โลกสองใบในความต่าง

โลกสองใบในความต่าง

โดย : เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้

Loading

“อเมริกันคัน” เรื่องราวเกี่ยวกับอเมริกาในบางแง่มุมในอเมริกาที่หลายคนไม่เคยรู้หรือเคยรับรู้มาบ้าง แต่อาจมองไม่เห็นภาพรวมชัดเจน เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้ เจ้าของคอลัมน์ที่เขียนลงในต่วยตูนมาถึง 10 ปี นำมาเขียนเล่าสู่กันฟังแบบสนุกๆ เหมือนการเล่าให้เพื่อนฟัง โดยคงบุคลิก “ต่วยตูน” ดั้งเดิมเอาไว้คือสาระและบันเทิง

แม้ว่าคนไทยค่อนข้างคุ้นชินกับวัฒนธรรมอเมริกันผ่านภาพยนตร์ฮอลลีวูด แต่การไปอาศัยในประเทศนั้นจริงๆ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง  สิ่งที่เห็นในภาพยนตร์ค่อนไปทางสร้างภาพที่ไม่ค่อยจะตรงกับชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของอเมริกันนัก โลกมายาตามแบบฉบับของฮอลลีวูดทำให้คนไทยคิดว่าอเมริกันทุกครอบครัวร่ำรวย มีบ้านสวยน่าอยู่ มีรถหลายคัน มีสวัสดิการที่ดี ระบบการศึกษาชั้นเยี่ยม และมีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว

แต่ชีวิตในอเมริกาไม่ได้สวยงามขนาดนั้น โดยเฉพาะเรื่องเสรีภาพ ยกตัวอย่างง่ายๆ แค่เรื่องการซื้อเหล้าเบียร์ ฝรั่งมาเมืองไทยตกใจจนตาค้าง เมื่อเห็นเด็กไทยอายุไม่ถึง 18 ปีซื้อเหล้าที่ร้านขายของชำข้างบ้านแล้วเดินหิ้วขวดเหล้ากลับบ้าน หรือเวลาเห็นคนไทยแวะซื้อเบียร์กระป๋องแล้วเดินดื่มไปถามถนน เรื่องนี้ไม่สามารถทำได้ในอเมริกา กฎหมายระบุว่า เมื่อซื้อเหล้าหรือของมึนเมาทุกประเภทจะต้องห่อหุ้มให้มิดชิดด้วยถุงกระดาษสีน้ำตาล ห้ามเดินถือขวดหรือกระป๋องเบียร์ให้เห็นอย่างเด็ดขาด ที่สำคัญห้ามเดินไปซดไป เพราะผิดกฎหมายหลายรัฐ

รัฐค่อนไปทางอนุรักษ์นิยมอย่างรัฐอินดีแอนามีกฎหมายห้ามจำหน่ายน้ำเมาในวันอาทิตย์ เพราะเป็นวันที่ไปโบสถ์ ทุกห้างงดจำหน่ายสุราและเบียร์ในวันอาทิตย์ แม้กฎหมายนี้เพิ่งยกเลิกไป แต่ยังมีบางรัฐที่บังคับใช้กฎหมายนี้ ส่วนในวันธรรมดา พนักงานที่เครื่องคิดเงินจะขอดูบัตรประจำตัวของผู้ซื้อก่อนทุกครั้ง หากพนักงานในห้างอายุไม่ถึง 21 ปี ต้องเรียกพนักงานคนอื่นมาทำหน้าที่แทน ถือเป็นกฎหมายเบื้องต้นในอเมริกา

ขณะที่บ้านเราสามารถหาซื้อเบียร์ได้ทุกหัวมุมถนนและทุกวัน ซื้อแล้วเดินกระดกกระป๋องมาตามทางก็ไม่มีใครว่าอะไร เผลอๆ ตั้งวงก๊งกันข้างถนนเลยด้วยซ้ำ น่าแปลกที่คนไทยบางส่วนกลับคิดว่าเมืองไทยนั้นไร้เสรีภาพไปเสียทุกเรื่องแล้วเชิดชูอเมริกาว่ามีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว อเมริกาไม่ได้มีเสรีภาพทุกเรื่องอย่างที่คนไทยคิด จะว่าไปแล้วเสรีภาพต้องควบคู่กับความรับผิดชอบเสมอ หากเรียกร้องเสรีภาพแต่ปราศจากความรับผิดชอบ ย่อมเกิดการละเมิดสิทธิ์ระหว่างกันอย่างแน่นอน

เรื่องห้องน้ำก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ฝรั่งทั้งไทยต่างประหลาดใจพอกัน แต่เป็นการประหลาดใจคนละแบบ เวลาฝรั่งมาเข้าห้องน้ำที่เมืองไทย แล้วเจอส้วมแบบนั่งยองๆ จะร้องเสียงหลง เพราะนั่งไม่เป็นด้วยความเคยชินกับส้วมชักโครก ที่หนักไปกว่านั้นคือ ห้องน้ำที่เป็นแบบนั่งยองๆ มักไม่มีกระดาษชำระตามมาตรฐานตะวันตก แต่มีขันน้ำมาให้ใบหนึ่ง ซึ่งฝรั่งยืนงงว่าจะใช้ยังไง

สาวไทยที่เพิ่งมาอยู่อเมริกาจะกังวลและไม่ชินกับห้องน้ำสาธารณะ เพราะช่องห่างระหว่างประตูสร้างความอึดอัดให้สาวไทยจำนวนไม่น้อย เกิดจริตวิตกว่าฝรั่งจะมองลอดเข้ามาเห็นมิติมืดของตน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีฝรั่งคนไหนสนใจถึงขั้นส่องดูหรอก แรกๆ ที่ไปอยู่ก็กังวลอยู่เหมือนกันว่าคนข้างนอกอาจจะมองเห็นกิจกรรมธรรมชาติเรียกร้องภายใน แต่อยู่นานเข้าก็ชินไปเอง

มารยาทการใช้ห้องน้ำในเมืองไทยนั้น สาวไทยจะค่อยๆ ปล่อยทุกข์ของตนอย่างสุภาพ โดยพยายามไม่ให้มีเสียงเหมือนฝนตกลงหลังคาสังกะสี ค่อยๆ บรรจงปลดปล่อยทั้งทุกข์หนักและเบา แต่สาวอเมริกันไม่มีบันยะบันยังเลยในเรื่องนี้ แต่ละคนทำราวกับมาทิ้งบอมบ์ฮิโรชิม่ากระหน่ำรัวเป็นชุด ไม่ปิดบังทั้งเสียงและกลิ่น แถมไม่อ่อนข้อออมกำลังเลยทีเดียว บางทีนั่งทำธุระของตัวเองอยู่ห้องริมสุดอย่างสุภาพแบบคนไทย เสียงระงมจากห้องอื่นๆ ดังราวกับซิมโฟนีออร์เคสตราทั้งเสียงโซปราโนและอัลโต

ภาวะ ‘การพุ่งชนทางวัฒนธรรม’ อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ สำหรับฝรั่งแล้ว การยักคิ้วหลิ่วตาไม่ได้มีความหมายอะไรไปจากอารมณ์สนุกในใจหรืออยากล้อเล่นสนุกๆ แต่สำหรับสาวไทยที่ไปเรียนอเมริกาบางคนเข้าใจว่าคือการให้ท่าของฝ่ายชาย ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องปกติของฝรั่งเช่นเดียวกับการยักไหล่ไกวแขน เพียงแต่สาวไทยโดยเฉพาะที่เติบโตมาจากครอบครัวแบบอนุรักษ์นิยมอาจจะไม่ชินกับภาษากายแบบนั้น เล่นเอาสาวไทยหัวโบราณตกใจมานักต่อนักแล้วเมื่อถูกฝรั่งหลิ่วตาล้อเลียน

นอกเหนือจากวัฒนธรรมแบบฝรั่งแล้ว คนผิวสีในอเมริกามีวัฒนธรรมและสำเนียงการพูดที่แตกต่างออกไปจากคนขาว ช่วงแรกฉันฟังภาษาอังกฤษสำเนียงคนผิวสีแทบไม่เข้าใจ เพราะค่อนข้างฟังยากและไม่ออกเสียงตัวสะกด เช่น คำว่า ‘my’ แทนที่จะออกเสียง ‘มาย’ กลับออกเสียง ‘มาห์’ แต่พออยู่ไปนานๆ เข้าก็เริ่มชิน

ฉันมีเพื่อนเป็นคนผิวสีคนหนึ่ง ซึ่งก็คือเพื่อนสมัยเรียนมัธยมของสามีนั่นเอง เวลาเพื่อนคนอื่นแสดงอาการดีใจหรือมหัศจรรย์ใจจะร้อง ‘ว้าว’ แต่หมอนี่จะร้องว่า ‘วู้วี้’ คนผิวสีส่วนใหญ่จะอุทานแนวนี้แทบทุกคน

ข้อแตกต่างระหว่างคนผิวขาวและคนผิวสีอีกอย่างคือ เวลาฝรั่งมีงานปาร์ตี้ มักจัดงานในสวนหลังบ้าน แต่คนผิวสีมักจัดหน้าบ้าน ลากเตาปิ้งบาร์บีคิวออกมาปิ้งย่างอย่างเอิกเกริกหน้าบ้านเลยทีเดียว และถ้ามีคนมาร่วมงานเยอะก็ปิดถนนโดยพลการ โดยเฉพาะย่านคนผิวสีในแหล่งเสื่อมโทรม

เพื่อนคนผิวสีสอนให้สังเกตและเรียนรู้หลายอย่าง คงเห็นว่าฉันเป็นคนแปลกหน้าบนแผ่นดินนี้ เลยสอนว่าหากต้องเดินผ่านย่านสลัม ให้คอยสังเกตว่าบ้านหลังไหนมีการโยนรองเท้าผ้าใบทั้งคู่ขึ้นไปแขวนต่องแต่งกับสายไฟฟ้า

หากเห็นรองเท้าที่ว่านี่ให้อยู่ห่างบ้านหลังนั้นให้มากที่สุด เพราะเป็นบ้านที่ขายและเปิดให้มั่วยาเสพติด เจ้าของบ้านจะทำสัญลักษณ์แบบนี้ไว้จนเป็นที่รู้กันทั่วประเทศ เคยถามเพื่อนคนไทยที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้มานานกว่าสี่สิบปี เพื่อนบอกว่าไม่เคยรู้มาก่อนเลย แสดงว่าบางเรื่องนั้นเป็นที่รับรู้กันในสังคมของคนผิวสี

คนผิวสีกับคนผิวขาวมักจะไม่อาศัยอยู่ย่านเดียวกัน ดูเหมือนว่ามีเส้นบางๆ กั้นระหว่างคนสองสีผิว แม้ว่าสงครามกลางเมืองในอเมริกาจบลงด้วยการเลิกทาสก็ตาม แต่คนผิวสีก็ไม่ค่อยสนิทใจกับคนผิวขาวและยังมีคนผิวขาวบางส่วนที่เหยียดและเลือกปฏิบัติต่อคนผิวสีอย่างไม่เท่าเทียมกับคนผิวขาว

ในอเมริกามักมีข่าวแนวนี้อยู่ตลอดเวลา นั่นคือตำรวจผิวขาวยิงวัยรุ่นผิวสีเสียชีวิตแล้วไม่ถูกสั่งฟ้อง ทำให้ชุมชนคนผิวสีหลายรัฐออกมาต่อต้าน ก่อการจลาจลวุ่นวายและคาดว่าปัญหานี้คงไม่จบลงง่ายๆ เพราะความเกลียดชังที่ฝังแน่นมายาวนานนับศตวรรษ แม้กฎหมายจะกำหนดให้คนทุกสีผิวทุกเชื้อชาติในอเมริกาเท่าเทียมกันก็ตาม

จำได้ว่าครั้งหนึ่งโทร.ตามเพื่อนผิวสีคนนี้มาช่วยยกเครื่องล้างจานเพราะซื้อใหม่ เพื่อนเลยชวนหนุ่มผิวสีอีกคนเพื่อช่วยกันยกเครื่องล้างจาน  ปรากฏว่าเพื่อนบ้านของฉันกลับโทร.หาตำรวจโดยแจ้งความว่ามีคนผิวสีสองคนกำลังเข้ามาขโมยของในบ้านของ ‘ชายอเมริกันผิวขาวและภรรยาชาวเอเชีย’

เมื่อตำรวจมาถึง ต้องอธิบายยืดยาวว่าชายผิวสีที่กำลังแบกเครื่องล้างจานนี้คือเพื่อน ไม่ใช่ขโมยตามที่เพื่อนบ้านโทร.แจ้งตำรวจ ที่เล่ามาทั้งหมดนี้คือเรื่องของอคติสีผิวอันเป็นเรื่องที่กำจัดได้ยากเย็นเหลือเกิน

 

Don`t copy text!