้วเขาจะไว้ใจผมได้มากแค่ไหนกัน ผมก็บอกว่าผมไม่มีพิษมีภัยอะไรกับเขาหรอก ผมแต่อยากรู้เท่านั้น เพราะผมก็อยากได้กล้องแบบนี้เหมือนกันถ้าเขาจะขาย ทีแรกผมคิดว่ามันเป็นผลผลิตขององค์การใต้ดินอะไรสักอย่างและเขาก็กลัวว่าผมจะเอาไปเปิดโปงให้ทางเจ้าหน้าที่รู้

พอผมยืนยันแบบนั้น เขาก็สารภาพกับผมว่า จริงๆ แล้วเขาไม่ใช่มนุษย์ในโลกนี้หรอก แต่เขามาจากต่างดาวนะ ผมก็คิดว่าไอ้นี่บ้าแน่เลยเว้ย กรูไม่พูดด้วยแล้ว เขาก็ย้ำว่ามันเป็นเรื่องจริง เขามาจากต่างดาวกับโครงการหนึ่ง ที่เรียกว่าทารอส ดาวที่เขาอยู่ชื่อว่าดาวทารอส มันอยู่ในกลุ่มกาแล็กซีแอนโดรมิดา โครงการของเขาต้องการเผยแพร่วัฒนธรรมไปทั่วจักรวาล และได้เดินทางไปหลายแห่งแล้วในกาแล็กซีของเรานี่ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี

ตอนนี้เขามาอยู่ที่เมกานี่เอง โดยมีฐานตั้งอยู่ที่นั่นจากการยินยอมของเมกา ตามโครงการเพื่อการแลกเปลี่ยนประชากร ตอนนี้มีทูตทั้งหมดร่วมสองร้อยคน กระจัดกระจายกันทั่วไปเพื่อศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์ให้ได้มากที่สุด จากนั้นเขาก็ให้ผมส่องกล้องดูไกลไปถึงดาวดวงที่เขาอยู่ และขยายให้เข้ามาใกล้ ผมเห็นดาวสีฟ้าสีเหมือนน้ำทะเลของเรานี่แหละ แต่ฟ้าจัดมากกว่าและสวยงามมาก บ้านเมืองที่นั่นสร้างจากหินควอตซ์หลากสี ตั้งแต่สีขาวไปจนถึงสีครบทั้งเจ็ดสี มนุษย์ที่นั่นเป็นมนุษย์ควอตซ์ และเขามีน้ำเพียงเล็กน้อยตามขั้วโลกเท่านั้น ที่เหลือเป็นควอตซ์ทั้งหมด

เขาบอกว่าโลกเรากำลังพัฒนาไปถึงจุดนั้นเหมือนกัน คือน้ำทะเลจะลดลงไปในอีกไม่นานนัก เช่นเดียวกับสภาวะน้ำในร่างกายของคนเราที่จะเปลี่ยนแปลงไป ระบบเทคโนโลยีของเราจะก้าวกระโดด และระบบคอมพิวเตอร์ของเราจะไปถึงจุดที่เขากำลังเป็นอยู่ ผมลองส่องกล้องไปที่ตัวเขาเพราะไม่เชื่อเลยในสิ่งที่เขาพูด แล้วผมก็แทบช็อก เพราะในตัวเขาผมไม่เห็นเครื่องในอะไรเหมือนของเราเลย แต่มันเป็นคอมพิวเตอร์ทั้งดุ้น เขาเลยบอกผมว่า ใช่แล้ว เขาคือหุ่นยนต์คอมพิวเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้น ในสภาพที่เป็นอมตะ และเขาก็ครองโลกของเขามานานแล้ว นับตั้งแต่มนุษย์คนสุดท้ายได้ตายไป”

ภาวินหันมองไปทุกดวงหน้าที่นั่งล้อมวงกันอยู่ที่นั่น แต่ละคนนั่งฟังกันตาใส และตบมือเกรียวกราว หลังจากที่ฝ่ายนั้นจบเรื่องราวมดเท็จเรื่องนี้ลงในที่สุด

มีคนหนึ่งยกมือถาม

“แปลกประหลาดมากนะครับเรื่องนี้ แล้วคุณมีโอกาสได้พบชายคนนี้อีกรึเปล่า รึว่ากลับต่างดาวไปแล้ว”

“ก็คงจะแบบนั้นแหละครับ เพราะผมก็ไม่เจอเขาอีกเลย มีคนใหม่ย้ายเข้ามา และเขาก็หายไปอย่างเงียบๆ ผมไม่แน่ใจว่ามีใครเคยเจอเขา และมีประสบการณ์อะไรแบบนี้กันมั่งรึเปล่า”

 



Don`t copy text!