บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 27 : หนี

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

 

พรุ่งนี้ คือจบสิ้น

พระจันทร์เต็มดวงเหนือห้วงน้ำบางกอกน้อยเวลานี้ แต่อีกไม่กี่ชั่วยามก็จะคล้อยต่ำลง เมื่อฟ้าสาง ในวันแต่งงานของเธอ

ในมุ้ง ลำจวนพลิกตัวไปดูแม่จำปาที่หลับอยู่ มองจนแน่ใจ ว่าแม่จะไม่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาง่ายๆ แล้วค่อยๆเปิดมุ้ง กลิ้งตัวออกมาเงียบกริบ  มองลอดออกไปทางช่องประตูที่แง้มอยู่น้อยๆ แลเห็นมุ้งขาวๆปลิวลมกางอยู่เต็มชานเรือนขวางประตูห้องไว้

มุ้งนึง เป็นของนพ อีกมุ้ง เป็นของเนตร ที่ลานดินหน้าเรือน พวกทาสชายที่ถูกวางเป็นเวรยาม ยังเดินไปเดินมาวนเวียนอยู่รอบๆกองไฟที่สุมไล่ยุงควันลอยกรุ่น

ลำจวนหันกลับ ย่องไปที่หีบ เปิดหีบ มีห่อผ้าที่เตรียมไว้ซุกอยู่ หญิงสาวเอาห่อผ้ามาสะพายบ่า แล้วย่องไปที่หน้าต่างซึ่งเปิดออกไปทางด้านหลังบ้านตรงหน้าต่างพอดี  มีต้นมะขามใหญ่ที่ยื่นกิ่งสาขากิ่งหนึ่งมาเหนือหลังคาห้อง มีเชือกเส้นใหญ่พันพาดกิ่งไม้นั้นซ่อนเตรียมไว้ก่อนแล้ว

ลำจวนเอื้อมจับปลายเชือกที่ห้อยรออยู่ กระตุกดึงให้เชือกทั้งเส้นทิ้งตัวคลี่ลงมา โผร่างห้อยโหนเชือกนั้น ผสมกับถีบตัวกับลำต้น ให้เป็นหลักค้ำยันร่าง จนเท้าของเธอลงไปแตะพื้น

เมื่อยืนหยัดได้มั่นคง ลำจวนก็หันไปยังทิศทางด้านหลังบ้านที่มุ่งสู่สวน แต่แล้วก็สะดุ้งเฮือกสุดตัว

นางทิมยืนอยู่เงียบกริบในเงามืดใต้ถุน

ไม่คาด ว่าทิมจะมีแรงมากและวิ่งได้เร็วถึงเพียงนั้น นางดึงลำจวนให้วิ่งเกินฝีเท้าจนหญิงสาวเซหลุนๆตามไปยังทิศทางสู่ดงต้นจากรกร้าง ด้านข้างบ้าน

“ เดี๋ยว ทิม จะพาไปไหน ”

“ ไปบ้านอิฉันเอง ”

ทิมหอบๆ

“ ฮะ? ”

ลำจวนผิดคาด

“ อิฉันให้เรือหลานมารอที่คลองขนมจีน ไปลงเรือที่นั่น แล้วไปออกแม่น้ำ ขึ้นไปตลาดขวัญ ”

“ แล้ว..ฮุนล่ะ? ”

ทั้งสองดุ่มเดินแกมวิ่งไปในหว่างที่ดินร้างรก ที่ไม่มีใครจะเข้าไปเดินกัน

“ อิฉันไม่ได้ไปหามัน!  ”

นางทิมส่งผ้าสไบคืนให้นายน้อย

“ อิฉันไม่ยอมให้คุณไปกับอ้ายเจ๊กดอก หากคุณจะหนี ก็หนีไปกับอีทิมคนนี้ ไปขึ้นสวรรค์ ไปลงนรกก็ไป อีทิมยอมตาย ”

“ ทิม..”

ลำจวนแทบทรุด

“ ไปค่ะ! ”

นางทิมฉุดนายน้อยสุดแรง ให้รีบวิ่งต่อ

“ แล้วใครจักอยู่กับแม่ ใครจักช่วยแม่ทำสิ่งต่างๆ ”

ลำจวนเสียงสะท้าน

“ คุณจำปาคงหาใครได้สักคน..ไม่นานดอก ไม่มีอิฉัน คุณจำปาอยู่ได้ แต่หากคุณหนูไม่มีทิม.. ”

บ่าวผู้ภักดีน้ำตาแล่นมากบตา

“ แล้วหากเจ้าคุณนครบาลท่านตามจับเราได้ ทิมก็จักต้องโทษภัยอย่างมหันต์ ”

ลำจวนเตือนสติ

“ ตายเป็นตายค่ะ ”

นางทิมกัดฟัน

ลำจวนน้ำตาไหลพราก ผลักบ่าวเซไป

“ เช่นนั้น..ฉันไม่ไป ”

“ คุณหนู!! ”

ทิมร้องเสียงสูง

“ ครอบครัว ญาติพี่น้องทางบ้านทิมจะลำบากกันไปหมด ทิมก็จักต้องเข้าปิ้งเพราะฉัน ฉันไม่อาจยอมได้ดอก ทิม..”

ลำจวนยืนปักหลักนิ่ง มั่นคง

ทั้งสองต่างจ้องมองกัน แล้วต่างร่ำไห้อย่างสิ้นหวัง

ลำจวนโหนผ้า เหวี่ยงตัวกลับมาปีนขอบหน้าต่าง เหนี่ยวโหนกลับเข้าห้องมา ใบหน้ายังเปื้อนคราบน้ำตามอมแมม

ทิมแหงนมองส่งอยู่ใต้ต้นไม้ พยักหน้าให้

ลำจวนถอยมา นั่งลงพักเหนื่อยที่พื้นข้างหน้าต่างนั่นเอง

ในมุ้ง แม่จำปายังหลับสนิท

ลำจวนกอดเข่าเจ่าจุก ดวงตาฉ่ำน้ำตา ยังคิดหาหนทางอยู่แวววามในความมืด

กลิ่นหอมของดอกพุดซ้อนเก่าโรย รวยรินมาบางเบา ลำจวนหันไปเห็นช่อพุดซ้อนสีขาวในแจกัน หน้ากระจกของแม่ ซึ่งบัดนี้เหี่ยวแห้งห้อยหัวตกหมดแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจจะเอาไปทิ้ง

คำสนทนานินทาคุณพุ่มวันก่อนของหม่อมน้อยพี่สาว ดังขึ้นมาในหัวลำจวน

“ ลูกชื่นชมเธอ เธอไม่อาลัยในอดีตใดๆ ไม่มีลูกกวนตัว ไม่มีผัวกวนใจ อยู่เป็นสาวหน้าขาวนวลใยอยู่ที่แพท่าพระผู้เดียวอย่างไม่เกรงกริ่งผู้ใด แลไม่มีผู้ใดกล้าไปแหลมกับเธอ”

ลำจวนขยับตัว นั่งขัดสมาธิ์ ตัวตรง

คุณพุ่ม..แพท่าพระ..

คลื่นน้ำในคลองบางกอกน้อยเล่นประกายวิบวับในแดดเช้า

ลำจวนงามพริ้งในโจงผ้าไหมงาม เสื้อสวยรีดกริบ ห่มสไบกรองเต็มยศ สวมใส่เครื่องประดับทั้งหมดที่ได้มา เพียบพราวเต็มร่าง

ใบหน้าหญิงสาวสงบงาม ก้าวย่างเนิบ ช้า กวาดตามองดูเรือน นอกชาน ลานบ้าน ฝั่งคลองและใบหน้าผู้คนทุกคน อย่างพยายามจะประทับในความทรงจำ ร่ำลา

พี่เนตร พี่นพ หม่อมน้อย เดินควบคุมล้อมกรอบรอบตัว ประคับประคองพาเจ้าสาวคนสวยเดินไปขึ้นเรือสามก้าวมีหลังคา ที่ใช้กันเฉพาะขุนนางใหญ่โต คนธรรมดาหามีไม่

ลำจวนไม่วายหันไปมองหน้าบรรดาบ่าว ไพร่ และทาส ที่จับกลุ่มกันมองดู  สายตาแต่ละคนมองลำจวนด้วยความเศร้า อาลัยอาวรณ์ ด้วยเห็นหน้า คลุกคลี ทำสิ่งต่างๆให้กันมาแต่เล็กแต่น้อย

คุณหญิงนครบาลมาเป็นผู้ใหญ่ในการรับตัวลำจวนจากบ้าน พูดคุยแย้มเยื้อนอยู่กับนายสุ่นและคุณนายนอบ มีแม่จำปายืนห่างออกมา แม่นวลก็มารับน้องสาวไปร่วมเรือนร่วมสามีอย่างเต็มใจ

ส่วนนางทัด ยืนเด่น ดูจะแข่งบารมีคุณหญิงอยู่ในที

มีทนายหน้าหอของเจ้าคุณอินทรา คอยยืนควบคุมกำหนดการอยู่หน้าเรือ

“ ดูดู๋..งามจริง ชาวคลองบางกอกน้อยแลคลองบางยี่ขันต้องร่ำลือกันไปสามวันแปดวันถึงความงามของแม่ลำจวนวันนี้.. ”

นางทัดเอะอะขึ้น เมื่อหันไปเห็นเจ้าสาวที่ถูกพี่ๆต้อนมา

คุณหญิงมองลำจวน ยิ้มประชันไรฟัน กล่าวคำหวานหู ไม่ยอมให้ด้อยกว่านางทัด

“ ฉันขอรับรองว่าท่านเจ้าคุณรักแลเอ็นดูแม่ลำจวนอย่างลึกซึ้ง แลท่านจริงจังที่จะให้แม่ลำจวนได้เล่าเรียนเขียนอ่านอย่างที่ต้องการ จริงไหม แม่นวล ”

“ พ่อ แม่ ไม่ต้องกลัว ฉันเป็นพี่สาวอยู่ในเรือนนั้นทั้งคน ฉันต้องสนับสนุนให้ลำจวนได้เป็นคนโปรด ไม่ให้น้อยหน้าผู้ใด ขึ้นไม่มีตก จะไม่ให้ผู้ใดมาคุมเหงรังแกอย่างเด็ดขาด ผู้ใดได้ข้าวของทรัพย์สินมีค่าสิ่งใด ลำจวนจักต้องได้เหมือนทุกคน ”

แม่นวลตั้งใจที่จะบอกแม่จำปามากกว่าคนอื่น

“ ฉันไม่เคยกดขี่รังแครังคัดเมียน้อยอยู่แล้ว แลฉันถูกชะตาแม่ลำจวนนัก ฉันจักดูแลเอาใจใส่แม่ลำจวนให้เหมือนกับลูกสาวของตัวเองเลยทีเดียว ”

คุณหญิงยิ้มปลอบแม่จำปา

“ ลำจวน ลำจวนของแม่..”

แม่จำปารู้สึกตื้นตัน ปลาบปลื้ม และเศร้าเสียใจระคนกัน จนสุดจะแยกแยะอารมณ์ตน ทุกความรู้สึกประดังออกมา เป็นน้ำตาอาบแก้ม

“ แม่จำปา..อย่าร้องไห้ซี เสียฤกษ์หมด เดี๋ยวก็จักต้องไปเลี้ยงพระเพล ทำพิธีรดน้ำแลกินเลี้ยงด้วยกันทั้งหมดนี้ ที่เรือนแพคลองบางยี่ขันตรงนี้นี่เอง มิใช่ว่าจะจากกันไปไกลสุดหล้ามหาสมุทร

สักหน่อย ”

นางทัดกระซิบตำหนิ ทำให้แม่จำปาต้องรีบเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาอย่างร้อนใจ

ลำจวนมองแม่จำปา ทั้งสมเพชเวทนาและอาลัย  หันไปมองพ่อ ความผิดหวัง น้อยใจ ท่วมท้น

นายสุ่น ยืนกลาง ระหว่างคุณนายนอบและจำปา หน้าบานราวดอกยี่สุ่นที่บานเต็มที่ยิ่งกว่าแปดกลีบ

“  ลำจวน เร็วเข้า คุณหญิงและแม่ทัด จักนำเจ้าไปขึ้นเรือนตามฤกษ์ ทำตัวให้คุ้นเคยและจัดห้องหับข้าวของ จงเชื่อฟังแลทำตามท่านอย่าให้บกพร่อง  ไม่ต้องกลัวอันใด พ่อแม่กับคณะละครจักตามไปในอีกไม่ช้าดอก ”

ลำจวนขยับเข้ามากอดแขนแม่ กระซิบเบา กล่าวในสิ่งที่อยู่ในใจจริงๆ

“ แม่..ลูกไม่อยู่รับใช้แล้ว แม่จงอย่าเอาแต่ก่นเศร้ากำสรวล จงบำรุงกายให้ดี หากวันข้างหน้า มีวาสนา จะได้พบกันอีก ”

นางจำปาสะดุ้ง ใจหายวาบ สังหรณ์ใจประหลาดว่าลำจวนมีนัยมากกว่าแค่ลาไปออกเรือน

นางทิมเข้ามาแตะหลังลำจวน ครั้งนายสาวมองมา ก็จ้องตา หมายมั่น

“ คุณหนู  ทิมจะตามไปรับใช้คุณหนูนะคะ ”

ลำจวนจ้องตาตอบ แข็งกร้าว

“ถ้าไม่ตายเสียก่อนหนา ”

ทิมนางตกใจแทบสิ้นสติ

“ ไฮ้ พูดกระไรเช่นนั้น ”

นางมองหน้าลำจวน เหมือนจะอ่านให้กระจ่าง ทว่าหญิงสาวมองเมินไปทางท่าน้ำเสียแล้ว

นางทัดหัวเราะ ซ่อนสำเนียงหมั่นไส้ชิงชังไม่มิด

“ วันแรกก็เห็นกระบิดกระบวนกันอย่างนี้ทุกคนแหล พอได้อยู่กับท่านสักพัก  ก็เห็นเป็นน้ำเป็นนวล สุขกายสบายใจทุกคน แล้วก็จะรู้เอง ว่าตัวนั้นมีโชควาสนาเพียงไร ”

ลำจวนหันขวับ มองนางทัด สายตาแค้นเคือง อาฆาตมาดร้ายอย่างไม่ปิดบัง

เมื่อนางทัดหันมาสบตา จึงถึงแก่สะดุ้ง ขนลุกขนชัน หนาวต้นคอวาบ

ลำจวน ถูกแวดล้อมด้วยพี่ๆร่วมบิดา ขณะก้าวขึ้นเรือ นพประกบเบื้องหน้า นวลอยู่ติดเบื้องหลัง ส่วนเนตรแค่ยืนส่งอยู่ที่ท่า มองน้องสาวคนเล็กอย่างประเมินกิริยาอาการที่มีบางสิ่งบอกเขาว่า..หญิงสาวดูมีอาการสงบเยือกเย็นจนผิดปกติ

หม่อมน้อยตามมาบอกเสียงใส

“ เดี๋ยวพี่ตามไปกับเรือพ่อแม่หนา ลำจวน ไม่ต้องใจเสียไปดอก อีกสักครู่ก็พบกันที่เรือนแพหนา ”

ลำจวนหันมายิ้ม แววตามสงบ

แม้เมื่อเรือเคลื่อนตัวออกไป เนตรก็ยังคงมองตามเขม็ง สายตาสำรวจคณะเจ้าสาว ว่ามีช่องว่างช่องโหว่อันใดหรือไม่

นพยกมือเป็นสัญญาณบอกพี่ชายคนโตให้วางใจ อย่าได้ห่วง ขยับเข้าประกบชิดลำจวน ในระยะที่พร้อมเอื้อมมือถึงทุกเมื่อ  เนตรจึงพยักหน้าให้ สบายใจขึ้น

ส่วนนายสุ่นไม่ได้กังวลอะไร หันไป สั่งพวกเมียและบ่าวไพร่ให้เตรียมของกินอย่างขนมจีนและของหวานเครื่องไข่ ให้เอามาลงเรือของที่บ้าน ที่จะตามไปในไม่ช้า

 

วันนั้น อากาศร้อนนักหนา เรือมีหลังคาลำงามโดดเด่น จนคนทั้งสองฝั่งคลองบางกอกน้อยต้องแตกตื่น นึกว่าเจ้านายเสด็จ แล่นมาตามคลอง

ทนายหน้าหอซับเหงื่อ นางทัดพัดให้คุณหญิงเอาอกเอาใจ

ลำจวนสูดลมหายใจช้า.. เข้า ออก เข้า ออก ตั้งสติพิจารณาสภาพสายน้ำ ผู้คน การสัญจรไปมา และกิจกรรมต่างๆ ที่คนในคลองกำลังประกอบกันอยู่

ปากคลองที่กว้างออก  มองผ่านออกไปเห็นแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้เข้ามาๆ ทุกที เรือสัญจรสวนมาเริ่มถี่ขึ้นบ้าง

หัวเรือที่ตัดแหวกน้ำไป ทำให้เห็นว่าเวลานั้นน้ำเริ่มไหลลง น้ำในคลองเทลงแม่น้ำ เชี่ยวขึ้นๆเรื่อยๆ ความเร็วเรือก็เร็วตามแรง สายน้ำในแม่น้ำใหญ่ ไหลล่องไปสู่ทิศใต้ ทางปากน้ำสมุทรปราการตามกระแสน้ำ ทำให้คนเรือบ้านเจ้าคุณนครบาลต้องออกแรงคัดท้ายสุดกำลัง ไม่ให้เรือพุ่งไปเร็วเกินไป เรือจึงมีความสะเทือนเล็กน้อย เพราะถูกแรงมนุษย์พยายามจะขืนชะลอไว้จากแรงธรรมชาติ

ลำจวนมองตรงไปข้างหน้า เห็นเรือกำลังแล่นออกปากแม่น้ำ โดยคนเรือฝีพายเยี่ยม ค่อยๆประคองตีวงเลี้ยวไปทางซ้ายมืออย่างนุ่มนวล

ตรงนั้น ก่อนถึงปากน้ำ มีเรือนริมน้ำเรือนนึง มีท่าเรือยื่นออกมา มีเรือขายถ่านจอดอยู่ คนในเรือ กำลังโกยถ่านในเรือใส่กระสอบ และมีทาสแรงงาน ทะยอยลงมาแบกถ่านจากกระสอบ ขึ้นไปกองบนท่า

ในเรือถ่าน มีกระสอบเปล่า พับกองเหลือใช้อยู่จำนวนนึง

ลำจวน มองเรือถ่าน เล็งเป้า

จังหวะหนึ่ง เรือเอียงซ้ายเล็กน้อย ตามแรงน้ำ

จังหวะนั้นเอง ลำจวนลุกพรวด แล้วก่อนนพจะตั้งสติ ลำจวนที่ก้มตัวมุดไม่ให้ชนหลังคา แต่ก้าวขาสูงข้ามหัวนพ เทน้ำหนักไปด้านหน้า เหมือนร่างเธอเคลื่อนลอดช่องว่างไปได้ราบรื่นราวกับปลาไหล

“เฮ้ย!    ทำอะไรวะ นังลำจวน! ”

นพตะโกน หันเอื้อมจะคว้า แต่ไม่ทันเสียแล้ว ลำจวนไปถึงหัวเรือ แล้วโดดทิ้งดิ่งปักหัวลงน้ำ มุดดำหายลงไปอย่างปราดเปรียว

“ กรี๊ด  ตายแล้วๆ ”

คุณหญิงนครบาลกรีดโหยหวน

“ ไม่ ไม่ตาย แม่ลำจวนว่ายน้ำเก่งราวกับปลา ”

นวลตะโกนไม่ให้ใครๆแตกตื่น

นพตะกายคลานตามไป ชะโงกดูจุดที่ลำจวนจมหายไป

ในน้ำ ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรอีกเลย น้ำนิ่ง เหมือนหญิงสาวเป็นหินก้อนใหญ่ ที่จมลงไปตรงๆแล้วไม่ลอยกลับขึ้นมาได้อีก

นพมองกราดทั่วทั้งกราบซ้าย  และมองเลยเผื่อระยะมุดตัว ที่คนเราจะต้องโผล่ขึ้นมาได้ แต่ทั่วฝั่งซ้ายไม่มี

นพคลานมากราบขวา มองจากหัวเรือ จรดท้ายเรือ

ทุกคนในเรือหมุนตัวพล่านไปรอบๆ  สอดส่ายสายตาหา

แต่น้ำก็ดูไหลเชี่ยวแรงเหลือเกิน ที่ใกล้ปากคลอง

“ จะทำอย่างไรดีๆ ”

คุณหญิงตกใจ ร้องไห้โฮ

“ ลงไปหาสิวะ ลงไปๆ”

นพตวาดใส่หน้าพวกคนเรือ

“ พวกเอ็งนั่นแล ลงไปงมหาน้องสาวกูบัดเดี๋ยวนี้ ” พวกคนเรือ เว้นคนคัดท้าย กระโดดลงไป ดำผุดดำว่าย หากันไปรอบๆลำเรือ

“ เฮ้ย แล้วจะทำอย่างไรดี แล้วท่านเจ้าคุณจะว่าอย่างไร ”

นพหมดแรง นั่งก้นจำเบ้ากับพื้นเรือ แต่นวลยังมั่นใจ ตะโกนบอกย้ำๆ

“ อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ นางลำจวนมันดำน้ำอยู่ใต้เรือนี่แล ”

แต่ลำจวนมาโผล่ที่ข้างเรือส่งถ่าน ด้านที่หันเข้าท่าหน้าบ้านที่กำลังซื้อถ่าน หญิงสาวโหนตัวขึ้นเรือถ่าน หมอบซุ่ม ขณะที่คนขายถ่านกำลังเอาถ่านใส่กระสอบ มีกระสอบเปล่าวางรอหลายใบ

ลำจวนปลดสไบกรองของสูงค่าขว้างลงไปในน้ำ แล้วคลานมุดเข้าไปในกระสอบถ่าน ทำตัวขด-กลม ตลบปากกระสอบปิด กลิ้งม้วนตัว แทรกมาในกองถ่าน จนมาโผล่อีกด้านของตัวเรือ แล้วแหวกปากกระสอบแค่พอตามองออกไปได้ ลำจวนเห็นความเคลื่อนไหวที่เรือเจ้าสาว ชายคนเรือสามสี่คน สลับกันโผล่ขึ้นมาอ้าปากฮุบอากาศหายใจแล้วดำลงไปใหม่ ดำสลับๆตำแหน่งกันไปรอบๆลำเรือ

“ ไม่มีขอรับ ”

“ น้ำแรงเพียงนี้ ป่านนี้พาหมุนลงไปในน้ำวน ไปขัดใต้บาดาลตรงวังหน้าแล้วกระมัง ”

บางคนเอ่ยถึงตำนานผีพราย ที่พาคนจมน้ำที่ปากคลองบางกอกน้อย ข้ามแม่น้ำ ไปโผล่เป็นศพแถววังหน้า ตามแนวแม่น้ำสายเดิมตั้งแต่สมัยโบราณ

นพปาดเหงื่อที่เปียกเหมือนน้ำราดลงมาเต็มหน้า เป็นเหงื่อแห่งความโกรธแค้น และหวาดหวั่น

“ เช่นนั้นพายไปดักตรงวังหน้า ”

เวลานั้น ตะวันเริ่มสายขึ้นๆ เรือจากตลาดนัดที่เริ่มวาย พากันพายกลับบ้านกลับสวน แล่นผ่านเข้าคลองไป พลุกพล่านเต็มลำน้ำ

“ อิฉันสิ อิฉันโดนแน่ๆ ท่านไม่ไว้อิฉันแน่..ฮือๆๆ ”

นางทัดตั้งต้นสะอึกสะอื้นคร่ำครวญ

จู่ๆ กระสอบที่มีถ่านเต็มข้างๆกระสอบของลำจวน ก็ถูกยกขึ้นบ่าทาสชายผู้หนึ่งไป

ลำจวนหมอบนิ่ง ส่องมองตามทาสผู้นั้นจนเขาหายขึ้นไปบนท่าแล้ว จึงค่อยๆโผล่หัวมา มองรอบๆ เพื่อหาที่ซ่อนอื่นต่อไป

เดชะบุญ  เรือโยงบรรทุกหลังคาตับจาก เพียบแปล้ ที่มัดมาเป็นฟ่อนๆ วางซ้อนๆกันเป็นตั้งๆ แล่นรี่ออกมาจากในคลอง กำลังลอยเรื่อยลิ่ว จะแซงผ่านเรือถ่านออกแม่น้ำไป

คนพายเรือเป็นชายแก่ และกำลังเบี่ยงเรือไปทางขวา หมายมุ่งจะออกจากคลองบางกอกน้อย ขึ้นย้อนแม่น้ำไปทางเหนือ

ลำจวน คลานออกมาจากกระสอบ กลิ้งตัวลงน้ำ รีบโผไปที่เรือบรรทุกหลังคาตับจากรวดเร็ว

หญิงสาวเกาะแอบแนบขอบเรือเป็นที่พึ่ง มองผ่านชายตับใบจาก ที่ยื่นพ้นขอบเรือฟูฟ่องออกมาปรกเรี่ยน้ำ บังร่างลำจวนไว้รำไร

เรือเจ้าสาว กำลังพายออกปากแม่น้ำ มีท่าว่าคนบนเรือกำลังลังเล โต้แย้งกัน ว่าจะข้ามไปฝั่งวังหน้าหรือไม่

ขณะที่เรือบรรทุกหลังคาตับจาก ตัดข้ามคลองด้านหลังเรือสามก้าวอันหรูหราไป เพื่อจะแล่นไปทางขวา จะออกสู่แม่น้ำ ชะลอตัวลงเป็นอืดๆอาดๆ เพราะเรือต้องทวนกระแสน้ำขึ้นเหนือ

ขณะนั้นเอง ที่สไบกรองของลำจวนลอยวน โผล่ๆผลุบๆจมๆลอยๆ หมุนคว้างมาบนผืนน้ำ ข้างๆเรือสามก้าวมีหลังคาลำนั้น

เจ้าคุณนครบาลกำลังมีความสุข

คุณเอื้อยภรรยารองคนโปรด เป็นผู้ช่วยนุ่งโจงกระเบนผ้าลายระยับผืนงามประณีตให้สามีอย่างสุดฝีมือ  เจ้าคุณหยอกล้อ ยื่นหน้าหอมแก้ม คุณเอื้อยทุบ-อกสามี แล้วหยิกเบาๆ หัวเราะหัวใคร่กันไปมาคิกๆ

ทันใด เสียงฝีเท้าหลายคนย่ำถี่ๆ รีบเร่งร้อนใจมาบนพื้นกระดานเรือนตึงตัง พลันประตูห้องถูกกระชากเปิดผางออก

เจ้าคุณหันมา ครั้นเห็นหน้าคุณหญิงภรรยาเอกยืนเหงื่อท่วมตัว หอบแรงๆอยู่ มีแม่นวลยืนตัวสั่นเป็นลูกนกอยู่ข้างหลัง  ท่านก็กลับมองข้ามไป กวาดตามองหาคนที่รออยู่

“ แม่ลำจวนล่ะ? ”

นวลร้องไห้โฮออกมาทันที พนมมือขึ้นอย่างเกรงกลัวอาญาเป็นล้นพ้น

“ ลำจวน..โดดน้ำหนีไปแล้วเจ้าค่ะ! ”

“ จมหายไปเลย.. หาอยู่ตั้งนาน ก็ไม่เห็น ”

คุณหญิงขยับตัวไปยึดเกาะข้างฝาไว้ เพราะรู้สึกว่าอาจจะเป็นลมล้มลงไปได้ทุกเมื่อ

ที่ยืนลับๆล่อๆ ห่างออกไป ไม่กล้าเสนอหน้า คือนางทัด ซึ่งหากหนีไปได้ คงหนีหายไปแล้ว

เมื่อเจ้าคุณก้าวออกมา จ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง นางจึงถอยกรูด

“ นางทัด ไหนว่าเอ็งกล่อมจนอยู่หมัดแล้วอย่างไร ไหนว่าแม่ลำจวนกลับใจ ยินดีมาเป็นเมียข้าแล้วอย่างไร ”

เจ้าคุณเสียงแหบ แห้งหายไปในลำคอ

“ แม่ลำจวนฆ่าตัวตายหนีเจ้าคุณหรือคะนี่ คุณพระคุณเจ้าช่วย! ”

แม่เอื้อยได้โอกาส ทิ้งไฟลงบนเชื้อทันที

เจ้าคุณหน้าซีดลงๆ มองหน้าสตรีทุกคนที่ทำหน้าที่ไปรับลำจวนอย่างโกรธแค้นเกินกว่าจะอดทนเจรจาด้วยได้อีก

ท่านเดินดุ่มไปหน้าเรือน ทั้งๆโจงกระเบนที่ยังนุ่งไม่เสร็จ ทิ้งชายห้อยลากพื้นไป ท่อนบนเปลือยเปล่า

บรรดาหัวหมื่น ทนายหน้าหอ และคนเรือที่ยืนซุบซิบ ปรึกษาหารือกันหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ที่เชิงบันไดเรือน หันมา แล้วเงียบกริบทันที  ที่ท่านเจ้าคุณปรากฏตัวขึ้น

“ ออกไปค้นหาให้เจอ ทั้งฝั่งซ้ายแลขวาทั่วคลองบางกอกน้อย ทั้งในน้ำ บนบก ให้พลตระเวนค้นดูให้ทั่วตามเรือแพ บ้านเรือนทั้งสองฝั่ง  รวมทั้งในแม่น้ำละแวกปากคลองแลฟากขะโน้นด้วย ”

ทุกคนรับคำแข็งขัน

“ ขอรับ! ”

เจ้าคุณหันกลับ ซ่อนสีหน้าผิดหวัง เสียใจ และเจ็บแค้น พลัน กลับเดินกลับมา แผดเสียง

“ ประเดี๋ยวก่อน.. ”

เหล่าบริวารชายทุกคน ที่กำลังจะแยกย้ายไปทำหน้าที่ หยุดกึก

“ อย่าให้เอะอะเอิกเกริก  อย่าให้อื้ออึงไป  ว่า..เป็นผู้ใด..โดดลงน้ำไปด้วยเหตุใด ”

เจ้าคุณอินทรากัดฟัน เจ็บปวดรวดร้าวดวงใจราวกับถูกเหยียบย่ำขยี้ด้วยฝ้าเท้าสตรีตัวเล็กๆนางหนึ่ง อย่างไร้เมตตาปรานี จนหัวใจของชายผู้ยิ่งใหญ่ ต้องแหลกสลายอยู่กลางดิน

 

ในคลองมอญ ที่ปากคลองทั้งสองฟากคือเรือนผู้คนติดๆกันเรียงรายเป็นชุมชนใหญ่ ผู้คนหนาแน่นพลุ่กพล่าน เรือแพขนาดเล็กๆ สัญจรจอแจ จนเลยลึกเข้าไป บ้านเรือนจึงค่อยๆห่างออก ประปราย เป็นระยะๆนานๆทีจึงมีหลังคาทรงแหลม โผล่ขึ้นมาเหนือทิวหมาก มะพร้าว มะม่วง ไผ่ กล้วย มีหลังคาวัด และเจดีย์ แทรกมา ท่ามกลางหมู่ไม้เขียวขจี

ใกล้เที่ยง แดดจวนเจียนจะตรงหัวเช่นยามนี้ ไม่มีสายลมพัดให้กิ่งก้านต้นไม้แกว่งไกวไหวเอนแม้สักสาย  ความร้อนของอากาศกลางเดือนห้าอบอ้าวขึ้นเรื่อยๆ

ลุงคนขายตับจากมุงหลังคา ดูซึมเซาเมาแดด กึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ใต้งอบเก่าๆ  พายเรือเข้าไปเรื่อยเฉื่อยสู่คลองลึก ยามที่มีเรือสวนมา หรือแซงหน้าไปเอื่อยๆ เสียงร้องทักกัน “ไปไหน” “ไปวัด” “ไปบ้านงาน” ของแกกับผู้คน บอกให้รู้ว่าแกน่าจะเป็นคนอาศัยในคลองนี้นี่เอง

ลำจวนเหนื่อยเหมือนจะขาดใจ ยังคงเกาะแนบข้างขอบเรือ  อาศัยกองตับจากที่ห้อยชายแผ่ล้นออกมาคลุมนอกกราบเรือ บดบังตัวเธอไว้จากสายตาคนที่เรือแล่นผ่าน และกองพะเนินของตับจากก็บังตัวเธอไว้จากลุงเจ้าของเรือ  ที่จนบัดนี้ ก็หารู้ตัวไม่ ว่ามีสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมเกาะติดเรือมา

เมื่อถึงดงอ้อกอแขมสูงรกริมตลิ่ง มองเข้าไป  เห็นโรงปั้นหม้อดินหลังคามุงหญ้าคา ใกล้ๆฝั่งมีกองหม้อดินสำหรับขายเรียงรายซ้อนกันเป็นระเบียบ เงียบสงบ ไร้ผู้คน  ลึกเข้าไป จึงเห็นหลังคาเรือนในสุมทุมพุ่มไม้เขียว

ลำจวนจึงปล่อยเรือลุง แล้วลอยตัวให้จมูกพอปริ่มน้ำเงียบอยู่ ไม่ให้ลุงสังเกตเห็นได้ จนเรือห่างไปไกล หญิงสาวจึงรีบโผเข้าฝั่ง

อาศัยพงอ้อกอแขมเกาะ ยึด ลำจวนค่อยๆคืนคลานปีนป่ายขึ้นไปซบตัวนอนนิ่ง พักพิงอิงอาศัย

ร่างของหญิงสาวที่นอนคว่ำหอบหายใจหมดแรงในพงหญ้าสูงริมชายน้ำนั้น ยังคงสวมใส่เครื่องเพชร เครื่องทองเต็มอัตรา

 



Don`t copy text!