บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 21 : ไม่ยอมพราก

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

ในพระอุโบสถยามเย็นย่ำที่ประตูควรจะปิดไปแล้วและมีหน้าต่างเพียงบางบานแง้มให้อากาศผ่านเพียงเล็กน้อย ลำจวนผลักบานประตูหนาหนักให้เปิดกว้าง ให้แสงส่องเข้ามามากขึ้นก่อนจะก้าวเข้าไป

ในโบสถ์เงียบสงบ วังเวง ในแสงอันสลัวมีควันบางลอยเอื่อย กลิ่นธูปจุดใหม่หอมรวยริน ทำให้หญิงสาวรีบสืบเท้าเข้าไปดูที่เชิงเทียน กระถางธูปหน้าหลวงพ่อพระศาสดา

มีเทียนจุดใหม่ที่ให้แสงสว่างดวงน้อยในพระอุโบสถหนึ่งเล่ม ธูปสามดอกที่ไฟเพิ่งลามไปเพียงสักองคุลีปักอยู่

ลำจวนค่อยๆ คุกเข่า นั่งลง แล้วเงยมองพระ นิ่งอยู่

เธออยากจะอธิษฐานให้สิ่งที่หวังเป็นจริง แต่ก็ไม่กล้า เพราะเหตุใดไม่กล้า คงเพราะเกรงจะผิดหวังกระมัง ลำจวนจึงเพียงก้มลงกราบสามครั้ง

เมื่อเธอหันมาทางขวา กำลังจะค้ำตัวลุกขึ้น ลำจวนก็ต้องสะดุ้งจนสุดตัว

ฮุนยืนอยู่ตรงนั้น

ตรงหน้ารูปมโหสถที่คงแป๊ะวาด ข้างหน้าต่างบานที่เคยมีผ้าขาวขึงกั้นเป็นม่านระหว่างกลาง

ลำจวนค่อยๆ ยืนขึ้น โดยสายตาไม่คลาดไปจากชายหนุ่มเลย

ทั้งสองเผชิญกันห่างๆ ต่างมองกันและกันเงียบๆ อยู่พักใหญ่

ลำจวนมองที่มือฮุนที่ถือขวดยาน้ำมันอยู่ เธอถามขึ้นมาดังใจคิด

“มือเจ้า…เป็นอย่างไรบ้าง”

ฮุนถือขวดด้วยมือซ้าย เขายกมือขวา ยื่นออกมาให้ลำจวนดู

“ไม่เป็นอย่างใด มือ…สบายดี”

ลำจวนยิ้มอย่างรู้สึกขันกับคำตอบ

“ยังเขียนภาพได้หรือไม่”

ฮุนพยักหน้า ยื่นมือทั้งสองออกมาให้หญิงสาวดูถนัดๆ

“เจ้าพูดชัดดีแล้วหรือไม่”

“พูดชัดดีมากขอรับกระผม”

ฮุนเน้นทุกถ้อยคำช้าๆ

ทั้งสองหัวเราะกัน

พลันชายหนุ่มยิงตรงเป้า

“คุณหนู…มีผัวมีลูกแล้วรือยัง”

ลำจวนถึงแก่อ้าปากค้าง แต่ก็หัวเราะชอบใจ

“ช่างถามอะไรเช่นนี้ ยังดอก แล้วเจ้าเล่า มีเมียมีลูกกี่คนแล้ว”

คราวนี้ฮุนหัวเราะเสียงดัง แจ่มใส

“ยัง…เช่นกันขอรับ”

ทั้งสองมองกันไปมา ต่างหัวเราะ มีทั้งความขัดเขิน ขำขัน รู้สึกตลก สนุกสนาน เสียงหัวเราะสดใสของสตรีและห้าวห่ามของบุรุษ จากดังเล็กน้อยเป็นดังมาก สะท้อนก้องโบสถ์

ลำจวนตระหนักสำนึกได้ก่อน เธอรีบเอามือทั้งสองปิดปาก

“สตรีทีดี ต้องไม่หัวเราะจนเห็นไรฟัน”

ฮุนมองหญิงสาว อิ่มเอมใจยิ่งนัก

“คุณลำจวนฟันขาว ไม่กินหมากรือ”

ลำจวนส่ายหน้า

“กินไม่ได้ เมา…ยันหมาก ปูนกัดปากเป็นแผลทุกครั้ง เลยไม่กินดีกว่า”

หญิงสาวรู้สึกเสียความมั่นใจ

“หน้าจืดชืดดูไม่ได้รือ…”

ฮุนรีบปฏิเสธ

“มิใช่ๆ หน้าตางามดี”

ลำจวนอ้ำอึ้งเมื่อถูกชมตรงๆ เช่นนั้น ฮุนก็อับจนคำพูดที่จะกล่าวต่อ จึงพากันเงียบงันไปชั่วขณะ

แต่ทันใดก็มีเสียงดังเข้ามาจากด้านหน้า

“คุณหนู…คุณหนูลำจวน…”

เสียงทิมเจ้าเก่านั่นเอง

ลำจวน ฮุน ต่างสะดุ้ง มองหน้ากัน มีทั้งความอาลัย เสียดาย ยังไม่อยากให้ความสุขอันเอิบอาบท่วมใจในครานี้ต้องสิ้นสุดลง

นางทิมหยุดยืนจดๆ จ้องๆ อยู่หน้าประตูโบสถ์ที่เปิดแง้ม

“คุณลำจวน…

พระบุญลือตามมาติดๆ

นางทิมตัดสินใจเดินเข้าไปในโบสถ์ พระบุญลือก็ตามเข้ามาด้วย

ในโบสถ์เงียบสงัด แสงเทียนน้อย หน้าพระศาสดาเหมือนจะริบหรี่ลง ควันธูปวนเวียนเบาบาง

ทิมเดินเข้าไป ยกมือไหว้พระก่อนจะหยุดมองดู นิ่งเงียบ เงี่ยหูฟังเสียง

พระบุญลือสังเกตรอบๆ แต่ไม่มีสิ่งใดผิดสังเกต

ทันใด ทิมรีบเดินย่องๆ ฝีเท้าเบากริบ ไปข้างหลังองค์พระประธาน โดยมีพระบุญลือไปห่างๆ

ที่หลังพระประธาน มืด ประตูด้านหลังปิดสนิท ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

ทิมเดินไปชะโงกทางซ้าย ขวา แล้วพลันกลับมาที่ประตูหลัง พยายามผลักประตูซึ่งหนักและฝืดจนพระบุญลือต้องช่วย

“คุณลำจวนคะ!”

ทิมส่งเสียงดัง ขณะรีบก้าวออกไป

พระบุญลือตามออกไป

ทั้งสองลงบันไดระเบียงหลัง มาเดินวนเวียนต่อที่บริเวณนั้น

“เอ…หายไปไหน…”

น้ำเสียงนางทิมกลัดกลุ้ม

“เมื่อกี้คุณหนูบอกพระว่าอย่างไรคะ”

“ยัง…ยังพูดกันไม่ได้ความเลย ก็…ก็ผลุนผลันไป”

พระบุญลือบอกเท่าที่จำเป็น

นางทิมถอนใจใหญ่

“สงสัยคงไม่ทราบว่าจะเริ่มเล่าอย่างไร”

“มีเรื่องอันใดกันอีก”

หลวงพี่ห่วงใย

“เจ้าคุณนครบาล…เอ่อ…คือ…นายสุ่นกับคุณนายนอบท่าจะอยากให้คุณหนูไปอยู่แพเจ้าคุณนครบาลเสียอีกคนแล้วละค่ะ”

นางทิมมองหน้าพระเหมือนจะฟ้อง

“อ้อ…”

พระบุญลือไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใด

“พระก็คงทราบ ว่าโยมน้องสาวพระ…เหมือนผู้เหมือนคนอื่นเขาที่ไหน นี่คงจะมาถามพระ

ว่าจักทำประการใดดีนั่นแหละค่ะ”

นางทิมคาดเดา แต่ก็เป็นคำถามที่พระบุญลือตอบไม่ได้เช่นกัน

 

ทุเรียนวัดทองเป็นผลไม้มีชื่อเสียงในครั้งนั้น

ผืนดินอุดมสมบูรณ์บริเวณริมคลองบางกอกใหญ่ คลองบางขุนศรี ถึงคลองบางกอกน้อย ที่สมัยโบราณนานเนครั้งกรุงเก่าเคยเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิมที่ไหลอ้อมค้อมคด จนคลองลัดบางกอกถูกขุดขึ้น จากบริเวณแถวๆ หน้าวัดแจ้งไปถึงบริเวณวังหน้า ปากคลองบางกอกน้อย เพื่อย่นระยะการคมนาคมให้เป็นเส้นตรง

ครั้นหลายร้อยปีต่อมา คลองที่ขุดกลับขยายเป็นลำน้ำกว้างเสียเอง ส่วนลำแม่น้ำเดิมกลับกลายเป็นคลองล้อมสวนผลไม้ใหญ่นี้ไว้ ทำให้พื้นที่สวนจากปากคลองบางกอกใหญ่ถึงปากคลองบางกอกน้อยกลายเป็นเกาะไป ซึ่งก็ไม่แน่ว่าคำว่าบางกอก อาจจะมาจากคำว่า บางเกาะ บาง…ที่ราบต่ำน้ำท่วมถึง…ที่เป็นเกาะ หรือบาง…ที่ราบต่ำน้ำท่วมถึง…ที่มีต้นมะกอกอยู่มากมายกันแน่

มีคำคล้องจองกล่าวว่า ‘สวนในบางกอก สวนนอกบางช้าง’ บางช้างคือแถวอัมพวาตรงลุ่มน้ำแม่กลอง ส่วนบางกอกคือฝั่งธนบุรี ที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาแห่งนี้

ในสวนลึก ที่มีทุเรียนเป็นหลักและผลไม้อื่นสลับปะปน ทั้งมังคุด กระท้อน มะไฟ มะม่วง ชมพู่ มะปราง ครึ้มทึบ หลังวัดทอง ลำจวนวิ่งนำหน้าฮุนมาสุดฝีเท้าอย่างไม่คิดชีวิต จนแน่ใจว่าปลอดภัยจากนางทิมที่จะไม่มีทางตามทัน ลำจวนจึงหยุดพัก เกาะต้นทุเรียน ก้มตัว หอบ

ฮุนหยุดตาม หอบตามไปพลาง พากันพูดไม่ออกเป็นครู่

เมื่อเสียงลมหายใจค่อยเบาลง ลำจวนก็เริ่มกระซิบขึ้นมาก่อน ราวกับกลัวว่าใครจะมาได้ยิน

“ดีจริง ที่เจ้าได้เป็นช่างเขียนจริงๆ”

“หากไปทำบุญที่วัดแจ้ง ก็แวะไปชมบ้าง”

ฮุนกระซิบตอบ ด้วยเสียงที่ใช้ระดับเดียวกัน

“อีกนานกว่าจะแล้วเสร็จใช่หรือไม่”

“ภาพของครูผมจวนเสร็จแล้ว แต่ของหลวงพี่คุณ…เพิ่งเริ่มเขียน”

ฮุนคิดนิดหนึ่งว่าควรพูดหรือไม่ แต่แล้วก็เอ่ยออกมา

“ครูทองอยู่ก็มาเขียนภาพมโหสถ แลกั้นผ้าขาวกันเหมือนเคย”

ลำจวนเห็นขัน

“จนป่านนี้ ยังแข่งขันกันอยู่รือ”

ฮุนหัวเราะเบาๆ แล้วถามขึ้นอย่างเกรงใจ

“แล้วนายเนตรเล่า”

“พี่เนตรรือ…”

ลำจวนมองที่มือข้างขวาฮุนที่ดูปกติดี แล้วมองสบตาเขาอย่างอยากรู้ความในใจ

“เจ้ายังโกรธแค้นชิงชังพี่ชายข้าอยู่รือ”

“ไม่ดอก กลับรู้สึกเป็นบาปกรรมด้วยซ้ำ ที่เป็นต้นเหตุทำให้เธอไม่ได้มาอยู่กับครูทองอยู่อีก”

“เธอไปได้เมียอยู่ราชบุรี แลไปช่วยพระแถวนั้นเขียนภาพในโบสถ์ที่ใกล้ๆ บ้านเมียนั่นแหล…ก็ยัง

คงเป็นช่างเขียนอยู่ แลมีเมียร่ำรวย มีที่นาหลายร้อยไร่ สบายกว่าพวกเรามาก ไม่ต้องสำนึกบาปไปดอก”

ทั้งสองมองหน้ากัน มองดูกันและกัน แล้วก็ต่างหัวเราะอีก เหมือนมีแต่สิ่งรื่นรมย์อยู่รายล้อม

เป็นนาน กว่าจะหยุดขำกันได้

ฮุนเริ่มต้นรื้อความในใจขึ้นมากล่าวอย่างจริงจัง

“ผมไม่เคยลืม ที่คุณสอนให้ผมหัดพูดให้ชัดเจนเช่นชาวสยามที่มีความรู้ แล้วจะมีสง่า น่านับถือ

ผู้คนจะได้ไม่หัวเราะเยาะ ให้ผมมีความอุตสาหะ มานะ พากเพียร จึงจะทำการต่างๆ สำเร็จ”

ดวงตาลำจวนแพรวพราวเป็นประกาย หากแกล้งแสดงสีหน้าทรงภูมิยิ่ง

“ดีแล้ว ผู้หลักผู้ใหญ่ย่อมสอนสั่งให้เด็กๆ ได้ดีทุกคน”

แล้วทั้งสองก็ต่างหัวเราะเสียงดังสนั่นลั่นสวนอีกจนนกตกใจ บินหนีไปจากรัง กระพือปีกดังพึ่บพั่บ

ทั้งสองต่างรีบปิดปากตัวเอง และกลืนความรู้สึกตลกโปกฮาอย่างไร้เหตุผลลงไป

ฮุนกลับถามขึ้น สีหน้าเคร่ง

“คุณลืมผมไปแล้วรือไม่”

ลำจวนมองหน้าฮุน แล้วเกิดความรู้สึกประหลาด ประหนึ่งว่าทนมองสบตาชายหนุ่มต่อไปไม่ได้ เหมือนกับดวงตาคู่นั้น มีคลื่นความร้อนรุ่มบางประการ ที่อาจจะเผาเธอให้หลอมละลายลงไป ลำจวนผินหน้าหนี และพานสืบเท้าห่างจากเขาไป

ฮุนฉงนที่จู่ๆ ลำจวนก็เดินหนีไปซึ่งๆ หน้า เขารีบตามเธอไปจนทัน

แล้วลำจวนก็หยุด หันมา เหมือนเพิ่งตั้งตัวติด ตั้งสติได้และตัดสินใจจะตั้งรับอย่างเปิดเผย เป็นไรเป็นกัน

เธอเงยหน้าขึ้นมา ประสานสายตากับเขาอย่างกล้าหาญ แววตาสุกสว่าง ซื่อตรง

“ทุกคราที่เข้าไปไหว้พระในโบสถ์ ก็ไปยืนดูภาพมโหสถชาดก ดูที่ต้นไม้ที่สวยงามเขียวสดใส

แล้วนึกถึงผู้เขียนต้นไม้นั้น”

ฮุนใจเต้นรัว

“จริงรือ”

“อ้าว หาว่าพูดปดกระนั้นรือ”

ลำจวนออกเคือง

“มิได้”

ฮุนอธิบายละล่ำละลัก

“เพียงแต่…กระผมเป็นคนต่ำ ไม่คิดว่าจะมีผู้ใด…นึกถึง”

“คนต่ำอย่างไร ฉันว่าเจ้าตัวสูงใหญ่กว่าฉันมาก”

ลำจวนเปลี่ยนสรรพนามเป็นฉัน ฟังดูนุ่มหูขึ้น ทว่าสะบัดเสียงอย่างหาเรื่อง

ฮุนมองเธอจนทั่วร่าง แล้วยิ้ม

“ฉันตัวสูงเท่าไหล่…”

ลำจวนลอยหน้า

“มิใช่คำถามนะ เป็นคำบอกเล่า”

ลำจวนก็คือลำจวน มีความรีๆ ขวางๆ เล่นแง่เล่นมุม ไม่โอนอ่อนผ่อนตามผู้ใด

“ถ้าเป็นคำถาม ต้องพูดว่า…สูงเท่าไร”

ฮุนแกล้งเน้น ร.เรือจนชัดเกินจริงไปมาก ซึ่งได้ผล เพราะลำจวนหัวเราะชอบใจอย่างยิ่ง

“อยู่กับเจ้าแล้วหัวเราะเสียงดังเกินงามตลอดเวลา”

“เช่นกัน ผมมิได้หัวเราะดังๆ บ่อยนัก”

ฮุนรู้ดี ว่าที่เขากล่าวคือคำสัตย์จริง

“ถ้ามีองค์ปะตาระกาหรามาเสกให้ฉันเป็นชายบ้างคงดี เราคงได้พบปะพูดคุยกันเสมอๆ และคงเป็นมิตรสหายที่รักสนิทกันได้”

น้ำเสียงหญิงสาวและสายตาของเธอมีความเศร้าแฝงเจือ

ฮุนรู้จักเรื่องอิเหนา เขารู้ว่าบุษบานางเอกถูกเทพผู้สูงสุดในสวรรค์บันดาลให้เป็นชายไปช่วงหนึ่ง เพื่อสั่งสอนบทเรียนแก่ระเด่นมนตรีอิเหนา พระเอกของเรื่อง

เขามองดูลำจวน

นอกจากจะจริงจังจริงใจ ลึกลงไป เธอยังมองว่าเขามีความรอบรู้เรื่องหนังสือหนังหาของชนชั้นสูงแห่งสยามเท่าเทียมกันกับเธอ หรือบุรุษอื่นที่เป็นคนดีมีวิชา

ชายหนุ่มแอบซาบซึ้งใจอยู่ครามครัน

“ถ้าคุณเป็นชาย…คงเป็นชายรูปงามเทียว”

คำกล่าวนั้น เป็นคำเกี้ยวพาชัดแจ้ง

ลำจวนกระดากอาย จนต้องรีบกลบเกลื่อนแก้ขวยเป็นการตลกขบขัน

“โอ้…หากฉันเป็นชายรือ…ฉันจะงามเช่นนี้…”

เธอร้องเพลงละครรวดเร็วกว่าจังหวะจริง เอื้อนเพียงเล็กน้อย ทำท่ารำอย่างมิตั้งใจจะให้งาม ล้อตัวเองเล่น

ต่างพินิจพิศโฉมอุณากรรณ       ว่างามดังอสัญแดหวา

อันบุรุษสุดสิ้นแดนชวา            ทั้งในใต้ฟ้าไม่เทียมทัน

บ้างว่าเปรียบเทวัญนั้นเห็นผิด    ดูจริตรูปร่างเหมือนนางสวรรค์

นวลละอองผ่องพักตร์ผิวพรรณ   ดังบุหลันวันเพ็ญอำไพ

ฮุนร้องทวน พลางทำท่ารำตามทันที

“นวลละอองผ่องพักตร์ผิวพรรณ     ดังบุหลันวันเพ็ญอำไพ”

ลำจวนอ้าปากค้าง

“นายฮุน เหตุไรจึงจดจำสิ่งต่างๆ เก่งนัก เช่นนี้เองผู้คนจึงพูดว่า คนจีนมีหัวเปรื่อง น่ากลัว

ให้ระวังให้ดี สักวันจะเป็นผู้ครอบครองการค้าไปทั้งหมด”

“ผมอยากจดจำทุกสิ่ง…ที่คุณกระทำ”

ชายหนุ่มจ้องดวงหน้านั้น ตรามั่นไว้ในใจ

ลำจวนไม่หลบตา

“เราเป็นเพื่อนที่พูดคุยสนุกถูกคอกันดี”

“เพื่อนคนอื่นๆ ก็ไม่มีผู้ใดสนุกขบขันเช่นคุณ” ฮุนย้ำ

“ถึงมีเพื่อนเหมือนพี่ไม่มีเพื่อน  เพราะไม่เหมือนนุชนาฏที่มาดหมาย มีเพื่อนเล่นก็ไม่เหมือนกับเพื่อนตาย  มีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนกับเพื่อนชม”

ลำจวนกล่าวเพราะกลอนพาไปจริงๆ ด้วยความคะนอง ครั้นนึกได้ว่าปากออกจะไวเกินไปหรือไม่ ก็หยุดทันควัน

“อันใดหนา ว่าใหม่ดูถี”

ฮุนตั้งใจเต็มที่

“ถึงมีเพื่อนเหมือนพี่ไม่มีเพื่อน”

ลำจวนสนอง

“ถึงมีเพื่อนเหมือนพี่ไม่มีเพื่อน”

ฮุนท่อง

“เพราะไม่เหมือนนุชนาฏที่มาดหมาย”

“เพราะไม่เหมือนนุชนาฏที่มาดหมาย”

“มีเพื่อนเล่นก็ไม่เหมือนกับเพื่อนตาย”

“มีเพื่อนเล่นก็ไม่เหมือนกับเพื่อนตาย”

“มีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนกับเพื่อนชม”

“มีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนกับเพื่อนชม”

ฮุนว่าตามทีละวรรค ดวงตาสื่อความหมายดังนั้นทุกวรรค

ลำจวนรีบอธิบายกลบเกลื่อน

“คือ…ไม่ใช่กลอนของข้าหนา กลอนของครูมีบ้านบุ กำลังเป็นที่นิยมฟังกัน เขาอ่านสู่กันฟังทั่วไปในตลาด”

“ครูมีบ้านบุรือ…”

ฮุนตื่นเต้น ด้วยรู้จักตัวท่านผู้เป็นช่างเขียนที่ได้ทำงานร่วมโบสถ์วัดแจ้งกันอยู่

“เอ่อ…ฉันกลับบ้านก่อนละ อยู่นานไปแล้ว คง…ไม่ดี”

คงเป็นเพราะรู้ตัวว่าการสนทนานั้นถลำลึกลงไปอย่างเกินต้านทาน อีกทั้งแสงยามเย็นย่ำในสวนผลไม้ทึบก็รำไรลงอย่างรวดเร็ว ลำจวนหันหลัง ออกเดิน

“เดี๋ยว แล้วกระผมจะได้พบคุณอีกไหม”

ฮุนผวาตาม

“ก็…ถ้าวันพระ ก็มาที่วัดทองเสมอ”

ลำจวนหันมาบอก แล้วก็วิ่งปรูดจากไปทันที

นั่นคือคำนัดหมาย ถึงการพบกันครั้งต่อไปอย่างชัดแจ้ง

 

ทันทีที่เยี่ยมกรายเข้าไปในพระอุโบสถวัดแจ้งในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เจ้าหนุ่มผมเปียยาวก็พุ่งไปที่ครูมี ที่กำลังร่างเส้นโครงรูปพญานาคขนาดมโหฬารที่พันรอบจอมปลวกใหญ่ โดยศิษย์ท่านสองคนยืนดูอยู่

ครูมีเหลือบมามอง เพราะร่างสูงใหญ่ของเขาบังแสงจากหน้าต่าง ทอดมาเป็นเงาทะมึนทาบผนัง

“มาแอบดูอะไร เจ้าฮุน ประเดี๋ยวข้าก็กั้นผ้าขาวบังตาบ้างดอก”

ท่านสัพยอก เรียกเสียงหัวเราะตามเคย

ฮุนรีบกล่าวกลอนนั้น อย่างตั้งใจนำเสนออย่างยิ่ง

“ถึงมีเพื่อนเหมือนพี่ไม่มีเพื่อน เพราะไม่เหมือนนุชนาฏที่มาดหมาย มีเพื่อนเล่นก็ไม่เหมือน

กับเพื่อนตาย มีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนกับเพื่อนชม”

ครูมียิ้มปลื้มปริ่ม มองหน้าเจ้าหนุ่มจีนอย่างแสนทึ่ง  ท่านถึงกับวางมือ ปีนลงมาจากนั่งร้าน มายืนว่ากลอนต่อ เน้นคำและทอดเสียงอย่างมีจังหวะจะโคน

“ถึงจะมีวิมานสถานทิพ   ให้ลอยลิบเลิศมนุษย์สุดปฐม

ถ้าไม่มีคู่เคียงเรียงภิรมย์   จะเกรียมตรมตรึกหาเปนอาจิณ…”

ฮุนตกเป็นฝ่ายตะลึงบ้าง

“ไพเราะเหลือขอรับ”

“นิราศพระแท่นดงรัง…เจ้ารู้จักกับเขาด้วยรือ เจ้าฮุน เป็นจีนไว้เปียแต่รู้กลอนไทยดังนี้ ดูผิดแผกแตกต่างจริง รือชอบไปฟังพวกที่รับอ่านหนังสือให้ชาวบ้านฟังตามวัดตามศาลาท่าน้ำเล่า”

ครูมีกล่าวถึงงานชิ้นโด่งดังของท่าน

สมัยที่การรู้หนังสือเป็นเรื่องจำเพาะในผู้คนชนชั้นนำเท่านั้น ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปจึงมักไปอาศัยฟังหนังสือที่มีคนมาอ่านให้เป็นทานตามวัด ตามงาน หรือชุมชน ในบางโอกาสพิเศษ

“มี…เพื่อน…ผู้นึง ว่าให้ฟังขอรับ เขาบอกว่า…เป็นของครูมีบ้านบุ”

ฮุนอวด

“มีคนเขาลือกันผิดๆ ถูกๆ ว่าเป็นกลอนท่านครูภู่ครูบาอาจารย์ของข้า ได้ยินแล้วก็หนักใจ เกรงครู

ท่านจะเคือง…หาว่าข้าไปแอบอ้างตีตัวเสมอท่าน ข้าทะลึ่งตึงตังออกจะเพียงนี้ ตอนท่านเป็นพระ ท่านเขียนเพลงยาวกล่าวเรื่องรักใคร่ระมัดปากระวังคำออกแจ บางคราท่านก็แปลงสารเสีย ว่าเป็นผู้อื่นเขียน เช่นลูกท่านบ้าง ศิษย์เณรของท่านบ้าง ไม่เหมือนข้า ออกจะโพล่งพล่างๆ ดีจริงที่เพื่อนเจ้ารู้ลึก รู้แท้ว่าเป็นกลอนข้า”

ครูมีว่า ยิ้มแย้ม ไม่ได้เคร่งครัดเอาเป็นเอาตายแต่อย่างใด

“เพื่อน…เป็นคนรอบรู้สูงขอรับ สั่งสอนกระผมเสมอมา ในหลายๆ เรื่อง”

ขอให้ได้พูดถึงลำจวน แม้ไม่อาจกล่าวอย่างเปิดเผย แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มจิตใจเบิกบานได้

“มิน่า เจ้ามันมีลักษณะแปลก…โดดออกมาจากใครๆ ก็เพราะชอบคบพวกบัณฑิตนี่เอง บัณฑิตานัญ จะเสวนา…เป็นมงคลชั้นยอดแก่ชีวิตเลยนา ขอทำนาย ว่าต่อไป เจ้าจักได้ดีแน่นอน”

ครูมีอวยพร

ฮุนดีใจเนื้อเต้น ยกมือพนมท่วมหัว

“ขอให้เป็นจริงขอรับ”

“ต้องเป็นจริงซี พ่อข้าเป็นโหรหลวงเทียวนา อย่าหาว่าคุย”

ท่านลูบหัวฮุนเบาๆ

“อีกหน่อยเป็นใหญ่เป็นโตแล้ว อย่าลืมนายมีบ้านบุคนนี้ก็แล้วกัน”

เหล่าศิษย์ครูมีโอดโอยโวยวาย

“…ครูทำนายให้ผมบ้างซีขอรับ”

“ไม่!”

ท่านหันมา กระแทกเสียงได้จังหวะเหมาะ ทำให้ทุกคนได้ฮากันอีกครา

 



Don`t copy text!