ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 36 : ทิฐิมานะ

ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 36 : ทิฐิมานะ

โดย : พงศกร

Loading

ดอกฟ้ายาใจ นวนิยายแนวยั่วล้อที่ พงศกร เขียนเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ได้รับความนิยมทั้งแบบรูปเล่มและนำไปเป็นละครโทรทัศน์ แต่หนังสือขาดหายไปนานและมีเสียงเรียกร้องให้นำกลับมาพิมพ์ใหม่เป็นจำนวนมาก สำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่งจึงได้จัดพิมพ์ ‘ดอกฟ้ายาใจ’ อีกครั้ง เพื่อแทนคำขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามเว็บไซต์อ่านเอาและสำนักพิมพ์มาโดยตลอด

“ค่ะ…ฉันเอง” หล่อนสูดลมหายใจยาว พร้อมกับฝืนยิ้มให้แจ่มใส “กรผกามารศรีตัวจริงเสียงจริง คุณไม่ได้ฝันไปหรอกค่ะ ทินพันธ์”

“กรผกามารศรี…คุณไม่สบายนี่ครับ คุณหายแล้วหรือ คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”

ดูเถอะ…ทินพันธ์ไม่ได้สนใจอาการป่วยของตนเองแม้สักนิด น้ำเสียงของเขาที่ถามหญิงสาว เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย

“ฉันดีขึ้นแล้วละค่ะ” หญิงสาววางแก้วน้ำในมือลงบนโต๊ะ แล้วเล่าให้ชายหนุ่มฟังว่า “ฉันเป็นห่วงคุณมาก ก็เลยขออนุญาตหมอกลับขึ้นมาที่กรุงเทพเพื่อดูแลคุณ ยังคิดเลยนะคะว่า ถ้าหมอไม่อนุญาตละก็ ฉันก็จะแอบหนีขึ้นมาให้ได้”

“คุณกรผกา” ชายหนุ่มจับมือหญิงสาวขึ้นมาแนบแก้มที่สากด้วยหนวดเคราที่ขึ้นจนเขียวครึ้ม “ทูนหัวของผม…คุณไม่จำเป็นต้องลำบากเช่นนั้นเลย คุณน่าจะพักผ่อนให้หายดีเสียก่อน ตัวผมมีหม่าม้า มีคนใช้คอยดูแลตั้งหลายคนแล้ว”

“ตกลงคุณไม่ต้องการดิฉันใช่ไหมคะ” กรผกามารศรีแกล้งงอน “ดิฉันจะได้กลับ”

“เปล่า…เปล่านะครับ โปรดอย่าเข้าใจผิด ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมอยากให้คุณอยู่ใกล้ๆ อยากให้อยู่กับผมทุกวันด้วยซ้ำไป” ทินพันธ์รีบละล่ำละลัก ด้วยกลัวว่าหญิงสาวจะเข้าใจผิด “ผมเพียงแต่เป็นห่วงคุณ เห็นว่าเพิ่งหายบาดเจ็บได้ไม่นาน น่าจะพักฟื้นให้หายดีเสียก่อน ไม่น่าจะต้องมาลำบากตรากตรำมาดูแลคนตาบอดอย่างผม”

“ไม่ลำบากหรอกค่ะ” กรผกามารศรีเอ่ยจากใจจริง “ดิฉันบอกกับหม่าม้าของคุณเองว่า ต่อไปนี้ฉันจะมาคอยดูแลคุณ ฉันอยากตอบแทนที่คุณคอยช่วยเหลือฉันมาโดยตลอด เรื่องเลือดนั่นด้วย ฉันรู้แล้วนะคะว่าคุณบริจาคเลือดให้ฉันจนฉันรอดชีวิตมาได้”

“ไอ้สารวัตรบ้า” ทินพันธ์บ่นอุบอิบ “สัญญากันเอาไว้แล้วว่าจะไม่บอกเรื่องเลือด เป็นตำรวจภาษาอะไรวะ ไม่ยอมรักษาสัญญาเสียเลย”

“อย่าไปโทษสารวัตรอาคมเลยค่ะ” กรผกามารศรีชี้แจง “เขาไม่ได้บอกฉันหรอก แต่ฉันรู้จากข่าวที่ประกาศหาเลือดกรุ๊ปบีเนกาตีฟมาให้คุณตอนที่คุณอยู่ในห้องผ่าตัด ก็เลยได้รู้ความจริงว่าเป็นคุณนั่นเองที่บริจาคเลือดให้ฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ฉันก็คงจะตายไปแล้ว”

“ผมปล่อยให้คุณตายไม่ได้หรอกคุณกรผกามารศรี เพราะคุณคือดวงใจของผม ไม่มีคุณ ผมก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป มีคุณอยู่ด้วยอย่างนี้ ถึงจะต้องตาบอดไปตลอดชีวิต ผมก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว เพราะผมรู้ว่าผมจะมีคุณเป็นดวงตาให้”

ทินพันธ์จูบมือหญิงสาวด้วยความรักใคร่ ถึงดวงตาของเขาจะมืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด หากดวงหน้าของหญิงสาวยังคงกระจ่างอยู่ในความทรงจำของเขาเสมอมา

“คุณจะต้องหายค่ะทินพันธ์” กรผกามารศรีน้ำตารื้น หัวใจของหล่อนสัมผัสได้ถึงความรักลึกซึ้งที่ชายหนุ่มมีให้ “หมอบอกว่าเศษกระสุนอยู่ใกล้ประสาทตามาก หมอที่เมืองไทยผ่าไม่ได้ แต่ที่อเมริกามีหมอมือดี มีเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยที่จะสามารถผ่าตัดให้ดวงตาของคุณกลับมามองเห็นได้เหมือนเดิม”

“ถ้าผมไปผ่าตัดดวงตาที่อเมริกา คุณจะไปกับผมไหม” ชายหนุ่มถาม

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยค่ะทินพันธ์ ได้เวลากินยาแล้วละ” หญิงสาวไม่ยอมตอบคำถามนั้นของชายหนุ่ม หล่อนรีบดึงมือเขาออกอย่างรวดเร็ว เมื่อพยาบาลคนหนึ่งเดินถือถาดยาเข้ามาในห้อง

 

หลังจากที่อาการของทินพันธ์ดีขึ้นและหมออนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านมรกตได้แล้ว กรผกามารศรี คุณหญิงสายหยุด แม่นิ่ม ทุกคนก็ย้ายกลับเข้ามาอยู่ในบ้านพร้อมหน้ากัน กรผกามารศรีชวนให้พี่เก่งย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านมรกตด้วยอีกคน เพื่อจะได้คอยช่วยกันกับคุณนายกิมเฮียงดูแลปรนนิบัติชายหนุ่ม

คุณนายแม่ของชายหนุ่มจัดห้องเดิมที่กรผกามารศรี คุณหญิงสายหยุด และแม่นิ่มเคยอยู่ให้อยู่อย่างสุขสบาย ทั้งๆ ที่กรผกามารศรีเจียมตัวขอไปอาศัยอยู่ในห้องคนรับใช้

“ไม่ได้” คุณนายกิมเฮียงประกาศิต “หนูกรผกาเป็นคนรักของลูกชายฉัน จะไปอยู่ห้องคนใช้ได้ยังไง…หนูเก่งด้วย ฉันจะจัดห้องนอนใหญ่ทางปีกตึกด้านทิศตะวันตกให้นะจ๊ะ มีอะไรขาดเหลือละก็ เรียกหาเอาจากเด็กรับใช้ในบ้านได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”

บิดาของทินพันธ์ตัดสินใจเลิกทำบ่อนพนันโดยเด็ดขาด หันมามุ่งหน้าเอาดีกับกิจการโรงสีข้าวเพียงอย่างเดียว

คุณหญิงสายหยุดและเก่งเห็นว่าตนเองอยู่บ้านเฉยๆ แต่ละวันไม่เกิดประโยชน์ จึงอาสาไปช่วยงานคุณนายกิมเฮียงและป๊าของทินพันธ์ที่โรงสี

อาศัยที่คุณหญิงสายหยุดมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับบรรดาผู้คนในวงสังคมมานาน ประกอบกับเป็นคนที่มีความรู้ สามารถพูดได้ถึงสามภาษา ไทย อังกฤษ และฝรั่งเศส มารดาของกรผกามารศรีจึงช่วยให้กิจการโรงสีข้าวของตระกูลเกียรติมหึมามหาเศรษฐีก้าวหน้าไปไกลอย่างรวดเร็ว

ข้างเก่งนั้น อาศัยที่เคยเป็นทอมสาว แก่นเซี้ยวเปรี้ยวซ่า แถมยังมีประสบการณ์เคยคุมวินรถมอเตอร์ไซค์มาก่อน ก็เลยช่วยป๊าของทินพันธ์คุมคนงานแบกกระสอบข้าวสารของโรงสีให้ทำงานอย่างเป็นระเบียบ ไม่อู้เหมือนอย่างเดิม ทำให้รายได้ผลกำไรของโรงสีเกียรติมหึมามหาเศรษฐี พุ่งทะยานยิ่งกว่าไตรมาสที่ผ่านมา

กรผกามารศรีเฝ้าปรนนิบัติดูแลทินพันธ์เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าเธอจะทำอะไรไม่ค่อยเป็นโล้เป็นพายนัก แต่หล่อนไปร่ำเรียนจบถึงฟินิชชิ่งคอร์สจากต่างประเทศ ดังนั้น หญิงสาวจึงคอยเอาใจใส่ดูแลทินพันธ์ได้เป็นอย่างดี

อาหารทุกมื้อ กรผกามารศรีจะต้องลงไปกำกับดูแลด้วยตัวเองในครัว เพื่อให้มั่นใจว่าชายหนุ่มที่หล่อนรัก จะได้รับสารอาหารครบถ้วนทั้งห้าหมู่ ผักผลไม้ที่เลือกสรรมาให้ทินพันธ์รับประทาน กรผกามารศรีจะต้องตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีกจนมั่นใจว่าเป็นผักและผลไม้ปลอดสารพิษเท่านั้น

นอกจากนี้ หญิงสาวยังคอยดูแลให้ทินพันธ์รับประทานยาครบทุกมื้อ ทุกเย็นเธอจะพาชายหนุ่มไปเดินเล่น ชี้ชวนให้เขาดูโน่นนี่ แม้ทินพันธ์จะมองไม่เห็น กรผกามารศรีก็จะคอยอธิบายให้ชายหนุ่มฟัง ราวกับเขาสามารถมองเห็นได้ด้วยตาของตัวเอง

ก่อนเข้านอน กรผกามารศรีก็จะเลือกหนังสือที่น่าสนใจมาอ่านให้เขาฟังทุกวัน เป็นเช่นนี้มาหลายเดือนจนกระทั่งชายหนุ่มและหญิงสาวเคยชินกับการที่มีกันและกันอยู่เสมอ

มีทินพันธ์ที่ไหน ก็จะมีกรผกามารศรีอยู่ใกล้ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ชายหนุ่มจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยกับหญิงสาวขึ้นว่า

“คุณกรผกาครับ”

“คะ” หญิงสาวเอียงหน้าหาชายหนุ่มด้วยความสงสัยว่าเขาจะบอกอะไรกับหล่อน “มีอะไรคะคุณทินพันธ์”

“แต่งงานกับผมนะ” เขาเอ่ยเรียบๆ ง่ายๆ “ผมรู้ว่าผมไม่เหมาะสม ไม่คู่ควรกับคุณ แต่ผมก็อยากขอให้คุณแต่งงานกับผม”

“ฉัน…เอ้อ…ฉัน” หญิงสาวตกใจ ด้วยไม่คิดว่าทินพันธ์จะเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ในเวลานี้คนที่ไม่คู่ควรกับเขาก็คือเธอต่างหาก

“รอเอาไว้ให้คุณไปผ่าตัดตาให้หายดีเสียก่อนดีไหมคะ แล้วเราค่อยพูดเรื่องนี้กันใหม่” หญิงสาวพยายามพูดอย่างถนอมน้ำใจ ไม่กล้าเอ่ยปฏิเสธออกไปตรงๆ

“ทำไมครับ” สีหน้าชายหนุ่มหม่นเศร้า เขาคิดอยู่แล้วว่าหญิงสาวจะต้องปฏิเสธเขาอย่างไม่มีเยื่อใย “คุณรังเกียจที่ผมตาบอดอย่างนั้นหรือ”

“ไม่ใช่นะคะ” กรผกามารศรีรีบปฏิเสธ “ดิฉันไม่ได้รังเกียจคุณทินพันธ์ แต่ว่า…เอ้อ…”

เราจะบอกเขาอย่างไรดีนะ…หญิงสาวคิดคร่ำครวญอยู่ภายในใจ…ฉันจะบอกเขาอย่างไรดีว่าที่จริงแล้วฉันไม่ได้เหมาะสมกับเขาอีกต่อไป เพราะในวันนี้ฉันเป็นแค่ผู้หญิงจนๆ คนหนึ่ง ไร้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรี

“แต่ว่าอะไรครับ” ทินพันธ์ย้อนถามหญิงสาวด้วยหัวใจที่ปวดร้าว “ที่จริงคุณก็ยังรังเกียจผมอยู่นั่นเองว่าเป็นเศรษฐีใหม่ เป็นลูกคนจีน ไม่คู่ควรกับคุณ”

“ไม่จริงค่ะ” กรผกามารศรีน้ำตาไหลริน ด้วยไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร “ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย ที่ฉันยังไม่ตอบตกลงเป็นเพราะตัวฉันไม่เหมาะสมกับคุณต่างหาก”

“ไม่เหมาะสม…ไม่เหมาะยังไงครับ” ทินพันธ์คาดคั้นถาม

“คุณก็รู้ว่าตระกูลของฉันเดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรเหลืออยู่ให้ภาคภูมิใจเหมือนแต่ก่อน คุณหญิงแม่ของฉันก็ติดหนี้ตระกูลของคุณหลายล้านบาท แล้วจะให้ฉันมีหน้าไปแต่งงานกับคุณอย่างนั้นหรือคะ”

“ผมไม่เคยเก็บเอาเรื่องนี้มาคิดเลยนะครับ ผมรักคุณ อยากแต่งงานกับคุณ อยากใช้ชีวิตอยู่กับคุณทุกๆ วัน…ก็เท่านั้น”

กรผกามารศรีพยายามจะไม่สะอื้นออกมาดังๆ ให้ชายหนุ่มได้ยิน หล่อนรู้ตัวแล้วว่ารักเขามาก แต่จะให้เธอแต่งงานกับทินพันธ์ ท่ามกลางเสียงด่าว่าของคนทั้งเมืองว่าทำไปเพราะหวังสมบัติของเขานั้น เธอทำไม่ได้

“ตอนนี้ฉันก็อยู่กับคุณทุกวันแล้วนี่คะ” หญิงสาวพูดเสียงสั่น “เรื่องแต่งงาน…รอเอาไว้ให้คุณผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยเสียก่อน แล้วเราค่อยพูดจะดีกว่านะคะ”

ยังไม่ทันที่ทินพันธ์จะได้พูดอะไรออกมา เสียงโทรศัพท์ในห้องโถงที่เขานั่งเล่นกับกรผกามารศรีก็ดังขึ้น สาวใช้คนหนึ่งรีบวิ่งไปรับ ก่อนจะถือโทรศัพท์เดินมาหาหญิงสาวที่ทำหน้าสงสัย ด้วยไม่รู้ว่าใครโทร.มาหาหล่อน เพราะตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานี้ กรผกามารศรีไม่ได้ติดต่อกับผู้ใดเลย

“โทรศัพท์ของคุณกรผกาค่ะ” สาวใช้คนนั้นบอกด้วยท่าทางนอบน้อม

ที่จริงจะว่าไปแล้ว ตั้งแต่ฐานะของหล่อนกลับกลายจากมหาเศรษฐีเป็นยาจก ต้องอพยพออกจากบ้านที่เคยอยู่ ไม่มีเพื่อนคนไหนยอมคบหาหล่อนสักคนเดียว ไปหาใครก็มีแต่คนเบือนหน้าหนี เพราะกลัวว่าหญิงสาวและคุณหญิงผู้มารดาจะไปขอยืมเงิน

“ใครโทรหาฉันหรือจ๊ะ” กรผกามารศรีนิ่วหน้า

“เขาบอกว่าชื่ออนึก…คู่หมั้นของคุณค่ะ”

ทันทีที่สาวใช้คนนั้นเอ่ยนามของอดีตคู่หมั้นของกรผกามารศรีออกมา ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบกริบ ด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่แตกต่างกัน

กรผกามารศรีนั้นรู้สึกประหลาดใจแกมหงุดหงิด ไม่รู้ว่าอนึกจะติดต่อมาทำไมอีก ขณะที่ทินพันธ์นั้นผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วเดินสะเปะสะปะออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วด้วยความโมโหและไม่เข้าใจ



Don`t copy text!