พี่เจนนี่แอนด์ขี้คันคาก

พี่เจนนี่แอนด์ขี้คันคาก

โดย : เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้

Loading

“อเมริกันคัน” เรื่องราวเกี่ยวกับอเมริกาในบางแง่มุมในอเมริกาที่หลายคนไม่เคยรู้หรือเคยรับรู้มาบ้าง แต่อาจมองไม่เห็นภาพรวมชัดเจน เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้ เจ้าของคอลัมน์ที่เขียนลงในต่วยตูนมาถึง 10 ปี นำมาเขียนเล่าสู่กันฟังแบบสนุกๆ เหมือนการเล่าให้เพื่อนฟัง โดยคงบุคลิก “ต่วยตูน” ดั้งเดิมเอาไว้คือสาระและบันเทิง

จะว่าไปแล้วฉันค่อนข้างโชคดีที่เจอคนไทยใจดีในเมืองที่อาศัยอยู่ มากกว่าจะเจอแสบสารพัดพิษเหมือนคนไทยบางคน ที่เจอความเลวร้ายจากเพื่อนร่วมชาติด้วยกันในอเมริกา หลายเรื่องที่เพื่อนๆ เล่าสู่กันฟังล้วนแล้วแต่ชวนสยองด้วยกันทั้งสิ้น ราวกับว่าคนไทยน้ำใจดีในอเมริกาหาได้น้อยเต็มที เหมือนเป็นที่รู้กันถ้วนทั่วว่าคนไทยในอเมริกา หากไม่อิจฉาด่ากันเองก็แทงข้างหลังเหวอะหวะ เป็นที่น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงสำหรับน้องใหม่ในอเมริกาทุกคน

จะว่าไปแล้วคนดีและไม่ดีมีอยู่ทั่วโลกนั่นแหละ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนไทยบนแผ่นดินไทยหรือคนไทยในอเมริกาหรอก ถือเป็นเรื่องปกติที่ชีวิตเราต้องผ่านพบ จึงตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าไม่ว่าคนไทยเหล่านั้นมีอุปนิสัยใจคออย่างไร เราต่างคือเพื่อนร่วมชาติทั้งสิ้น หนักนิดเบาหน่อยให้เอาหูไปนาเอาตาไปไร่บ้างก็สิ้นเรื่อง เพื่อขจัดความขัดแย้งระหว่างกัน

สังคมคนไทยเป็นชุมชนเล็กๆ เกาะกลุ่มกันอยู่หลวมๆ ตามเมืองและรัฐต่างๆ เมืองไหนที่มีคนไทยเยอะ อาจจะมีเรื่องเล่ายาวหน่อย บางเมืองมีคนไทยไม่มากนักก็อาจจะมีเรื่องปวดหัวแค่เล็กน้อย แล้วคนไทยแต่ละรายมีนิสัยแตกต่างกันออกไป บางรายก็น่ารักเสียจนแทบจะกราบ แต่บางรายก็ร้ายจนซาตานยังหลบ

อย่างไรเสียคนไทยควรจะคบหาเพื่อนคนไทยในต่างแดนไว้บ้าง เพราะฝรั่งนั้นต่อให้สนิทยังไงก็คุยกันได้ไม่แซบไม่นัวเหมือนคนไทยเราเว้ากันเอง อย่าว่าแต่ฉันเลยที่คิดแบบนี้ คนไทยที่อยู่อเมริกายาวนาน 20-30 ปีก่อนหน้าฉันก็คิดแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ

ไม่ใช่ว่าชาติเรากระจอกจนคบหาสมาคมกับนานาชาติไม่ได้ แต่เพราะคนไทยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบประหลาดๆ ค่อนไปทางตามใจตัวเองเล็กน้อย เลยทำให้จับกลุ่มกันเป็นกลุ่มก้อน ไม่เชื่อไปดูในแอลเอได้เลย คนไทยอยู่กันอย่างหนาแน่นถึงขั้นเปิดเป็น ‘ไทยทาวน์’ อาหารการกินที่นั่นพรั่งพร้อมบริบูรณ์ราวกับอยู่เมืองไทย ฟังแล้วให้อิจฉาเหลือกำลัง!

แถวบ้านย่านอินดิแอนานี่ช่างหนาวโหดร้ายแสนสาหัส ผักหญ้าอะไรแทบจะไม่ตกถึงท้อง กะเพรานี่ไม่เคยเห็นมาชาติหนึ่งแล้ว เพราะฉะนั้นการได้กินผัดกะเพราหมูสับสักจานเปรียบเหมือนการได้ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั่นเอง แม้แต่ผักบ้านๆ อย่างผักบุ้งหรือตำลึงอย่าได้พูดถึงเพราะไม่มีจะกิน นั่นคือประเด็นหลักที่ทำให้คนไทยไกลบ้านลงมือปลูกผักกินเองขมีขมันทุกช่วงหน้าร้อน

เรื่องการคบหาเพื่อนคนไทยในอเมริกายังเกี่ยวโยงไปถึงปัญหาปากท้องด้วยอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเกิดเป็นคนไทยแล้วต้องกินข้าว จะล่อขนมปังทุกมื้อก็ไม่ไหว ข้าวหอมมะลิแสนอร่อยจากแผ่นดินแม่นี่แหละคือที่พึ่งสุดท้ายของเหล่าคนไทยในต่างแดน การไปกินข้าวที่ร้านอาหารรึก็แพงสาหัส ซ้ำเป็นอาหารไทยที่กลายพันธุ์แล้ว คือเป็นอาหารไทยที่ถูกดัดแปลงให้ถูกลิ้นฝรั่งมากกว่า อย่าได้ถามหารสชาติดั้งเดิมแบบไทยๆ การได้เจอเพื่อนคนไทยที่ดีถือเป็นสิ่งประเสริฐสุด เพราะคนไทยในเมืองคือที่พึ่งในการทำกับข้าวแลกกันกินยามไกลบ้านห่างเมืองเกิดนั่นเอง

ช่วงที่ไปถึงอเมริกาใหม่ๆ ไม่มีเพื่อนคนไทยเลยแม้แต่คนเดียว แม่สามีคงสงสาร แนะให้ไปคุยกับเพื่อนของแม่ที่โบสถ์ เพราะเพื่อนคนนี้สอนภาษาอังกฤษให้คนไทยคนหนึ่ง การเรียนภาษาอังกฤษฟรีตามโบสถ์คือการเรียนการสอนแบบให้เปล่า มักสอนเฉพาะคนต่างชาติที่ไม่มีทักษะความรู้ทางภาษาอังกฤษเลย ซึ่งการเรียนแบบนี้มีทั้งหลักสูตรของรัฐและของทางโบสถ์แต่ละแห่ง กรณีพี่คนไทยรายที่ว่าอยู่ในข่ายนี้ จึงต้องไปเรียน เพราะไม่มีทักษะเพียงพอในการพูด อ่านและเขียนภาษาอังกฤษ

ฉันได้เบอร์โทรศัพท์ของสาวไทยคนนี้ แล้วโทรไปบอกว่า ถ้าวันไหนพี่เจนนี่ (ชื่อไทยของนางชื่ออะไรไม่รู้ แต่นางบอกว่าให้เรียกว่าพี่เจนนี่) อยากแวะมาหา ให้มาหาที่ตลาดซึ่งฉันเปิดร้านขายของอยู่

“พี่เจนนี่” เป็นสาวไทยร่างบึกบึน ตัวดำเป็นเหนี่ยง แต่งหน้าจัด ปากแดงหนาลอยเด่นมาแต่ไกลแบบข้ามถนนแล้วรถไม่ชนแน่นอน เพราะนึกว่าไฟแดง หน้าตาแข็งโกกเหมือนกะเทยตกยาก เดินบั้นท้ายกระเด้งไปกระเด้งมา พอเห็นฉันนั่งหน้าตาบอกยี่ห้อว่าเป็นคนไทยอยู่กลางตลาดก็ปราดเข้ามาทักทันที

“เห้…”

ว่าแล้วก็โบกมือหยอยๆ โชว์ขนจั๊กกะแร้หย่อมน้อยๆ อืมมม์… ไอ้คำว่า “เห้” นี่ พี่เค้าตั้งใจจะพูดเป็นภาษาฝรั่งหรือภาษาไทยกันล่ะ… ชักไม่แน่ใจ จากนั้นแกก็พูดๆๆๆๆๆๆ น้ำไหลไฟดับ สรุปได้ความว่าพี่เจนนี่เคยทำอาชีพพิเศษที่พัทยา ฝรั่งอเมริกันรายหนึ่งเกิดติดอกติดใจเลยเหน็บกลับมาที่นี่ด้วย แต่สามีอย่างเป็นทางการของพี่เจนนี่ไม่ใช่คนปัจจุบันนี้หรอก กลับเป็นฝรั่งอีกคนหนึ่ง ซึ่งพี่เจนนี่พูดหน้าตาเฉยว่า

“พี่หย่ากับไอ้คนแรกน่ะ เพราะมันหัวล้าน”

เออ… เหตุผลพี่เจนนี่ประหลาดใช้ได้นะ หย่าผัวฝรั่งเพราะหัวล้าน… ถ้าอย่างงั้นทำไมไม่แต่งกับฮิปปี้ล่ะ พี่ รับรองผมดกปรกไปถึงหลังกันทุกคน สามีคนล่าสุดเป็นถึงระดับผู้จัดการโรงงาน พี่เจนนี่เลยอยู่ดีกินอร่อยตั้งแต่นั้นมา ยอมรับว่าคุยกับพี่เจนนี่แล้วปวดหัวมาก เพราะนางพยายามสปีคอิงลิชกับฉันแทบทุกประโยค เช่นฉันถามว่าเป็นไงบ้างวันนี้ แกตอบว่า

“ฮ๊ายยย… วันนี้ ฟิลด์ แบด ฟิลด์ แบด มากๆ .”

อ๋อ… พี่เค้าบอกว่าเค้าอารมณ์ไม่ค่อยดีน่ะ… ว่าแต่ทำไมคนไทยที่นี่ไม่ค่อยยอมพูดไทยกันเลยนะ ภาษาไทย พูดมาแต่อ้อนแต่ออกแท้ๆ ฉันเกิดอาการลิ้นลื่น หลุดออกไปว่า

“พูดไทยกันได้มั้ยพี่”

พอได้ฟัง นางส่ายหน้าจนผมฟูๆ หยิกหยอยสะบัดไปมา แต่ฉันแอบนึกว่าไอ้ผมหยิกๆ สั้นๆแบบนี้ อย่าให้หล่นพื้นเลยนะ รับรองต้องมีคนคิดลึกแน่ๆว่าไม่ใช่ขนบนหัวหรอก แต่มาจากแหล่งอื่นที่ต่ำกว่านั้น พี่เจนนี่กะพริบตาถี่ๆ แต่ความที่ตาพองเลยทำให้ตาเหลือกโปน วี้ดว้ายประกอบการส่ายหน้าอย่างมีจริต

“แอร๊ยยยย… ไม่ได้นะคะ น้อง ไอทำไม่ได้ เราต้องฝึกไว้ให้คล่องๆ ยูโน้ว์ มาถึงอเมริกาแล้วจะมามัวพูดไทยได้ยังไง… โอ๊ววว์… โน้ววว์… พี่ลืมไปหมดแล้ว ภาษาทาย พูดม่ายด้ายแล้ว ยู ซี้”

เฮ้ย!!… มีด้วยเหรอวะ… คนที่ลืมภาษาแม่ของตัวเอง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น!!!

นึกสงสัยตงิดๆ พอดีเหลือบไปเห็นคางคกหลงมาจากไหนไม่รู้ คลานยงโย่ยงหยกมากระดกพั่บๆ อยู่ใกล้เท้าพี่เจนนี่ เลยร้องออกไปดังๆ ว่า

“นั่นๆๆ เบิ่งแหน่เอื้อยเจนนี่… เดี๋ยวเจ้าสิเหยียบกบเด้”

“ฮ่วย! ป้าดติโถ่ นี่มันบ่แหม่นกบเด๊นี่… ขี้คันคากคักๆ !”

ป้าดดดดด… ไหนบอกลืมภาษาไทยหมดแล้วไง… พี่เจนนี่ !

 

Don`t copy text!