สาดกรด พ่นสี ฉี่ใส่ วีรกรรมของมนุษย์บ๊องที่จ้องจองเวรศิลปะ  

สาดกรด พ่นสี ฉี่ใส่ วีรกรรมของมนุษย์บ๊องที่จ้องจองเวรศิลปะ  

โดย : ตัวแน่น

Loading

นอกจาก นิยายออนไลน์ สนุกๆ แล้ว อ่านเอา ยังมีคอลัมน์ ‘หลงรูป’ บทความแสดงมุมมอง เล่าเรื่อง บอกต่อ สารพัดความรู้และเรื่องราวใน แวดวงศิลปะ โดย ตัวแน่น ที่อยากแนะนำให้คุณได้ อ่านออนไลน์

…………………………………………………………………………

 

“ในโลกที่เบี้ยวๆ บูดๆ ของเราใบนี้

มนุษย์บ๊องที่จ้องจะระบายอารมณ์ด้วยการทำลายผลงานศิลปะนั้น…

มีอยู่เป็นเบือ”

 

เมื่อครึ่งศตวรรษที่แล้ว ในปี พ.ศ. 2514 หนังสือพิมพ์ทุกฉบับในเมืองไทยต่างพาดหัวข่าวการแสดงผลงานศิลปะของ ถวัลย์ ดัชนี ที่จัดขึ้นที่สำนักกลางนักเรียนคริสเตียนอย่างครึกโครม ในเนื้อข่าวไม่ได้ชื่นชมหรือเชิญชวนให้ไปชมแม้แต่น้อย แต่ทุกสำนักพร้อมใจกันรุมด่าทั้งผลงานทั้งคนวาดซะเละตุ้มเป๊ะไม่มีชิ้นดี แถมระหว่างการแสดงยังมีนักเรียนวัยรุ่นเอาคัตเตอร์มากรีดทำลายผลงานของถวัลย์จนพังพินาศด้วยเหตุผลประหลาดๆ

ในโลกที่เบี้ยวๆ บูดๆ ของเราใบนี้ มนุษย์บ๊องที่จ้องจะระบายอารมณ์ด้วยการทำลายผลงานศิลปะนั้นมีอยู่เป็นเบือ ไม่ใช่เฉพาะถวัลย์เท่านั้นที่เจอ ยกตัวอย่างเช่น ‘โมนาลิซ่า’ ภาพวาดที่ดังที่สุดในโลกฝีมือ ลีโอนาร์โด ดาวินชี สมบัติของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ในกรุงปารีส ก็มีคนพยายามจะทำลายมาตั้งหลายหน เช่นเมื่อปี พ.ศ. 2499 มีผู้ไม่หวังดีอุตริเอาน้ำกรดไปสาดทำให้สีลอกหลุดไปบางส่วน จนต้องระบายสีทับใหม่ และหลังจากนั้นในปีเดียวกันก็มีคนเอาหินไปปาใส่ทำให้สีกะเทาะออกมา จนต้องส่งซ่อมอีกที พิพิธภัณฑ์เห็นท่าไม่ดีมีคนมาจองเวรโมนาลิซ่าต่อๆ กัน ขืนปล่อยไว้แบบนี้มีหวังไม่รอดแน่ๆ เลยทำกระจกกันกระสุนมาปิดไว้ด้านหน้า ถือว่าคิดถูกเพราะหลายปีต่อมามีทั้งคนเอาสีสเปรย์ไปฉีด มีทั้งคนปาแก้วกาแฟใส่ แต่โมนาลิซ่าก็ยังนั่งยิ้มแฉ่งอยู่ได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล

“กิเลส ตัณหา” พ.ศ. 2512

เทคนิค ปากกาลูกลื่นบนกระดาษ ขนาด 108 x 79 เซนติเมตร 

ศิลปิน ถวัลย์ ดัชนี 

 

อีกตัวอย่างหนึ่งเป็นผลงานศิลปะชิ้นสำคัญที่เก็บรักษาไว้ในมหาวิหารนักบุญเปโตรแห่งนครรัฐวาติกัน ถ้าเดินเข้าประตูหน้าแล้วมองไปทางขวาจะเห็นฝูงฝรั่ง ไทย จีน แขก ยืนมุงดูอะไรอยู่สักอย่าง ถ้าแหวกฝูงชนที่กำลังยืนตะลึงงันอยู่ในภวังค์เข้าไปได้ก็จะเห็น ‘ปีเอตะ’ หินอ่อนแกะสลักรูปพระแม่มารีย์ประคองพระศพของพระเยซู หนึ่งในผลงานศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุดของไมเคิลแองเจโล ผลงานชิ้นนี้งดงามอย่างไม่มีที่ติจนมีคนสงสัยกันว่าอาจจะไม่ได้ทำขึ้นโดยมนุษย์ แต่เป็นฝีมือของเทวดาหรือไม่ก็มนุษย์ต่างดาว ว่ากันไปนู่น ปีเอตะเคยโดนคนปีนขึ้นไปเอาค้อนทุบพร้อมกับตะโกนเป็นภาษาฝรั่งที่แปลเป็นไทยได้ว่า ‘ข้าคือพระเยซูที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย’ พฤติกรรมแบบนี้ไม่ต้องให้หมอที่ไหนวินิจฉัยก็ฟันธงได้เลยว่าบ้าชัวร์ กว่าจะจับพี่แกลงมาส่งศรีธัญญาสาขาวาติกันได้ รูปสลักปีเอตะก็บิ่นไปเป็นร้อยจุด ต้องซ่อมกันอยู่นานเกือบปี

นอกจากของสวยๆ งามๆ ในสไตล์คลาสสิก ศิลปะสมัยใหม่หน้าตาประหลาดก็ยังไม่รอดน้ำมือมนุษย์บ๊องที่คิดมิดีมิร้าย ‘เดอะฟาวเท่น’ ผลงานศิลปะแนวคอนเซ็ปชวลที่นำโถฉี่มาวางกลับหัวของ มาร์แซล ดูชองป์ เจ้าพ่อแห่งศิลปะแนวนี้ คงจะกระตุ้นสัญชาตญาณการขับถ่ายเป็นอย่างดี เลยเคยมีคนจัดแจงฉี่ใส่อยู่หลายหน แค่ฉี่ยังพอไหวเอาผ้ามาเช็ดออกได้ แต่ที่แย่กว่านั้นคือวันหนึ่งในปี พ.ศ. 2549 มีคนเอาค้อนมาทุบจนบิ่น พอโดนจับก็อ้างเหตุผลว่า มาร์แซล ดูชองป์ ที่เสียชีวิตไปนานแล้วอยากให้ทุบ อารมณ์ประมาณร่างทรงบ้านเราดีๆนี่เอง ฟังดูแล้วจะบ้าตาย

 

บทความจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ที่เผยแพร่ในปี พ.ศ. 2514

(ภาพจากหนังสือ ตำนานชีวิตของช่างวาดรูป ผู้ใช้โลกเป็นเวที ถวัลย์ ดัชนี)

 

มนุษย์บ๊องประเภทที่ไม่ได้ตั้งใจจะสร้างความเสียหาย แต่ดันดวงจู๋นั้นก็มี เช่นเมื่อปี พ.ศ. 2550 มีหญิงสาวนางหนึ่งไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ในประเทศฝรั่งเศส ขณะเดินชมเกิดถูกใจภาพวาดโดย ไซ ทวอมบลี เลยเดินเข้าไปจูบซะฟอดใหญ่ทิ้งรอยลิปสติกไว้บนภาพ ทางพิพิธภัณฑ์พยายามจะล้างร่องรอยแห่งความรักออกจากภาพวาดมูลค่าร้อยกว่าล้านบาทชิ้นนี้ให้ได้แต่ก็ไม่เป็นผล รอยจุ๊บยังอยู่ชัด ในที่สุดเจ้าของรอยจูบที่ตราตรึงจึงถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายโดยศาลตัดสินให้เธอจ่ายค่าชดใช้ประมาณหนึ่งล้านบาท ถือเป็นการจูบที่แสนแพง

อีกเหตุการณ์ที่เป็นข่าวดังไปทั่วโลก และยังคงเป็นตำนานเล่าขานกันไม่รู้จบ เกิดขี้นเมื่อปี พ.ศ. 2549 สตีฟ วินน์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน เจ้าของธุรกิจกาสิโน เจรจาตกลงขายภาพวาดที่มีชื่อว่า ‘รา แลฟ’ ฝีมือ ปาโบล ปีกัสโซ ได้ในราคาประมาณเกือบๆ 4,800 ล้านบาท ให้กับผู้ซื้อชื่อ สตีเวน โคเฮน ผลงานชิ้นนี้เป็นภาพที่ปีกัสโซวาด มาเรีย เตเรส วอลแตร์ กิ๊กสาววัยละอ่อน ที่ปีกัสโซแอบคบไม่ให้เมียรู้ แต่ในที่สุดก็ความแตก และก็พาให้บ้านแตกไปด้วย

 

ผลงานของ ถวัลย์ ดัชนี ที่ถูกกรีดทำลาย 

(ภาพจากหนังสือมนุษย์ต่างดาว ถวัลย์  ดัชนี)

 

ก่อนที่จะส่งมอบรา แลฟ ให้กับเจ้าของใหม่ เฮียสตีฟดีใจจัดงานเฉลิมฉลองเชิญแขกเหรื่อและนักข่าวมายกใหญ่ และแล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น สตีฟเสียหลักเอาข้อศอกไปโดนภาพปีกัสโซที่ตั้งอยู่กลางงานจนขาดทะลุเป็นรูโบ๋ พาเอางานกร่อยคว้ายาดมกันแทบไม่ทัน พอภาพพังคนซื้อก็ขอยกเลิก สตีฟต้องจำใจส่งภาพ รา แลฟ ไปซ่อมและเก็บไว้ดูเอง เรื่องดังกล่าวดูคลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าสตีฟกับข้อศอกพันล้านนี้จะดวงกุด

แต่คนมันจะรวยช่วยไม่ได้ อีก 7 ปีให้หลัง สตีเวนคนเดิม คนที่เคยเกือบจะซื้อภาพนี้ไป คงจะยังไม่หายคัน กลับมาขอซื้อภาพรา แลฟ ฝีมือปีกัสโซที่ซ่อมเสร็จแล้วนี้ในราคาราวๆ 5,300 ล้านบาท ยอมจ่ายแพงกว่าตอนก่อนพังอีก 500 กว่าล้านหน้าตาเฉย

ย้อนกลับมาที่เรื่องของ ถวัลย์ ดัชนี เหตุผลที่ภาพวาดของท่านถูกกรีดทำลายในครั้งนั้นก็เพราะความเข้าใจผิด ผลงานชุดที่นำไปจัดแสดงมีภาพเศียรพระพุทธรูปลอยอยู่เหนือสัตว์ประหลาด ผู้ชายกล้ามใหญ่ยืนล่อนจ้อน มีหัวเป็นเจดีย์บ้าง มีหัวเป็นหลังคาวัดบ้าง ผู้หญิงแก้ผ้านั่งสยายผม และพระสงฆ์ที่ถือตาลปัตรรูปลูกกะตา เนื้อหาดูสุ่มเสี่ยงเช่นนี้เลยถูกนักข่าวที่ไม่เข้าใจคอนเซ็ปต์กระพือข่าวให้เกิดเป็นกระแสกระจายออกไปว่าถวัลย์กำลังดูหมิ่นพระพุทธศาสนา หารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้วถวัลย์นั้นเป็นชาวพุทธที่ศึกษาพระธรรมจนแตกฉาน ถวัลย์มีความคิดที่ว่าถ้าวาดแค่รูปวัด รูปพระ และรูปคนแห่แหนกันมากราบไหว้บูชานั้นดูจะง่ายและตื้นเขินเกินไป เลยคิดจะพยายามวาดหลักคำสอนให้ออกมาเป็นภาพแทน ภาพชุดนี้ที่วาดออกมาจึงตั้งใจจะสื่อถึงความดีและความชั่วอันเป็นนามธรรมให้ออกมาเป็นรูปธรรม พระ และศาสนสถานที่ดูงดงามนั้นเปรียบเสมือนความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ส่วนสัตว์ร้ายและชายหญิงแก้ผ้าที่ดูโจ๋งครึ่มนั่นเปรียบเสมือนกิเลสตัณหาที่คอยแต่จะมายั่วยุ วาดให้คนดูเปรียบเทียบกันเอาเองว่าอยากจะเลือกดำเนินชีวิตให้สูงขึ้นหรือต่ำลง

 

ผลงานของ ถวัลย์ ดัชนี ที่ถูกกรีดทำลาย 

(ภาพจากหนังสือ ตำนานชีวิตของช่างวาดรูป ผู้ใช้โลกเป็นเวที ถวัลย์ ดัชนี)

 

พอมีคนมาดูแต่ดูไม่รู้เรื่อง แล้วตีความกันไปเองในทางลบก็เลยเลอะเทอะกันไปใหญ่ นักข่าวหาว่าถวัลย์เป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์หัวรุนแรงที่จ้องจะทำลายศาสนาพุทธ เพราะเลือกแสดงผลงานที่สำนักกลางนักเรียนคริสเตียน แถมนักข่าวช่างสังเกตยังเคยเห็นถวัลย์ใส่เสื้อยืดที่มีรูปหน้าพระเยซู ว่ากันไปต่างๆ นานาโดยไม่รู้เลยว่าสมัยที่ถวัลย์เพิ่งเรียนจบกลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ ไม่มีเงินพอจะไปเช่าห้องหับอยู่อาศัย สำนักกลางนักเรียนคริสเตียนแห่งนี้แหละที่ให้ห้องพักเป็นที่ซุกหัวนอนแบบฟรีๆ แลกกับการช่วยสร้างผลงานศิลปะไว้ประดับอาคาร เขาใจกว้างไม่ได้มีกฎว่าต้องนับถือศาสนาคริสต์เท่านั้นถึงจะไปนอนได้ เพราะฉะนั้นถวัลย์จึงคุ้นเคยและมีสัมพันธ์ที่ดีกับสถานที่แห่งนี้

ส่วนเสื้อยืดรูปหน้าผู้ชายหนวดเฟิ้มที่ถูกหาว่าเป็นรูปหน้าพระเยซูนั้นจริงๆ แล้วเป็นรูป ‘เช กูวารา’ นักปฏิวัติชาวคิวบา คนเดียวกับที่สิงห์รถบรรทุกบ้านเราชอบเอามาทำเป็นลายบังโคลนรถ ไม่เห็นจะเหมือนพระเยซูตรงไหน

แต่ว่าไปแล้วเรื่องนี้ถ้ามานั่งคิดกันให้ดีในแง่บวก การที่ถวัลย์ถูกประโคมข่าวออกไปอย่างนั้น ทำให้ท่านโด่งดังเป็นพลุแตกในชั่วข้ามคืน สร้างโอกาสให้ได้พิสูจน์จุดประสงค์และความสามารถที่แท้จริง เพราะหลังจากการแสดงผลงานที่อุตส่าห์จัดแสดงในเมืองไทยบ้านเกิดเมืองนอนของท่านแท้ๆ กลับไม่ได้รับการยอมรับ แถมโดนเพื่อนร่วมชาติบุกเหยียบย่ำทำลายอีก ถวัลย์เลยตัดสินใจบากหน้าออกตระเวนแสดงผลงานไปทั่วโลกจนเป็นที่นิยมในระดับสากล พอเห็นฝรั่งเขาเข้าใจและเชิดชู คนไทยเราจึงเลิกก่นด่าและหันมาชื่นชมแทน รู้ตัวช้าไปนิดแต่ก็ยังดีกว่าไม่รู้ตัวเลยเนอะ

Don`t copy text!