บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 11 : ลงมือเขียนภาพ

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

ใบเรือสีขาวผ่องกำลังได้รับการชักรอกขึ้นไป และคลี่ใบสยายแผ่ออกอย่างสวยงามสง่าบนลำเรือสำเภาลำใหม่

คนงานอู่ต่อเรือหลายคนกำลังปีนป่ายเสากระโดเรือ ช่วยกันทดสอบบิดหมุนหันทิศทางใบเรือ ให้ผืนผ้าใบบนเสากระโดงได้อยู่ในตำแหน่งรับลมที่มาจากทิศทางต่างๆ แม่น้ำพลิ้วเป็นคลื่น สะท้อนแสงตะวันอันสว่างสดใส เป็นระลอกประกายดุจเพชร

ฮุนกับพี่ๆ คนงานหลายคน ยืนแหงนเงยดูอยู่ไกลๆ พูดคุยกันด้วยภาษาฮกเกี้ยน

“งานต่อเรือสำเภาลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ เพราะคนหันไปต่อกำปั่นกันแล้ว” คนงานอาวุโสคนหนึ่งรำพึงลอยๆ

“ลื้อเปลี่ยนไปทำงานช่างเขียน คงเจริญก้าวหน้า และได้ค่าแรงมากกว่าสินะ”

ฮุนยิ้มเฝื่อนๆ แต่ก็ไม่อาจจะเผยความจริงได้ เนื่องเพราะคุยเขื่องไว้โขก่อนหน้า

“ก็…ใช่ ท่านครูรักเมตตาอั๊วะมาก ถ่ายทอดวิชาให้มากมาย”

“จริงหรือ เคยได้ยินว่าพวกช่างชั้นสูงหวงวิชาเหลือเกิน บางทีรับใช้ครูกันจนแก่ เขาก็ไม่ให้เคล็ด

วิชาใดๆ ต้องตักน้ำ ตำข้าวรับใช้กันไปเป็นปีๆ”

“นับว่าลื้อโชคดีจริงๆ พวกคนสยามเขาหวงวิชากันมากนะ บางคนตายไป ก็เอาวิชาตายตามตัวไปด้วย ไม่ถ่ายทอดให้ผู้ใด”

ฮุนถึงกับหน้าถอดสี หรือว่าตัวเขาเองก็กำลังเจอกับสถานการณ์นี้

พวกคนงานเด็กๆ รุ่นราวคราวเดียวกันค่อยๆ พยักพเยิดชวนฮุนเดินมาไกลจากพวกอาวุโส มาหาที่กระซิบกระซาบปรึกษากัน

“ถ้างานช่างเขียนไม่ได้อัฐอย่างที่ลื้อต้องการ ไปกับพวกอั๊วะไหม ท่านเจ้าคุณโชฎึกทองจีนจะจ้างแรงงานไปขุดคลองเก่าที่ตื้นเขินใกล้ปากน้ำ ค่าแรงสูงกว่าทำงงานต่อเรืออีก”

“คลองใด”

“จากบางขุนเทียน ไปบางบอน”

“พวกอั๊วะจะไปกัน ลื้อก็มาด้วยเถอะ พวกเรายังเด็ก แรงดี ขุดกันไม่กี่วันก็เสร็จ เขามีที่กินที่นอนให้เลย เขาบอกว่าในคลองเก่ามีสมบัติจากเรือโบราณจมอยู่เยอะ ถ้าใครขุดเจอก็สบายเลย”

ฮุนนิ่งเงียบ งานขุดคลอง ยิ่งใช้แรงงานหนัก แตกต่างจากงานต่อเรือที่ต้องมีความชำนาญและฝีมือเป็นพิเศษคนละเรื่อง อย่าว่าแต่งานช่างเขียนอันประณีตวิจิตรบรรจงที่ฮุนฝันใฝ่

“ไปกันเถอะ อาฮุน”

“ใช่ เอาเงินไว้ก่อนเถอะ อาฮุน เงินสำคัญที่สุด”

“มีเงินแล้ว อยากได้อะไร ก็จะได้ทุกอย่าง ไม่ต้องลำบากเหมือนทุกวันนี้”

ฮุนเงียบกริบ ไม่อาจบอกได้ ว่าสิ่งที่เขาปรารถนา หาใช่เงินทองไม่

 

สายมากแล้ว

ศิษย์ครูบุญมาก 2 คน อยู่บนนั่งร้านสูง กำลังเขียนรูปดอกไม้สวรรค์ที่สลับคั่นตัวรูปเทวดา ของภาพชุมนุมเทวดา

ต่ำลงมา ใต้ภาพเทพชุมนุมที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้างๆ หน้าต่างใกล้องค์พระประธาน บนนั่งร้านตรงนั้น พระภิกษุวัยกลางคนรูปนึงกำลังนั่งเขียนภาพพระเวสสันดรอยู่ มีพระบุญลือร่วมเขียนด้วย

พระภิกษุผู้อาวุโสกว่า กำลังตัดเส้นรายละเอียดต้นไม้ ดอกไม้ พืชพันธุ์ ส่วนพระบุญลือ เป็นผู้ระบายพื้นส่วนของใบ ส่วนของต้น ส่วนบรรดาตัวภาพ คือตัวละครที่เป็นคน ยังเว้นว่างไว้

หลังม่านกั้น บริเวณของครูทองอยู่ ช่างเขียนหนุ่มผู้หนึ่งกำลังลงสีตัดเส้นลายไทยกนกของส่วนที่เป็นเรือนวิมาน ของภาพเนมิราชฯ ด้วยความระมัดระวังละเอียดลออยิ่ง

ตัวละครทั้งหลายยังไม่มีการเขียน มีแต่เส้นร่างของครู กำหนดตำแหน่งว่างไว้

ทางด้านฝั่งของคงแป๊ะ ช่างคนที่สักขาลาย ปีนนั่งร้านทางซ้ายของภาพ กำลังลงรายละเอียดส่วนที่เป็นกำแพง มุมบนซ้ายของภาพ และช่างเขียนคนหนวดเครายาว ปีนอยู่ด้านขวาของภาพ กำลังระบายสีพื้นดินสีแดงเข้มไปพร้อมๆ กัน

พวกตัวคนในกองทัพเป็นแถวทิว บางตัวก็ได้รับการลงสีพื้นเสื้อผ้าแล้ว แต่ยังไม่ได้ตัดเส้นใส่รายละเอียด ทว่าตัวละครส่วนใหญ่ยังเว้นว่างขาวไว้ ไม่ได้ลงสี

ภาพของครูคงแป๊ะ ต้นไม้วาดคร่าวๆ เสร็จไปแล้ว ระบายสีเข้มของใบเขียวแล้ว และสีน้ำตาลของลำต้นก็เสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว

ครูพุดยืนสังเกตการณ์ภาพรวมอยู่ห่างออกมา ไม่วายแอบมองไปทางประตูด้านหลังบ่อยๆ

ครูกำลังรอคอยฮุนนั่นเอง แต่ยังไม่มีเค้าว่าฮุนจะมา

“เจ้าจีนเปียยาวคงไม่มาแล้วกระมังขอรับ ครู”

พี่หนวดเคราแกล้งแหย่ผู้อาวุโส

ทำเอาครูพุดหน้าจ๋อยเจื่อนไป

“น่าจะมา เพราะจะหาผู้ใดรับมันมาเป็นศิษย์ง่ายๆ”

ช่างเขียนขาลายราวกับใส่กางเกงดำ ปีนลงมาจากนั่งร้านมายืนเหยียดแข้งขา บิดกายคลายเมื่อย ในมือคือจานสีเปลือกหอยและพู่กันขนาดใหญ่

“มันถูกใช้งานสัพเพเหระทุกวันๆ คงจักท้อใจไปแล้วแหล”

พี่หนวดยังแกล้งครูพุดต่อ

“งานสัพเพเหระก็ยังเบากว่างานกุลีท่าเรือที่มันทำอยู่หนา”

พี่สักขาโต้แย้ง

“หากท้อถอยง่ายๆ แค่นี้ ก็อย่าคิดเป็นช่างเลย”

พี่สักขาว่า ดัดตนจนหายเมื่อยแล้ว ก็นั่งลงล้างพู่กัน จานสีในอ่างน้ำ

ครูพุดส่ายหัว หาที่นั่งลง ก้มหน้าก้มตา ผสมสีเขียวสว่างที่จะใช้ทำสีของยอดไม้ต้องแดด หยดกาวกระถินลงไป ให้เนื้อสีใสขึ้น

พลัน เสียงฮุนที่พูดไม่ชัดไม่เหมือนใครอื่น ก็ดังโพล่งขึ้นไม่ไกล

“อ้าว หลงพี่ หลงพี่ก็เขียนภาพได้ลือขอลับ”

ครูพุดเงยขึ้น หันไปตามเสียง

เห็นฮุนยืนพนมมือ โน้มตัวสุภาพเรียบร้อย พูดกับพระบุญลือ ที่เขียนใบไม้เพลินอยู่บนนั่งร้านข้างหน้าต่างฝั่งตรงข้าม

“ก็เขียนได้…พอจะช่วยหลวงพ่อท่านได้แหล”

พระภิกษุผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ วัยกลางคน พลอยมองลงมาดูจากนั่งร้านเบื้องสูง

ฮุนรีบเงยแหงน พนมมือไหว้ท่านพร้อมยิ้มอย่างแป้น ส่งเสียงดังขึ้นให้ท่านได้ยินถนัด

“วาดเลื่องอาไลขอลับ”

“เวสสันดรชาดก รู้จักไหม มหาชาติ…ชาติสุดท้าย ก่อนจะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างไรเล่า”

หลวงพ่อตอบด้วยเมตตา

“ลู้จักขอลับ”

ฮุนพยักหน้าหงึก ไหว้ยกมือพนมสูงเหนือหัว

ครูพุดและพวกศิษย์คงแป๊ะสบตากัน ยิ้มๆ กับความทั่วถึง…ของเจ้าเด็กหนุ่มจีน

ฮุนไม่หยุดเพียงนั้น เขามองเลยไปที่คณะของครูบุญมาก และเดินเตร่เข้าไปดูสิ่งที่เขาเขียนกันอยู่

“นั่นอาไลขอลับ”

“ดอกไม้” ศิษย์ครูบุญมากตอบ

“ดอกไม้…แปลกจริงหนาขอลับ”

“แปลกซี เพราะเป็นดอกไม้สวรรค์ เทวดาแต่ละองค์ก็มาจากสวรรค์ชั้นต่างๆ แลนำดอกไม้มาถวายพระศาสดา ดอกไม้บนสวรรค์ย่อมต่างจากดอกไม้ที่คนเราเห็นอยู่ในโลกเป็นธรรมดา เห็นไหม ว่างามวิจิตรเพียงไร”

ศิษย์ครูบุญมากอีกท่าน อุตส่าห์อธิบายอย่างละเอียดลออ

“ดอกไม้แต่ละดอกก็ไม่เหมือนกันเลย”

ฮุนไม่ยอมเลิกราง่ายๆ เขาแหงนมองเหล่าเทพด้วยความชื่นชม พลางตั้งข้อสังเกต

“พะพักของเทวาลาคงนี้ ไม่เหมืองพะพักของเทวาลาคงนั้น”

“ดอกไม้ยังไม่เหมือนกัน หน้าเทวดาจะเหมือนกันอย่างไรได้” ช่างเขียนผู้นั้นตอบ

ครูพุดส่ายหน้า แกล้งเปรยเสียงดัง ไม่วายชำเลืองไปทางหลังม่านข้างเคียง

“มันเที่ยวอยากรู้อยากเห็นไปทั่วเช่นนี้อย่างไรเล่า จึงมีคนหาว่า…ไปเที่ยวสอดส่องแส่ส่ายหวังจะดู

ชั้นเชิงของเขา”

ฮุนถอยมาจากฝั่งครูบุญมาก เหลือบตาไปทางหลังม่านนั้น ชะโงกแอบดูว่ามีใครอยู่บ้าง แล้วทำท่าเหมือนจะเดินเข้าไป

“ฮุน…หยุด!”

ครูพุด ที่ติดตามความเคลื่อนไหวเจ้าเด็กประหลาดไม่ละสายตาด้วยความสนุกเพลิดเพลิน ร้องลั่น

ฮุนหยุดกึก…ตามคำสั่ง หันมามองด้วยอาการของขโมยที่ถูกจับได้

“เอาน้ำไปเปลี่ยน!”

ครูพุดปั้นเสียงตวาดดุดัน

ฮุนรีบเข้ามาลงนั่งยองยกมือไหว้ครูและพวกศิษย์พี่ หน้าตาเจี๋ยมเจี้ยม

“วันนี้มาเสียสายเลย”

ครูพุดยังขู่ฟ่อ

“ขอลับ มาสายขอลับ”

ฮุนรีบยกอ่างที่น้ำน้ำขุ่นแล้วออกไปอย่างแข็งขันด้วยความรู้สึกผิด ด้วยท่าขาย่อต่ำเป็นลิงอุ้มแตง

เอียงซ้ายทีขวาทีกระดกกระดนโด่จากไป ทำให้ครูพุดกับเหล่าศิษย์พี่หัวเราะกันครืน

 

น้ำที่ขุ่นด้วยสีถูกเทลงพื้นดินก่อน แล้วฮุนค่อยเดินลงไปนั่งขัดล้างทำความสะอาดอ่างดินที่ท่าน้ำ ก่อนที่จะตักน้ำสะอาดกลับไป ขณะนั้นเองที่พวกเด็กวัดเดินลงมาพยักหน้าทัก แล้วใช้แครงคือภาชนะไม้ไผ่สานแล้วยาด้วยชันผสมน้ำมันยางอุดรอยรั่ว ตักน้ำที่ท่า ต่อหน้าต่อตาฮุน และช่วยกันหาบน้ำ เดินกลับไป

ฮุนมองตาม แล้วมองอ่างดินในมือ

เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาให้กับภูมิปัญญาคนสยามพื้นบ้าน ที่เขามองข้ามไปได้

บรรดาช่างเขียนหัวเราะกันฮา กับตัวตลกฮุน

เด็กหนุ่มเอาอ่างดินนั้นคลุมหัวให้ย้อยเยื้องไปข้างหลังเหมือนกระดองเต่า เดินหาบน้ำที่บรรจุในแครงมาบนบ่า ที่แขวนห้อยสองข้างของไม้คาน

ครูพุดและบรรดาศิษย์พี่มองฮุนด้วยความสนุก พวกศิษย์ครูบุญมากก็พลอยขำไปด้วย
“ดูมันๆ”

พระบุญลือหันมาดู

“เออ รู้จักใช้คุกับเขาด้วย”

พระบุญลือพูดภาษาลาวกับหลวงพ่อ

ฮุนตั้งอ่างดินลง แล้วเทน้ำจากแครงใบแรกลงอ่าง ยังมีน้ำเหลือในแครงนั้น ส่วนอีกใบซึ่งมีน้ำเต็ม ก็เอาตั้งเรียงไว้ด้วยกัน

“ยืมแคงของวักมาขอลับ จะล่ายไม่ต้องแบกอ่างมาเปี่ยงบ่อยๆ มังหนัก!”

พี่สักขาเข้าไปดูลายสานของแครงคู่

“บ้านผมเรียกว่าน้ำถุ้ง”

“บ้านผมเรียกหมา…แต่ทำด้วยกาบหมาก”

พี่หนวดเคราเฟิ้มที่มาจากทางใต้เล่าบ้าง

พระบุญลือวิจารณ์กับหลวงพ่อเบาๆ

“เห็นไหมขอรับหลวงพ่อ ว่าคนจีนฉลาดจริง สอดส่ายสายตามองหาสิ่งใหม่ พร้อมปรับเปลี่ยนไปให้เข้ากับของรอบๆ ข้างเสมอ ไม่เคยลำบากลำบน ยอมอับจนอยู่ทั้งตาปีตาชาติดอก”

ครูพุดปีนนั่งร้านขึ้นไปที่ภาพต้นไม้เหนือภาพกำแพงเบื้องบน ที่นายสักขาลายพร้อยวาดทิ้งไว้

“ดูนี่แน่ะ เจ้าฮุน”

ฮุนยืนเท้าสะเอว ยืดหลังตรง ตั้งใจดูตามครูบอก

ครูพุดแต้มแจะสีเขียวสว่างลงไปบนต้นไม้สีเขียวเข้ม ให้แสงสว่างลงไปตามส่วนยอดของพุ่มกิ่งต่างๆ ที่ต้องแสงแดดในมโนนึก

ฮุนมอง รู้สึกตื่นเต้น ที่ต้นไม้ที่แบนๆ แต่แรก กลายเป็นต้นไม้ที่มีระยะไกลใกล้ มีความลึก ความตื้น มีแสงเงา สว่างมืด ในพริบตา

ครูพุดทำไปได้หนึ่งกลุ่มหมู่ไม้ แล้วหันกลับมาสั่ง

“คราวนี้ เจ้ากลับหลังหัน เดินออกไปอีก แล้วมองกลับมาจากที่ไกล”

ฮุนทำตามทุกอย่าง และเมื่อหันกลับมา เขาก็ร้องดังลั่น

“ไอหยา…มีแสงสว่างมาส่องต้งไม้”

ช่างเขียนคณะอื่นๆ พากันขำฮุนกัน

‘เจ๊กตื่นรูปภาพหนา หาใช่เจ๊กตื่นไฟไม่’

คงแป๊ะที่ก้าวเข้าประตูมาคิดในใจ กับความเอะอะเอ็ดตะโรของเด็กหนุ่ม

ขณะที่ฮุน ซึ่งยืนในตำแหน่งระยะที่ห่างกลางโบสถ์นั้น เมื่อมองดูภาพรวมๆ ของคงแป๊ะ ที่แม้ว่ายังไม่มีลวดลายที่ละเอียด เป็นแค่ภาพร่างเว้นว่างตัวภาพขาว ยังไม่ตัดเส้นในส่วนใหญ่

ทว่ากลุ่มตัวละครมากมายบนนั้น ทั้งคนและม้าหลายตัว ตรงนั้นตรงนี้ ที่ต่างมีอิริยาบถท่าทางต่างๆ กำลังเคลื่อนไหว ทั้งเหินพยศ กำลังวิ่งเหยาะย่าง กำลังควบเร็วรี่ ประกอบกับกลุ่มตัวละครทั้งหมด ที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปมา ต่างชักนำเส้นสายตาของเขา ให้ไปสู่ตัวเอก ที่ยังว่างขาวรอไว้ ให้มโหสถท่านมาปรากฏร่างเมื่อถึงเวลา อย่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน

พลังของภาพพุ่งออกมาครอบงำเด็กหนุ่มจนมิอาจขัดขืน เสียงม้า เสียงผู้คน เสียงสงคราม ช่างเปี่ยมชีวิตชีวา และความเคลื่อนไหวกึกก้อง

หน้าฮุนแสดงออกถึงความตื่นเต้น ทรวงอกของเขาร้อนรุ่ม ลมหายใจแรง ตกอยู่ในภวังค์ลึก

“เฮ้ย ฮุน!”

ฮุนสะดุ้งสุดตัว เหมือนคนตื่นจากฝัน

พี่หนวดเคราหัวเราะ

“อย่ามัวแต่ดู เอากาวกระถินให้ข้าก่อน”

ฮุนวิ่งปรูด หยิบขวดกาวกระถิน ปีนเดี๊ยะราวกับลิงไปส่งให้ศิษย์พี่หนวดเคราครึ้ม ที่กำลังลงสีพื้นดิน และต้องผสมสีดินสีเข้มจำนวนมากอยู่ในจานสีบนนั่งร้านนั้น

คงแป๊ะรู้สึกชอบใจเจ้าเด็กผมเปียแกว่งไกวมันมากขึ้นทุกที

 

ยามบ่าย เมื่อคณะช่างเขียนคงแป๊ะกินข้าวเสร็จ โดยไม่มีใครสั่ง ฮุนก็เข้ามาเก็บชามซ้อนๆ กันจะเอาไปล้าง

แต่คงแป๊ะมาแตะแขน แล้วพยักหน้าให้ตามมา

ที่ศาลาริมน้ำยามปลอดคน กระดาษข่อยเนื้อหยาบสีขาวเทาตุ่น ที่เป็นเศษกระดาษตัดรวมๆ ม้วนเก็บเอาไว้ใช้งาน ถูกคลี่ออกเรียงต่อกันบนพื้น เอาก้อนกรวดทับไว้ กันปลิว

ในจานสีเปลือกหอย มีสีเขียวสองสามโทนเรียงรายกันอยู่

คงแป๊ะส่งแปรงเปลือกกรรณิการ์ในมือให้ฮุน

“ลองเขียนต้นไม้ดูสิ ฮุน”

ฮุนตกตะลึง ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร

“เอ้า เห็นที่ออพุดเขาเขียนแล้วมิใช่หรือ ลองดู”

ฮุนถือแปรงเปลือกกรรณิการ์ด้วยมือซ้าย

“ใช้เพียงปลายแปรง…ลองเขียวใบแคก่อน”

ฮุนเอาปลายแปรง จุ่มสีเขียวใบแคขึ้นมา

“แจะลงไป แจะๆๆ เลย”

ฮุนแจะแปรงลงบนกระดาษ แต้มแรก แล้วหันมามองครู กลัวๆ กล้าๆ

“เอ้า เขียนให้ใบหนาเต็มกิ่งเลยสิ เคยเห็นแล้วรือมิใช่ ว่าเขาทำอย่างไร

ฮุนคิดทบทวน แล้วจิ้มๆๆ แจะๆๆ สีลงบนกระดาษ จนได้กลุ่มใบไม้เป็นพุ่ม

“ทำไป ทำไป”

คงแป๊ะกอดอก รอดู

ฮุนเริ่มมั่นใจ ทำซ้ำๆ ในตำแหน่งต่างๆ จนกลายเป็นต้นไม้หลายๆ ต้น

“คราวนี้ดู แสงสว่างที่เจ้าเอะอะนัก”

คงแป๊ะเอาอีกแปรงมาแจะสีเขียวอ่อนสว่าง แต้มทับบนต้นไม้สีเข้มของฮุนที่สีแห้งแล้ว

ภาพต้นไม้ดูเป็นพุ่มแสงเงา มีน้ำหนักเข้ม อ่อน ขึ้นมาทันที

ฮุนลองแต้มสีอ่อนลงบนต้นไม้เข้มตามอย่างครูดูบ้าง

คงแป๊ะเขียนต้นไม้แบบอื่นให้ดู ด้วยแปรงแบบอื่น จากนั้นก็แสดงวิธีตัดเส้น เขียนลงลายละเอียดเป็นใบ ทีละใบๆ ทับลงบนสีพื้น

ฮุนรีบวาดตาม ทำต้นไม้แบบต่างๆ ตามตัวอย่าง วาดซ้ำแล้วซ้ำอีก ลงบนเศษกระดาษเหล่านั้น

ฮุนวาดต้นไม้ไม่หยุด อยู่ลำพัง จนท่านครูหายไปข้างไหนแล้ว มันก็หารู้ตัวไม่

 

และแล้วคงแป๊ะบนนั่งร้าน ก็เริ่มลงมือตัดเส้น วาดม้าตัวนึงอย่างประณีต ด้วยเส้นอันสนุกสนานพลิ้วพราย มือซ้ายถือก้านที่รองเขียนไปรองใต้มือขวาไว้ เพื่อไม่ให้ส้นมือที่กำลังเขียนไปสัมผัสผนังเลอะเทอะ

ครูเว้นตัวเอกของภาพคือมโหสถไว้ แต่กลับวาดม้าก่อน

ครูพุดยืนดู สายตาปลาบปลื้มออกนอกหน้า

หน้าตาคงแป๊ะขณะสะบัดพู่กัน ฉายอารมณ์รื่นเริงสำราญนัก

บรรดาศิษย์ท่านยืนดูอยู่ด้านหลัง ถอยออกห่างเพื่อชมในมุมไกล ต่างมีอาการลุ้นราวกับเอาใจช่วยการพนันขันแข่งม้าจริงๆ

อีกฝั่งของผ้าขาว ครูทองอยู่กำลังวาดองค์เนมิราชที่อยู่กลางภาพก่อน อย่างแช่มช้า สงบงาม

ท่านวาดประธานของภาพก่อน

หน้าครูทองอยู่ เรียบนิ่ง สง่า ศักดิ์สิทธิ์ ดิ่งลึกลงไปในก้นบึ้งแห่งจิต

เนตรยืนดูอยู่มุมหนึ่ง สำรวม เคารพ

เหล่าศิษย์ครูทองอยู่ ยืนกุมมือ ศีรษะก้มต่ำ แต่ดวงตามองขึ้นสู่ปลายพู่กันของท่าน เงียบ เหมือนอยู่ในพิธีกรรม

อยู่ๆ ฮุนก็วิ่งจ้ำอ้าวเข้ามาจากประตูหลังพระประธาน พร้อมกระดาษผลงานของตนประมาณ 6-7 ใบ

บรรยากาศในโบสถ์เงียบกริบ ทว่ามีคลื่นพลังบางอย่างกึกก้องอึงอล

ฮุนหยุดเท้า เก็บอาการโดยอัตโนมัติ เปลี่ยนจังหวะการเดินเป็นแทบจะย่อง เข้าไปยืนดูกับพวกพี่ๆ

เด็กหนุ่มตื่นตาตื่นใจไปกับม้าตัวที่คงแป๊ะกำลังวาดเสร็จลงตัวนั้น

 

ในที่สุด ครูคงแป๊ะวาดม้าตัวนั้นจนเสร็จ ท่านวางพู่กันและที่รองเขียนลง ดัดแขน บิดตัว

ศิษย์คนหนวดเคราครึ้ม เข้าไปรับจานสี พู่กัน และที่รองเขียนมา ดุจอัญเชิญเครื่องรางของขลังที่ต้องเคารพ

คงแป๊ะปีนลงมาจากนั่งร้านรวดเร็ว

ศิษย์ที่สักขาลาย รีบรินน้ำชาที่วางเตรียมไว้ ร้อนกรุ่น เพราะต้มใหม่มาจากที่เพิงเก็บของ มายื่นให้

กลิ่นชาทิกวนอิมอย่างเลิศ หอมฟุ้ง

“น้ำชานี้ ที่เจ้าเอามาให้อย่างไร หอมดีทีเดียว”

คงแป๊ะยิ้มกับฮุน จิบชา และเดินออกไปสูดอากาศทางระเบียงหลัง

“เอาหมากมากินซักคำถีวะ”

ท่านร้องสั่ง พวกศิษย์รีบชุดหมาก วิ่งตามไป

ฮุนมองตามครู แต่ภาพม้าบนผนังดึงดูดกว่า เด็กหนุ่มวางของในมือลงหมด ถือโอกาสที่ทุกคนตามครูออกไป ปีนนั่งร้าน เข้าไปดูม้าใกล้ๆ

ครูพุดที่นั่งล้างจานสีให้ครูอยู่ หันมามองฮุน

ฮุนพิจารณา เส้น สีม้าของครูในระยะใกล้ เหมือนถูกสะกด

แต่ครูพุดเข้าไปหยิบกระดาษที่ฮุนวางไว้มาดู

มันคือภาพต้นไม้ต่างๆ ที่ฮุนวาดและแห้ง

ฮุนหันมาเห็นเข้า เขายิ้มเขิน

ครูพุดนั่งลง ผสมสีเขียวอ่อน หยิบแปรงเปลือกกรรณิการ์ ปีนขึ้นนั่งร้าน ไปอีกมุมภาพ

“ฮุน มานี่มา”

ฮุนปีนไปหา

“อยากลองเขียนของจริงๆ ไหม”

“หือ…” ฮุนดีใจจนเนื้อเต้น

ครูพุดส่งแปรง ที่รองเขียน และวางจานสีเปลือกหอยให้ตรงตำแหน่งถนัด

“ลองแต้มแสงแดดลงไปบนต้นไม้นี้ดู”

ตรงนั้น มีต้นไม้ที่ลงสีเขียวเข้มเป็นพื้นที่ครูพุดเขียนไว้ เต็มแน่นแล้ว

“แต่…”

เด็กหนุ่มใจเต้นรัว

“ไม่กล้าหรือ”

ฮุนไหว้ปลกๆ รับพู่กันไปถือด้วยมือซ้าย มือขวาถือที่รองเขียน หันมามองหน้าครูอีกครา

ครูพุดพยักหน้า ให้กำลังใจ

ฮุนจุ่มแปรงลงในสีเขียวอ่อน

“ผนังไม่เหมือนกระดาษ สีอย่าชุ่มนัก จักหยดไหลลงเบื้องล่าง

ฮุนแตะที่รองเขียนลงก่อน ยกมือถือแปรงเล็ง ค้าง คา ลดมือลง ไม่กล้า

“กลัวอันใด เจ้าฮุน ลองดู แสงสว่างมาทางไหน ต้องโดนใบส่วนใด เจ้าก็แตะลงไป”

ฮุนกลั้นใจ แล้วแตะสีเขียวอ่อนลงไปทับบนพุ่มเขียวเข้ม แจะแรก ลังเล แจะที่สอง ชักกล้าขึ้น เล็งมองหาพุ่มอื่น แจะสีอ่อน แจะๆๆๆ ทำสีของแสงต่อไป

“ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าต้องกลัว ฮุนเอ๋ย วาดผิด ก็เพียงวาดทับลงไปใหม่ ไม่ถึงกับมีผู้ใดตายดอก”

ฮุนแต้มสีเขียวสว่างนั้นลงไป บนภาพต้นไม้ใหญ่นั้น ทีละกิ่งๆ

ต้นไม้นั้นค่อยๆ ขยายกิ่งก้านออกรับแสง กลุ่มใบเข้าๆ ทึบๆ แบนๆ ค่อยฟู กลมขึ้นมา ทีละช่อๆ

“คราวนี้ เจ้าลงไปดูไกลๆ ให้เห็นภาพทั้งหมดทั้งมวล”

ครูพุดบอกหนทางให้ ทีละขั้นตอนจริงๆ

ฮุนวางพู่กัน ที่รองเขียน และจานสีลง ปีนนั่งร้านลงไป ก้าวไป หนึ่ง สอง สาม แล้วหันกลับมา

ครูพุดขยับตัวหลบ เปิดให้ฮุนเห็นฝีมือตนเองเต็มตา

ต้นไม้นั้นดูสวยมีมิติขึ้นมาอย่างมีคุณค่า เป็นประกายสดใสอยู่ตรงมุมบนซ้ายในภาพมโหสถอันลือลั่นมาจนอีกหลายร้อยปีให้หลังนั้น

นั่นคือฝีแปรงของฮุนเอง

น้ำตาเจ้าเด็กหนุ่มกำพร้า ต่ำต้อย ที่ลอยเรือมาจากแดนไกล เอ่อคลอออกมา

 



Don`t copy text!