บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 22 : ดับฝัน

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

เช้านั้นก็เป็นเช่นทุกวัน ที่เรือนนายสุ่น แม่จำปากับลำจวนและนางทิม แต่งตัวสวยงามเพื่อออกจากบ้านไปค้าขาย ทาสชายสองคนช่วยกันยกหีบผ้าไหมไปลงเรือ

“ลำจวน จะไปไหน”

แม่จำปาและลำจวนกำลังจะก้าวลงบันไดเรือน เสียงนพก็ดังตามหลังมา หญิงสาวหันไปมองอย่างแปลกใจ ก็พบพี่ชายคนเล็กยืนวางท่ากร่างอยู่

“ไปขายผ้ากับแม่”

ลำจวนตอบอย่างสงสัย

แม่จำปาเอ่ยอย่างมีน้ำใจ

“ก็ไปหลายแห่งอยู่ คุณนพจักฝากซื้ออันใดที่ไหนรือ”

“เปล่า…แต่ แม่จำปาไปกับนางทิมสองคนก็พอกระมัง ลำจวนไม่ต้องไป”

นพออกคำสั่ง

“เหตุใดพี่นพจึงจะไม่ให้ฉันไป”

ลำจวนข้องใจ

นายสุ่นเดินออกมาจากในเรือน กล่าวเรียบๆ

“พ่อจะใช้เจ้า…ทำธุระให้สักหน่อย ไป…จำปา จะรีบไปขายผ้าก็ไป ให้ลำจวนอยู่บ้าน”

นี่เป็นเรื่องผิดปกติชัดเจน

คุณนายนอบเดินออกมาสมทบ

“เข้ามานี่ ลำจวน มาดูอะไรนี่หน่อย”

ลำจวนหันมองหน้าแม่ตาปริบๆ หวังจะให้ช่วย

“แม่นอบเขามีของจะให้ เจ้าจะได้มีของดีๆ ใส่เวลาไปบอกบทละคร”

นายสุ่นยิ้มเยื้อนใจดี

“บอกบทละครอะไร ไหนว่า…เล่นในบ่อน มีแต่ฉากหยาบโลน มีแต่คนนักเลง ไม่ให้ลูกไป”

แม่จำปาแย้ง ตงิดใจ

“มิได้ นี่จะพาไปแสดงกับคณะละครผู้หญิง เล่นเรื่องอิเหนานั่นแล”

นายสุ่นขึงขัง

“เรื่องอิเหนา…ในวังใดรือ เขามิให้แสดงอิเหนาให้ชาวบ้านดูมิใช่รือจ๊ะ”

ลำจวนท้วง

“เออน่า ที่เรือนนี้…แสดงได้ แอบๆ แสดงเล่นกันสนุกๆ มิได้ให้ผู้คนรู้กันดอก”

นายสุ่นสะบัดเสียงเหมือนจะรำคาญ แต่ลำจวนไม่ยอมลดราวาศอก

“เรือนผู้ใด จึงกล้าทำได้”

“ก็ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ที่มีคณะละคร มีวงมโหรีผู้หญิงได้ก็แล้วกัน”

คุณนายนอบและนพ แอบส่ายหน้าระอาใจให้กัน

“แต่…ลูกท่องจำบทไม่ได้ทั้งหมดดอก ลูกจักบอกบทอย่างไรได้”

ลำจวนอุทธรณ์

“พ่อจักสอนให้เจ้าอ่าน”

นายสุ่นกล่าวคำโต

ลำจวนแทบกระโดดลิงโลดขึ้นมาพลัน

“จริงหรือจ๊ะ พ่อ”

ลำจวนตื่นเต้น ตาวาว หันมามองแม่อย่างดีอกดีใจ ไม่ได้เห็นหน้านางทิมที่สมเพชเวทนาเสียนัก

 

คุณนายนอบเปิดหีบเครื่องแต่งตัววางลงตรงหน้า เครื่องเพชร เครื่องทอง ล้วนแล้วแต่ของดี แพรวพราวระยิบระยับ งดงามจับตา

นางเลือกหยิบตุ้มหู กำไล และสร้อยทองคำขนาดหลายบาท ฝังเพชรฝีมือประณีตออกมาให้

“เอ้า ให้ยืม”

“ไม่เป็นไรดอกค่ะ คุณนายแม่”

ลำจวนออกจะเกรงใจ

“ข้ารู้ว่าแม่เจ้าก็พอมี แต่…ข้าอยากให้สวมชิ้นใหญ่ๆ หน่อย จะได้ไม่น้อยหน้าคนอื่น”

“อิฉันต้องไปบอกบทละคร…ที่ใดรือเจ้าคะ จึงต้องแต่งตัวประกวดประขันกับใคร”

“เอาเถอะน่ะ เจ้างามอยู่แล้ว เพียงแต่…แม่อยากให้ผู้หลักผู้ใหญ่ท่านเห็น ว่าพ่อแม่รักลูกมาก ใครๆจะได้เกรงใจอย่างไรเล่า”

ลำจวนจนถ้อยคำ มิอาจทำสิ่งใดได้ นอกจากกราบลง

 

“เมื่อนั้นจรกาตกใจเป็นนักหนา
ชลเนตรไหลหลั่งดังธาราพักตราเศร้าซีดลงทันใด
เพียงองค์พระกาลชาญฤทธิ์มาเด็ดดวงชีวิตไปได้
ความรักความเสียดายเป็นพ้นไปจึงตริตรึกนึกในเหตุการณ์
ดีร้ายอิเหนากุเรปันใครอื่นนอกนั้นไม่อาจหาญ
ครั้นจะว่าก็เกรงพระภูบาลแต่เดือดดาลร่านร้อนดังอัคคี
จึงทูลถวายบังคมลาจะไปตามบุษบามารศรี
แม้นมิได้องค์พระบุตรีจะสู้ม้วยชีวีไม่กลับมา ฯ”

ข้อความตัวหนังสือในหน้าสมุดไทยนั้นตัวเล็กๆ ยิบๆ เยอะแยะและยาวจนลำจวนมองอย่างแหยงๆ เพราะล้วนแต่ถ้อยคำยากยิ่ง

“เพ พี…เพ…”

ลำจวนเงยมองพ่อ ลำบากใจ

“เพียง…พอพาน สระเอีย…เพีย…งอ.เพียง”

ผู้เป็นบิดาหงุดหงิด ด้วยมีธรรมชาติเป็นคนใจร้อน เจ้าอารมณ์

“เพียง…ออ. งอ. คอ.”

หญิงสาวมองพ่อ ลังเล

“ออ. งอ. …คอ การันต์ ไม่ต้องออกเสียง ออ. งอ. อ่านว่าองค์”

“…เพียงองค์?”

ลำจวนไม่แน่ใจ

นายสุ่นชี้คำต่อไป

“พอ รอ อะ …”

“พระ? เพียงองค์พระ?”

ลำจวนดีใจที่เดาออก

นายสุ่นถอนใจเฮือก วรรคนั้นคือ เพียงองค์พระกาลชาญฤทธิ์

“เฮ้อ…”

เขามองดูคำต่อๆ ไปแล้วมองหน้าลำจวน รู้สึกอับจนปัญญาเต็มทีที่จะสอนเธอได้

“เห็นรือไม่เล่า”

เขาบ่นอย่างท้อถอย

“ว่าอ่านหนังสือนั้นยากเกินไป เกินกว่าหัวคิดของพวกผู้หญิงจะเข้าใจได้โดยง่าย มิเช่นนั้น เขาคงให้ผู้หญิงได้ร่ำเรียนเขียนอ่านกันมาแต่ครั้งบรรพกาลแล้ว ไม่ใช่ให้เพียงผู้ชายเรียนเช่นนี้ดอก”

ลำจวนอึ้ง เสียใจจนบอกไม่ถูก

“เจ้านพ…เจ้านพ…”

นายสุ่นหันไปตะโกนเสียงเขียว

นพโผล่มา ทำหน้าแป้นแล้น

“ขอรับ”

“ข้ามึนหัวเต็มที เอ็งลองสอนนางลำจวนทีรึ เช่นนี้ไม่รู้ว่าอีกชาตินึง มันจะอ่านเพียงสมุดเล่มที่สิบเจ็ด เล่มเดียวนี้…ได้สำเร็จรือไม่”

นายสุ่นลุกออกไปจากระเบียง

“เอ็งเรียนกับพี่ชายไปก็แล้วกัน ข้าจักไปนอนพักก่อน”

เขาตรงไปที่ยกพื้นที่มีเชี่ยนหมากวาง หยิบหมากใส่ปากแก้เครียด ก่อนเดินหนีเข้าห้องนอนไป

นพเดินมานั่งแทน หัวเราะอย่างหาเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใดไม่

“พ่อก็…เคร่งเครียดจริงจังไปได้ ลำจวน พี่รู้ดี ว่าเอ็งนี่แหล เก่งกาจฉลาดเฉลียวนัก เรื่องบทละครอิเหนาเพียงเล่มเดียวนี้ หาได้เกินกำลังเอ็งไม่”

“ทำไมจึงต้องให้หัดอ่านเล่มที่สิบเจ็ดเล่มเดียว”

ลำจวนเอนพิงเสา หมดแรงกายแรงใจ

“เพราะเป็นเล่มที่อิเหนาได้บุษบากระไรเล่า”

พี่ชายร่วมบิดาคนเล็กยักคิ้ว ทำหน้าสัปดน

“แต่ฉันอ่านไม่ได้ อย่างไรก็อ่านไม่ได้ดอก”

ลำจวนโกรธตัวเองมากกว่าใคร

“ไม่ต้องนั่งแกะทีละตัวอักษรมาผสมกันให้ปวดลูกตาไปดอก ลำจวน ใช้หัวคิดจดจำเอา เจ้าท่องให้ได้ก็พอ…จำเพียงท่อนสำคัญๆ ที่เขาชอบใช้รำกันเท่านั้น มา…เอ้า บทนี้ ท่องตามพี่”

นพหยิบยาเส้นและเอากลีบบัวมามวนรวดเร็ว เคาะหินเหล็กไฟ จุดไฟ จุดยาสูบ สบายๆ

“เมื่อนั้น จรกาตกใจเป็นนักหนา ชลเนตรไหลหลั่งดังธารา พักตราเศร้าซีดลงทันใด”

พลันลำจวนกล่าวกลอนต่อทันที โดยไม่ต้องมองหนังสือด้วยซ้ำ

“เพียงองค์พระกาลชาญฤทธิ์ มาเด็ดดวงชีวิตไปได้ ความรักความเสียดายเป็นพ้นไป จึงตริตรึกนึกในเหตุการณ์”

นพตาลุก

“เอ๊า เจ้าลำจวน! เจ้าก็จำได้แล้วนี่”

หญิงสาวท่องปาวๆ ต่อเนื่องไปเป็นนกแก้วนกขุนทองคล่องปรื๋อ ใบหน้าเรียบเฉย ไร้ความรู้สึก

“ดีร้ายอิเหนากุเรปัน ใครอื่นนอกนั้นไม่อาจหาญ…”

นพตบเข่าฉาด

“บ๊ะ ลำจวน เจ้าไม่ทำให้พี่ผิดหวังจริงๆ ท่องเข้าๆ ตรงไหนจำไม่ได้ก็ให้พ่อช่วยพูดแทรกไปพลาง คนบอกบทก็มีหน้าที่บอกเตือนป้องกันมิให้คนร้องลืมเนื้อร้องตั้งมากตั้งมายเพียงเท่านี้แล แล้วโดยส่วนมาก คนร้องเขาก็พอจะจำเนื้อร้องได้เป็นพื้นอยู่แล้ว ท่านเจ้าคุณอินทราท่านก็ไม่ได้จักสอบเสียหน่อย”

ลำจวนมองหน้านพ กระจ่างแล้ว ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัว

“ฉันต้องไปบอกบทละครผู้หญิงที่แพท่านเจ้าคุณนครบาลรือ…แล้วฉันต้องไปเป็นเมียท่านด้วยใช่หรือไม่”

“ออลำจวน…แม่มหาจำเริญ ท่านเจ้าคุณท่านเป็นผู้ใหญ่น่านับถือ หากเจ้าไม่เต็มใจ ท่านก็หาหักหาญน้ำใจไม่ ท่านเอ็นดูเจ้า จึงมาขอให้พ่อพาเจ้าไปช่วยบอกบทละครโรงเล็กๆ ของท่าน เจ้าก็จะได้มีค่าจ้างจ้างค่าออนพิเศษเล็กๆ น้อยๆ พ่อนั้น…ไปเปิดแสดงที่ใด ท่านก็จะช่วยดูแลสนับสนุน ส่วนพี่…ท่านก็จะพิจารณาให้ได้ทำงานรับราชการเป็นนครบาลกับเขา นึกว่าเมตตาพี่เถิดเจ้าน้องรัก…นะจ๊ะ แม่ลำจวน พ่อก็ไป นายแม่ก็ไป พี่ก็ไป เราไปกันทั้งบ้าน ใครจะมารังแกเจ้าได้”

นพหว่านล้อมอ่อนหวาน

 

ดวงตะวันยังไม่ขึ้น แม่น้ำลำคลองสีเข้มดุจกำมะหยี่ สะท้อนแสงไฟดวงนิดๆ น้อยๆ จากเรือนและแพวับๆ

ในแสงไฟจากเตา ที่สลัวเพียงเรืองๆ ฮุนเอาไข่ต้มหลายฟองขึ้นจากหม้อมาแช่ในขันน้ำเย็น กงเดินงัวเงีย กระแอมกระไอ ออกมาจากห้องด้านใน ฮุนหันไป เกรงใจนักที่ทำให้กงตื่นก่อนเวลา

“อาฮุน ลุกมาทำอันใดแต่มืด”

ท่านถามเสียงดังตามนิสัย

“ต้มไข่น่ะ กง”

กงมองอย่างสงสัย

“ต้มไปกินที่วัดแจ้งรือ ไหนว่าทางวัดมีเลี้ยงข้าวปลา”

“เอ่อ…เปล่า คือ…อั๊วจะเอาไป…ใส่บาตร”

ฮุนอึกอัก

“ใส่บาตร…ใส่ทำไม พระพายเรือผ่านในคลองไปตลอดทุกวัน ตั้งแต่ลื้อหัดเดินอยู่ที่นี่ ร้อยวันพันปี อั๊วไม่เห็นลื้อใส่บาตร”

กงหยิบน้ำร้อนมารินดื่ม

“วันนี้วันพระ”

ฮุนขัดๆเขินๆ

“วันพระ…แล้วอย่างไร”

“อั๊วจะไปทำบุญไง โฮ่ย กงนี่ ถามอันใดนักหนา”

ฮุนเอะอะเกินจำเป็น รีบเอาไข่มาห่อผ้า เอาใส่ย่าม แล้วโดดลงจากเรือนพัก ดุ่มๆ ไปทางท่าเรือรวดเร็ว ทิ้งให้กงยืนงงอยู่เช่นนั้น

 

สายมากแล้ว หลังการฉันเช้า พระภิกษุที่มาฉันรวมกันที่ศาลาการเปรียญวัดทอง สวดมนต์มาถึงบทยถาสัพพีในที่สุด

ในหมู่อุบาสก อุบาสิกาที่นั่งพนมมือกันเต็มศาลานั้น มีฮุนนั่งฟังสวดแอบเสาทางด้านหลังอยู่กับเขาด้วย

หนุ่มเปียยาวมองชะเง้อไปที่ด้านหน้าพระ เห็นนางจำปาและนางทิมที่สวมเสื้อห่มผ้าสไบเรียบร้อย นั่งพนมมือกันอยู่แถวแรกโดยปราศจากลำจวนตั้งแต่เช้าแล้ว ฮุนรู้สึกรุ่มร้อนใจ ดังอยู่ในอเวจีก็ไม่ปาน

 

เสร็จจากกิจสวดมนต์ฉันเช้าโปรดญาติโยมในวันธรรมสวนะที่ศาลาการเปรียญ พระบุญลือก็มาเปลี่ยนอิริยาบถ ด้วยการกวาดพื้นหน้ากุฏิผ่อนคลายกายใจ

ท่านมองอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นฮุนเดินเข้ามา

“อ้าว เจ้าฮุน”

ชายหนุ่มพนมมือไหว้ เกรงใจ

“เอ่อ…คือ…”

พระบุญลือยิ้มด้วยความกรุณา

“อ้อ…ดีๆ อยากได้ยาไปให้คนที่ถูกเฆี่ยนอีกใช่ไหมเล่า ยินว่าแผลแห้งดีมาก ไม่ช้าคงกลับไปทำงานได้แล้วนี่หนา”

ฮุนก้มหน้าลงด้วยความกระดาก

“ขอรับ มิได้มาขอยาขอรับ น้ำมันยังไม่หมดขอรับ”

“เออ ถ้าหมดก็บอกเมื่อพบกันเวลาเขียนรูปที่วัดแจ้งก็ได้ จะเอาไปให้ ไม่เห็นต้องมาถึงนี่”

“คือว่า…”

ฮุนยังคงไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน

“มีอะไร”

หลวงพี่มอง เมื่อเห็นหน้าฮุนถนัด จึงนึกรู้ทัน

ท่านระบายลมหายใจออกบางเบาด้วยความเวทนา ตัดสินใจที่จะพูดตรงๆ ไม่ให้เสียเวลาทั้งสองฝ่าย

“เจ้าฮุน ลำจวนไม่มาดอก ทีหลัง…ไม่ต้องมาพบกันเสียเวลาเปล่า แลจากนี้ไป…ถึงมา…ก็ไม่มีประโยชน์อันใด ตัดใจเถิด”

 

ยามนั้นที่เรือนนายสุ่น ลำจวนนั่งพับเพียบ เก็บมือไม้ในท่างดงาม หลังตรงเป็นสง่า ท่องบทละครพระราชนิพนธ์อิเหนาอย่างคล่องแคล่ว เคร่งขรึม ตั้งใจ จริงจัง

สายสมรนอนเถิดพี่จะกล่อม  เจ้างามจริงพริ้งพร้อมดังเลขา

นวลละอองผ่องพักตร์โสภา         ดังจันทราทรงกลดหมดมลทิน

งามเนตรดังเนตรมฤคมาศ          งามขนงวงวาดดังคันศิลป์        

อรชรอ้อนแอ้นดังกินริน              หวังถวิลไม่เว้นวายเอย…

นพยืนฟังรับลมอยู่ที่นอกชาน ปลาบปลื้มจนหน้าบาน

นางนอบเจียนหมาก อมยิ้มเปี่ยมสุข

นายสุ่นนั่งเอ้เตจิบชา ฟังน้ำเสียงอ่อนหวานเยือกเย็นของลูกสาวคนสุดท้อง พึงพอใจ

 

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ที่แพริมคลองบางยี่ขันอันโอ่อ่ากว่าบ้านเรือนผู้ใด เบื้องหน้าวงมโหรีหญิงล้วน ที่แต่นักดนตรีแต่ละนางเป็นหญิงสาววัยละอ่อนงามลออ

นายสุ่นนั่งกำกับอยู่หลังลำจวนที่แต่งกายสวยงามพิเศษผิดธรรมดา ใส่อาภรณ์ทองประดับเพชรพลอยแพรวพราว ถือบทละครในมือ แต่หาได้ก้มอ่านไม่

เธอกำลังบอกบทให้คณะละครสตรีแบบอย่างละครชั้นสูง ซึ่งในรัชกาลนี้ไม่มีแสดงกันในพระราชฐานอีกแล้ว แต่กลับมาเผยแพร่กันทั่วไปในบ้านข้าราชบริพารขุนนางชั้นสูงหลายสำนัก

“สายสมรนอนเถิดพี่จะกล่อม เจ้างามจริงพริ้งพร้อมดังเลขา…”

นวลเป็นผู้ขับร้องอยู่ในวงดนตรี ตามการบอกบทของลำจวน

นางละครหญิงวัยเยาว์สองคนในเครื่องละครงามวิจิตรครบตามขนบโบราณแท้ ปักดิ้นลูกปัดและเลื่อมเพชรระยิบระยับเป็นลวดลายละเอียดประณีต เป็นอิเหนา กับบุษบา ตัวพระ-ตัวนางคู่กัน ที่ต่างมีเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ใบหน้างามจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ร่ายรำกันอย่างแช่มช้อยทว่าทรงพลังอย่างยิ่งที่กลางแพ

แม่ครูท่านเดิมผู้มีร่างเล็กนิดเดียว หากใบหน้าเฉียบขาด ดวงตาคมกล้าดุกริบ จับตามองการรำ อย่างไม่ยอมคลาดคลา นั่งอยู่ด้านนึงกับคุณนายนอบ

บนยกพื้นประธาน ฟากตรงข้ามของการแสดง เจ้าคุณอินทรานั่งเอนสบายบนเบาะนวม พิงหมอนขวานใหญ่ชมละครเต็มคณะนั้น พลางเคี้ยวหมากเนิบๆ สำราญใจ มีนางทัดนั่งนวดขาให้ และมีบ่าวหญิงอีกสองนางพัดวี ยกกระโถนให้บ้วนน้ำหมาก

อีกด้านนึง ห่างออกไปทางเบื้องขวา ภรรยาเอกและภรรยารองนั่งแยกกันอยู่เป็นเอกเทศ ถัดๆลดหลั่นกันไป ต่างมีหีบหมากประจำตัวประดับศักดิ์ฐานะ และมีบ่าว 2 คนคอยปรนนิบัติทัดเทียมกัน

สายตาคุณหญิงพินิจเฉพาะลำจวนอย่างตั้งใจ แล้วยิ้มพอใจ หันไปสนทนากับคุณเอื้อย

“น้องสาวแม่นวลสวยกว่าพี่สาว แม่เอื้อยว่ากระไร”

สตรีผู้อ่อนวัยกว่ากัดหมากกรอบกร้วม

“นางละครเขารำกันออกสุดฝีมือ ยังเด็กสาวน้อยรุ่นๆ อรชร หน้าตาน่าดูราวกับตุ๊กตา ท่ารำอย่างครูละครในวังแท้ๆ คุณพี่ไม่ยักดู ไปดูคนบอกบท”

“ก็คนบอกบทงามเด่นออกปานนั้น”

ผู้เป็นเมียหลวงยิ้มอย่างมีชัย

นพนั่งอยู่กับเหล่าหัวหมื่นนครบาลระดับผู้ปฏิบัติการ คือหมื่นโชค หมื่นเดช หมื่นรวย อยู่ที่ชานด้านนอกแพ คอยสอดส่ายสายตาระแวดระวังผู้คนสัญจรผ่านไปมา

ทว่านพเอาแต่มองส่องเข้าไปสังเกตสังกาท่านเจ้าคุณอินทรา

เขาเห็นว่าท่านเอาแต่สนใจลำจวน ไม่เหลียวแลใครอื่นเลย

“น้องสาวข้า ถึงรำไม่เก่ง ร้องไม่เพราะ แต่ก็อ่านหนังสือได้”

“ที่สำคัญ คืองามมากนั่นแหล”

หมื่นโชคเอาใจ

นพยิ้มแป้น

เสียงนวลขับร้องด้วยหวานเจื้อยแจ้ว ขณะที่นางรำก็รำกันจนสุดฝีมือ กล่าวได้ว่าเป็นการแสดงของคณะละครที่ ‘ร้องสุดคำ รำสุดแขน’ อย่างจริงแท้

แต่ท่านเจ้าคุณมองเฉพาะที่ลำจวน สีหน้าท่านเคลิบเคลิ้มไปกับบทเพลง

นวลละอองผ่องพักตร์โสภา  ดังจันทราทรงกลดหมดมลทิน 

งามเนตรดังเนตรมฤคมาศ  งามขนงวงวาดดังคันศิลป์

อรชรอ้อนแอ้นดังกินริน     หวังถวิลไม่เว้นวายเอย…

แม่ครูหันมาจับผิดท่านเจ้าคุณบ้าง

“บุษบาคนนี้เขาก็งามมากหนา อายุเพิ่งสิบสองเท่านั้น รำงาม จริตกิริยาแพรวพราวละมุนละม่อม เหตุใด ท่านเจ้าคุณไม่เหลือบแลเลย”

นางนอบที่นั่งใกล้แม่ครูอย่างสนิทชิดเชื้อ ยิ้มอ่อนๆ

“อาจจะยังเด็กนักกระมังคะ แม่ครู”

“ลูกศิษย์รุ่นนี้ก็บุษบาคนนี้แล ที่โจษจันกันทั่ว ว่าสมเป็นบุษบาเหลือเกิน”

แม่ครูยังคงขัดข้องใจ ที่เจ้าคุณหาได้มองเห็นบุษบาน้อยๆ นี้ไม่

 

หลังการแสดง สาวๆ ดื่ม กิน พักผ่อนสังสรรค์กันตามอัธยาศัย นางทัดได้จังหวะจูงมือลำจวนลงจากแพมาที่เรือนใหญ่ด้านหลัง

ลำจวนตาลุก แม้จะรู้ดีว่าตนเองกำลังถูกหลอกล่อ แต่ก็ไม่อาจห้ามใจในเรื่องนี้ได้

…เหมือนช้างเห็นอ้อย…อย่างไรอย่างนั้น

“อยากอ่านเล่มไหน ก็เลือกยืมไปที่บ้านได้รือคะ”

“ใช่แล้ว มีทั้งตำรับตำรา บทละคร กลอนเสภา บทเพลงยาว…เป็นหีบๆ

สมุดคัดลอกนิราศเรื่องใหม่ๆ ของท่านภู่…ได้ยินว่ามีนิทานพระอภัยมณีหลายเล่ม”

นางทัดฟุ้ง

“นิทานพระอภัยมณี!”

ลำจวนตื่นเต้นกับหนังสือที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญแห่งยุคสมัย ตั้งแต่ในรั้วในวังถึงตลาดเรือแพ

“ท่านนิยมแม่ลำจวนมาก ที่เป็นสตรีที่สนใจหนังสือหนังหาผิดจากผู้ใด ท่านอยากจะอุปถัมภ์ให้ได้เล่าได้เรียนสมปรารถนา ดังนั้น ท่านจึงให้ฉันเปิดห้องหนังสือให้แม่ลำจวนชม”

นางทัดร่ายมนตร์

“อิฉันเคยเห็น…ห้องหนังสือของท่าน มีหีบและตู้หนังสือธรรมด้วย”

“หนังสือพระธรรมท่านให้คนคัดไว้สำหรับถวายพระ หนังสือตำราและวรรณคดีต่างๆ มีมากมีมายกว่าหนังสือตามวัดหลายวัดเชียว ต้องคอยรมยาไม่ให้ปลวกมากิน”

ไม่แน่ว่านางคือนางทัด หรือยายเฒ่าทัศประสาทแห่งละครนอกเรื่องพหลวิชัย-คาวีกันแน่

“ฉันก็ขอดูเพียงเป็นบุญตาเท่านั้น ไม่รู้จะยืมอันใดดอกค่ะ อ่านไม่ออก”

ลำจวนแบ่งรับแบ่งสู้

“ให้คนอ่านให้ฟังอย่างไรเล่า”

นางทัดทำเสียงเล็กเสียงน้อย คิกๆ คักๆ

“พี่นพอ่านได้ค่ะ” ลำจวนเบี่ยงเบน

นางทัดถอนใจ แต่ก็ไม่ท้อถอย

“ก็ให้พ่อนพอ่านให้ฟังและสอนทีละนิดละน้อย ท่านให้ลำจวนไปเลือกอ่านได้ตามชอบ จะยืมนานเท่าใดก็ยืมเถิด ท่านไม่เคยหวงเลย”

 

ลำจวนถูกพาขึ้นเรือนไปจนได้

เจ้าคุณอินทราเดินเอามือไพล่หลัง กระดิกๆ นิ้วเล่นสบายอารมณ์ เมื่อย่องออกมาทางหลังแพสำเร็จ เสียงดนตรีซ้อมละครต่อก็ดังไล่หลังมา

นางทัดแจ้นลงมาจากเรือนเห็นเจ้าคุณมาตามที่นัดแนะกันไว้ก็สบใจนัก

“ท่านเจ้าคุณของอีทัด…เรียบร้อยเจ้าค่ะ นางลำจวนมันเพียงบ่นว่า…ยังอ่านไม่ใคร่คล่อง อยากให้มีผู้อ่านเก่งๆ อ่านให้ฟังถี…”

ยามนั้น นางทัดกลายเป็นนางแมวขี้ประจบ วิ่งอ้อมหน้าอ้อมหลัง พันแข้งพันขานายอยู่ไปมา

“แม่ลำจวนพูดเช่นนั้นรือ”

เจ้าคุณอินทราออกชื่อลำจวนด้วยน้ำเสียงห้าวทุ้มลึกนุ่มละมุน

“เจ้าค่ะ จะหมายถึงผู้ใดได้อีก…นอกจาก…”

นางทัดช้อนตากระชดกระช้อยมองเจ้าคุณ

“พูดเป็นเล่น”

ท่านสงวนทีท่า

“จริงจริ๊งเจ้าค่ะ เท่านี้ก็ตีความหมายได้แล้ว ว่ามันเต็มใจ”

นางทัดเคลิ้มไปกับจินตนาการของตัวเอง

พลันเจ้าคุณชะงัก เสียงเข้ม

“เอ็งเรียกผู้ใดว่ามัน”

“อุ่ย!…เอ่อ…”

นางได้สติ รีบเปลี่ยนถ้อยคำ

“แม่ลำจวน…คุณเธอ…คุณเธอเต็มใจเจ้าค่ะ”

“เอ็งไปบังคับขู่เข็ญเธอหรือไม่”

ชายผู้ยิ่งใหญ่ดักคอ

“มิได้เลย แม้แต่น้อยนิด”

ทัดทำเสียงอ่อนเสียงหวาน

“ออลำจวนไม่เหมือนผู้ใด แม้แต่แม่นวลพี่สาว…ก็ไม่เป็นเช่นนี้”

ดวงตาเจ้าคุณอินทราอ่อนหวานดุจเคลือบด้วยประกายเงินยวงของไข่มุก

“อูย…ขอเพียงท่านเจ้าคุณรับมันไว้เลี้ยงดู สอนหนังสือหนังหา มันก็ดีใจยังกับได้แก้ว”

นางทัดเผลออีก

“อีทัด!”

เสียงมีอำนาจตวาดดังฟ้าคำราม

“หากเรียกลำจวนว่ามันอีกคำ มึงจะโดนตบด้วยกะลา”

นางทัดสลดวูบ ทรุดลงหมอบกระแต

“ขออภัยเจ้าค่ะ”

“ลำจวนฉลาดเยี่ยงนี้ เกรงว่า…จะหัวแข็ง เจ้าถ้อยหมอความ ไม่อยู่ในโอวาทมากกว่า”

กับลูกสาวคนนี้ของนายโรงสุ่น ท่านเจ้าคุณกลับไม่มั่นใจในตนเองนัก

“คุณเธอฉลาดเจ้าค่ะ คุณเธอย่อมทราบ…ว่าควรพึ่งพาอาศัยผู้ใด คุณเธอชมเจ้าคุณไม่ขาดปาก ว่าสง่างาม เปี่ยมราศี น่าเคารพบูชา น่าอยู่ใกล้ๆ”

เหมือนนางทัดจะสวมวิญญาณลำจวนสดๆ ถึงกับคว้ามือใหญ่หยาบกระด้างของนายผู้ชายมาแนบแก้มดวงตาเคลิ้มฝันเหลือกขึ้นฟ้า

“เอ็งนี่…ตอแหล”

ชายผู้เปี่ยมอำนาจค้อนขำ

นางทัดหายใจอกกระเพื่อมไหว ลูบคลำมือใหญ่แข็งแกร่งนั้นไปมา

“คุณเธอกำลังอ่านหนังสืออยู่ค่ะ อิฉันหลอกล่อให้มันอ่านทวาทศมาสอยู่เชียว”

เจ้าคุณเลิกคิ้ว

“ทวาทศมาสเชียวรือ”

นางทัดหอบกระเส่า

“ท่านเจ้าคุณจะได้อ่านให้คุณเธอฟังถนัดๆ อย่างไรเจ้าคะ”

 

ในห้องกว้าง สว่าง เมื่อเปิดหน้าต่างประตูออกไปหมด แสงยามบ่ายก็ส่องจ้าเข้ามาทั้งสองด้าน เป็นที่เหมาะสมแก่การอ่านเขียนอย่างยิ่ง

มีตู้ลายรดน้ำใบใหญ่ตั้งชิดเต็มผนังด้านหนึ่ง ส่วนพื้นที่ที่เหลือจัดวางหีบหนังสือหลายใบกับพื้น มีโต๊ะเท้าสิงห์ตั้งบนผืนพรมแขก วางเบาะที่นั่งข้างโต๊ะ ที่ผนังอีกด้านวางตั่งตัวยาวสำหรับเอนหลังด้วย

ลำจวนหมุนรอบตัว ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน แล้วตัดสินใจย่องไปค่อยๆ เปิดตู้ลายรดน้ำใบที่ใกล้ตัวออกดู

ข้างในตู้มีสมุดเล่มยาวเป็นผูกๆ มีทั้งที่เป็นสมุดขาว สมุดดำ และใบลาน คือกฎหมายตราสามดวงแต่ครั้งกรุงเก่ามาจนแผ่นดินธนบุรี และฉบับใหม่ๆ ว่าด้วยมาตราต่างๆ ของแผ่นดินต้น แผ่นดินกลาง

แม้อ่านไม่ออก ทว่าดวงตราแผ่นดินอันทรงพลังอำนาจ ที่แผ่รังสีแผดกระจายออกมาข่มขวัญรุนแรง จนลำจวนถอยกรูดด้วยความยำเกรง สำนึกในความยิ่งใหญ่ที่ตนบังอาจละลาบละล้วงลามปาม จนต้องรีบปิดตู้ลงอย่างระมัดระวัง

หญิงสาวค่อยๆ ย่องไปอีกตู้

แม้พยายามจะห้ามใจไม่ให้ซุกซน แต่ความอยากรู้อยากเห็นที่มีมาก ผลักให้เธออาจเอื้อม ยื่นมือไปเปิดบานประตูอีกจนได้

ในตู้ที่สองล้วนแล้วไปด้วยสมุดธรรม พระไตรปิฎกทั้งฉบับขอม ฉบับล้านนา ฉบับมอญ พม่า

พระคัมภีร์คาถาต่างๆ ผูกเล็กผูกใหญ่ ห่อผ้าลายบ้าง ผ้าปักทองบ้าง น่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์ทรงค่าที่มีที่มาอันน่าพิศวงทั้งสิ้น

ลำจวนยกมือพนมมือไหว้สามครั้งเร็วๆ แล้วรีบปิดลง

ห้องห้องนี้ช่างเป็นดินแดนมหัศจรรย์ราวขุมสมบัติค่าควรเมือง ลำจวนถอยออกมา แล้วหันมาสนใจพวกหีบต่างๆ บ้าง

เปิดฝาหีบใบแรกออก มีตำราศัสตราวุธ ตำราพิชัยสงคราม มีภาพลายเส้นประกอบ

หีบใบถัดมา…

ยังไม่ทันแตะ ลำจวนก็ต้องชะงัก เพราะบนฝาหีบมีสมุดขาวไทยเล่มใหญ่วางอยู่ หน้าปกวาดรูปดอกไม้ลายเครือเถาบรรจงวิจิตรแปลกพิสดาร เป็นลายกนกอ่อนช้อยฉวัดเฉวียนทรงพลังดึงดูดอย่างประหลาด

ลำจวนคุกเข่าลง เพื่อจะได้มองดูในระยะใกล้

หญิงสาวเอื้อมมือไปแตะอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ เปิดพลิกดู

ในนั้น มีภาพประกอบแทรกเป็นระยะ เป็นภาพชายหญิงอยู่ใกล้เคล้าคลอเคลียกัน

ลำจวนตาเบิกโต แตกตื่น ทรุดลงนั่งบนผืนพรมนุ่ม หันหนังสือไปอาศัยแสงตะวันคล้อย ที่ส่องมาทางหน้าต่าง

เรียมคิดพิเศษช้อย         ชิวหา

รนฤดีดัษกาม              ก่อเกื้อ

ถวิลทิพยสุนาสา          เสาวณิศ

เนื้อแนบนวลนุชเนื้อ       แนบใน

ภาพหญิงกับชายที่เอาใบหน้าชนชิดติดกันนั้น เร้าใจชวนให้อยากรู้ถ้อยความที่ปรากฏบนหน้ากระดาษ

“เร…รี…เรียม…”

ลำจวนแกะตัวสะกดตะกุกตะกัก

“ยากเหลือเกิน”

หญิงสาวทำหน้ายุ่ง มือพลิกเปิดหน้าต่อไปเพื่อดูรูปภาพ

ประตูเปิดเบาๆ เจ้าคุณก้าวมา เงียบกริบ

ลำจวนพยายามอ่าน

“คิด…คิด…คลึ…คิดคลึง”

เจ้าคุณหัวเราะเบา

ลำจวนสะดุ้ง หันไป เมื่อเห็นบุรุษผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ถึงกับนั่งนิ่งตัวแข็ง ไม่ทราบว่าควรทำกระไรดี

เจ้าคุณปิดประตูห้องลงสนิท พลางว่าโคลงนั้น

คิดคลึงบัวมาศสร้อย               สระศรี

 ผลิตดอกบุษบาใบ                  แบ่งไว้

 คิดชมมิ่งมาลี                       ไลยเลิศ

แบะผกาเกลียวใต้                  ต่ำเม-รุ  

ลำจวนกำลังขยับจะลุก ครั้นได้ยินคำ-ความเหล่านั้นก็ชะงัก แปลกใจ หันไปก้มลงดูตัวสะกดใหม่อีกครั้ง

“เมน…ที่เผาศพ…น่ะรือเจ้าคะ”

เจ้าคุณนั่งลงบนผืนพรมข้างๆ หีบนั้น ไม่ห่างจากเธอ พลางอธิบายเสียงทุ้มห้าว นุ่มนวล

“เมน…เป็นนามของภูเขากลางจักรวาล มียอดเป็นที่ตั้งแห่งเมืองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ที่เป็นที่อยู่ของพระอินทร์”

ลำจวนตาโตกับความรู้ดีๆ

ท่านเจ้าคุณขยับเข้ามาหา เอียงเข้ามาใกล้ ทำทีเป็นก้มอ่านหนังสือด้วย

“ออเจ้าอ่านแล้วกระจ่างไหม ว่าหมายความกระไรบ้าง”

“ก็…เข้าใจบ้างค่ะ”

เจ้าคุณยิ้มใจดี ก้มลงอ่านให้ฟัง

“คิดคลึงบัวมาศสร้อย สระศรี…แปลว่า…อยากจะสัมผัสดอกบัวทอง ที่งามอยู่ในสระ”

มือใหญ่ แข็งแรง ร้อนผ่าว ยื่นมาลูบแขนลำจวน

“ผลิตดอกบุษบาใบ  แบ่งไว้”

ท่านเอื้อมมือมาใกล้ทรวงอกหญิงสาว

ลำจวนลุกพรวดทันที ถอยกรูด

“อิฉันไปก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ หนังสือยากมากโข ไม่เหมาะกับเด็กๆ เช่นอิฉัน”

เจ้าคุณอินทราว่องไวกว่าที่คิด ท่านลุกรวดเร็ว แล้วร่างผึ่งผายไหล่กว้างก็ก้าวมายืนขวางประตูทันที

“เหมาะสิ เด็กเอ๋ยเด็ก”

ริมฝีปากบางอย่างคนทรงอำนาจคลี่ยิ้ม ดวงตาคมกริบเป็นประกายราวคมดาบกระทบแสงตะวันจ้า

“คิดชมมิ่งมาลี   ไลยเลิศ แบะผกาเกลียวใต้  ต่ำเม-รุ…มีความหมายอย่างใด ฉันจะเล่าให้ฟัง”

ในสมองลำจวน สัญญาณอันตรายยกระดับสูงสุด สายตาลำจวนกวาดมองทางหนีทีไล่

เจ้าคุณก้าวเข้ามา

พลันหญิงสาวเห็นช่องว่างใต้วงแขนแข็งแรงของท่านที่กางออกกั้น เธอรีบมุดปรูดไปถึง เงื้อขาถีบบานประตูหนาหนัก เปิดผึงออก แล้วเผ่นวิ่งตึงๆ ไปไม่คิดชีวิต

 



Don`t copy text!