กระบือสื่อรัก บทที่ 8 : ระหว่างวิศวกรหนุ่มกับเด็กเลี้ยงควาย

กระบือสื่อรัก บทที่ 8 : ระหว่างวิศวกรหนุ่มกับเด็กเลี้ยงควาย

โดย : พรรณสิริ

Loading

กระบือสื่อรัก นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 4 โดย พรรณสิริ ที่อ่านได้ในเพจอ่านเอาและ anowl.co เรื่องราวของเอื้อมดาวที่ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เธอต้องทิ้งใบปริญญามาเป็นสาวโรงงาน ต้องขายควายเพื่อใช้หนี้ แล้วบททดสอบของชีวิตก็ทำให้รู้ว่าตัวเองแกร่งกว่าที่คิดและชีวิตไม่ต้องขึ้นอยู่กับใบปริญญาเสมอไป

เอื้อมดาวก้าวเท้าออกจากประตูโรงงานเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าเหมือนเช่นทุกวัน แต่วันนี้ต่างออกไปเพราะเจ้าตัวไม่ต้องนั่งรถประจำทางกลับไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดทิ้งไว้ที่ตลาดหลังสถานีขนส่งเหมือนเช่นเคย

เธอเดินหลบหลีกรถเข็นขายอาหารบนริมทางหน้าโรงงานไปหยุดที่ศาลาริมทาง แค่ไม่กี่อึดใจ รถยนต์สีควันบุหรี่กลางเก่ากลางใหม่ก็เคลื่อนเข้ามาจอด กระจกค่อยๆ เลื่อนลง คนขับชะโงกหน้าออกมาโบกมือให้

“รอนานไหม ขึ้นมาเลย”

เอื้อมดาวเปิดประตูก้าวขึ้นรถ ระบายรอยยิ้มกว้าง สีหน้าที่เหนื่อยล้าดูแช่มชื่นขึ้น

หลังจากเจอกันที่โรงอาหาร อดีตรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่าก็ค่อยๆ ก้าวเข้ามาในชีวิต เริ่มจากนั่งกินข้าวกลางวันด้วยกันทุกวัน ขยับมารับเธอหลังเลิกงานไปส่งที่ตลาดหลังสถานีขนส่ง จนกระทั่งรับ-ส่งเช้าเย็นถึงบ้าน

แม้จะยังไม่ได้พูดคุยกันอย่างเป็นทางการ แต่คนในโรงงานต่างเข้าใจว่าวิศวกรหนุ่มและสาวโรงงานคบหากันเป็นแฟนแน่นอนแล้ว

เอื้อมดาวไม่ค่อยสุงสิงกับคนในโรงงานสักเท่าไร แม้จะใช้วุฒิ ม.หกสมัครงานเหมือนคนอื่นๆ แต่หญิงสาวก็ได้ชื่อว่าเคยเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยรัฐบาลชั้นนำของประเทศมาก่อน พื้นฐานชีวิตและความคิดความอ่านจึงแตกต่างจากเพื่อนร่วมงานจนมักจะถูกค่อนขอดเป็นประจำว่า ‘หยิ่ง’ บ้าง ‘หัวสูง’ บ้าง หนุ่มๆ ในสายการผลิตที่เข้ามาขายขนมจีบต่างต้องล่าถอยไปตามๆ กัน

‘อย่าหวังเลย สองตานางไม่แลหรอก ถ้าไม่จบปริญญาตรี’

เอื้อมดาวทำเป็นหูทวนลมเสมอเวลาที่เดินผ่านแล้วได้ยินเสียงซุบซิบลอยไล่หลังมา

เธอไม่ได้หัวสูง แค่ไม่สามารถฝืนใจทำตัวกลมกลืนไปกับคนอื่นๆ ได้เท่านั้นเอง

“วันนี้ไปกินข้าวที่บ้านเอื้อมไหมคะ แม่ทำกับข้าวหลายอย่าง มีแกงเขียวหวานยอดมะพร้าวที่คราวก่อนพี่รุจน์ชมว่าอร่อยด้วย”

นางสะอิ้งเห็นวิศวกรหนุ่มเทียวไปเทียวมารับส่งบุตรสาว แต่ไม่เคยเข้ามาไหว้ผู้ใหญ่ในบ้าน อดรนทนไม่ได้เอ่ยปากออกมา

‘ถ้าจริงใจกับลูกสาวเขา ก็ต้องเข้ามาทำความรู้จักพ่อแม่หน่อยไหม’

เอื้อมดาวกดดันไม่น้อย แม้เธอตะขิดตะขวงใจที่รุจน์ไม่เคยลงจากรถมาไหว้มารดาเลยสักครั้ง แต่ก็ไม่อยากให้รู้สึกว่ากำลังพยายามมัดมือชกเขา

“อืม…ไปสิ ถือโอกาสเจอแม่เอื้อมด้วยเลย” อดีตรุ่นพี่เอื้อมมือมากุมมือเธอที่วางอยู่บนตักอย่างสุภาพ

หญิงสาวส่งยิ้มหวานตอบรับ มีสีหน้าโล่งอกเมื่ออีกฝ่ายรับคำชวน

ขณะขับรถผ่านหน้าห้างใหญ่ริมทางหลวง รุจน์เอ่ยปาก“พี่ควรซื้ออะไรไปฝากคุณแม่ของเอื้อมหน่อยดีไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ เอื้อมส่งข้อความบอกว่าพี่รุจน์จะไปกินข้าวด้วย ป่านนี้กับข้าวรอเต็มโต๊ะแล้ว”

จากทางหลวงสายหลัก รถเลี้ยวลงสู่ถนนลาดยางมะตอย มีหลุมบ่อราวกับกับดักระเบิดเป็นระยะ

รุจน์ซึ่งไม่ชินทางถึงกับต้องชะลอความเร็วลง แต่ยังหลบหลุมขนาดใหญ่ไม่พ้นกระแทกลงอย่างจัง รถเสียหลักแฉลบลงข้างทาง เคราะห์ดีที่กระทืบเบรกหยุดรถไว้ได้ในที่สุด ไม่หลุดถนนลงไป

รถเอียงกระเท่เร่จนคนนั่งข้างคนขับรู้สึกได้ เอื้อมดาวรีบเปิดประตูลงมาเร็วพอๆ กับคนขับ

“สงสัยเพลารถจะหัก ไม่น่าจะขับต่อได้” วิศวกรหนุ่มหน้าเสีย

“บ้านลุงผู้ใหญ่อยู่ไม่ไกล เดินอีกนิดเดียวก็ถึง น่าจะพอยืมมอเตอร์ไซค์ขี่กลับได้ ถึงบ้านแล้วค่อยโทรตามรถยกดีไหมคะ” หญิงสาวออกความเห็น

รุจน์เป็นวิศวกรก็จริง แต่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญเรื่องซ่อมรถ เขาจำต้องเดินคอตกตามหญิงสาวมุ่งสู่บ้านผู้ใหญ่เดชอย่างไร้ข้อโต้แย้ง

หมาที่เลี้ยงไว้ออกมาเห่าคนแปลกหน้า เอื้อมดาวเรียกชื่อพวกมัน พอเห็นเป็นคนคุ้นเคยก็กระดิกหางต้อนรับ

“อ้าว เอื้อม ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่ เข้ามากินข้าวกินปลาก่อน”

สมาชิกครอบครัวกำลังเริ่มตั้งวงกินข้าวเย็น ดินแดนซึ่งนอนเอกเขนกดูโทรทัศน์อยู่ถึงกับหูผึ่ง ผุดลุกขึ้นตามบิดาออกไป

“รถเพื่อนฉันตกหลุม เพลาน่าจะหัก ขับต่อไม่ได้ จะขอยืมมอเตอร์ไซค์ลุงขี่กลับบ้านหน่อยจ้ะ”

เอื้อมดาวชะงักไปเช่นกันเมื่อเห็นคนที่เดินตามผู้ใหญ่เดชออกมา

ดินแดนจ้องชายหนุ่มที่ติดสอยห้อยตามพี่สาวเพื่อนมาด้วยสายตาขวางๆ อย่างไม่ต้อนรับ

 

มากันแค่สองคนใช่ไหม ฉันขับรถไปส่งดีกว่า จะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา รอแป๊บ หยิบกุญแจรถก่อน” ดินแดนขันอาสา

“เอ่อ…ฉันไม่กวนดีกว่า กำลังกินข้าวกันไม่ใช่เหรอ” เอื้อมดาวโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน

บุตรชายผู้ใหญ่เดชไม่ฟังคำทัดทาน เดินกลับเข้าบ้านไปหยิบกุญแจรถกระบะที่แขวนไว้บนเสา คว้าไส้กรอกทอดในจานเข้าปากเคี้ยวหยับๆ ก่อนรีบรุดออกไป เกรงว่าคนมาขอความช่วยเหลือจะเปลี่ยนใจเสียก่อน

รถกระบะที่นั่งตอนเดียว ผู้โดยสารทั้งหมดจึงต้องเบียดกันทางด้านหน้า เอื้อมดาวขึ้นมานั่งคั่นกลาง สูดกลิ่นหญ้าใหม่สดที่ติดตัวเพื่อนน้องชายเข้าไปเต็มปอด

รุจน์ตามขึ้นมาด้วยท่าทางแหยงๆ เขาย่นจมูกนิดๆ แต่ยังรักษาสีหน้าตามมารยาท

“เหม็นหน่อยนะ ฉันเพิ่งไปลงหญ้าที่คอกควายมา” คนในเสื้อฮาวายหมุนกระจกฝั่งคนขับลงจนสุด ให้อากาศภายในได้ถ่ายเท

“หอมดีออก เหมือนน้ำหอมกลิ่นฟางแห้งไง” เอื้อมดาวหมายความตามที่พูดจริงๆ ไม่ได้ต้องการพูดเอาใจเขา ร่องอกแน่นๆ ที่แล่บออกมาจากชายเสื้อฮาวายที่ปลดกระดุมสองเม็ดบนสุดเอาไว้ ทำเอาหญิงสาวต้องเสหน้าหันไปมองทางอื่น

“ลืมแนะนำ นี่ดินแดนเป็นเพื่อนของน้องชายเอื้อม”

ดินแดนหันมาพยักหน้าให้วิศวกรหนุ่ม ก่อนจะหันกลับไปมองถนนเบื้องหน้าที่ความมืดโรยตัวเข้าปกคลุม

“ถ้าอย่างนั้นก็กำลังเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนโอบละสิ”

รุจน์รับฟังเรื่องราวทางบ้านจากปากเอื้อมดาวมาพอสมควร รู้ว่าน้องชายของเธออยู่ชั้น ม.หกและกำลังเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ในขณะที่น้องสาวคนเล็กอยู่ชั้น ม.สามและกำลังเตรียมสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เรียกได้ว่าอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทั้งคู่

เขาแปลกใจเมื่อเจอเอื้อมดาวในโรงงานและประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีกที่เธอไม่ได้อยู่ในออฟฟิศแต่เป็นคนงานในสายการผลิต เรียกได้ว่าเป็นสาวโรงงานดีๆ นี่เอง

ในอดีตหญิงสาวเป็นรุ่นน้องในโรงเรียน แต่ตอนนี้ช่องว่างระหว่างวัยเหมือนแคบลงเมื่อกลายมาเป็นเพื่อนร่วมงาน เอื้อมดาวสวยน่ารัก แม้จะเรียนไม่จบปริญญาแต่ก็พูดจาภาษาเดียวกัน ชอบอะไรคล้ายๆ กัน แต่ที่เขายังชั่งใจไม่เอ่ยปากขอเธอเป็นแฟนเสียทีก็เพราะไม่พร้อมที่จะช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้านอันหนักอึ้งของหญิงสาว

เงินเดือนวิศวกรไม่น้อยก็จริง แต่ถ้าแต่งงานกันไปก็ไม่น่าพอที่จะจุนเจืออีกหนึ่งครอบครัวได้ เนื่องจากตัวเขาเองก็ต้องส่งเสียพ่อแม่ที่อยู่ต่างจังหวัด ไหนจะค่าผ่อนคอนโดฯ และค่าผ่อนรถอีก ทำให้รุจน์มีเงินเหลือใช้แค่เดือนชนเดือน เวลาออกไปกินเที่ยวกับหญิงสาว เขาจึงแทบไม่เคยออกให้ แต่อาศัยหารกันคนละครึ่งเสมอ

มันก็ไม่สนุกนักหรอกที่ต้องจำกัดตัวเองไว้กับร้านรวงข้างทาง ถ้าเอื้อมดาวฐานะดีกว่านี้สักหน่อย เขาคงไม่ลังเลที่จะเอ่ยปากขอเธอเป็นแฟน

“ผมจบชั้นปอวอชอแล้ว ตั้งใจจะเลี้ยงควายเป็นกิจจะลักษณะ ไม่ได้คิดเรื่องเรียนต่อหรอก”

“เลี้ยงควาย? สมัยนี้ชาวนาน่าจะเปลี่ยนมาใช้รถไถกันหมดแล้ว หรือว่าน้องเลี้ยงแบบส่งเข้าโรงฆ่าสัตว์เหมือนพวกเนื้อโคขุนอะไรทำนองนั้น” รุจน์เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

“ไม่ใช่ทั้งสองแบบ ผมเลี้ยงควายสวยงามส่งประกวด”

“พี่เพิ่งเคยได้ยิน เงินรางวัลคงจะเยอะมาก ถึงทำเป็นอาชีพได้”

“เงินรางวัลไม่เท่าไหร่ แต่ควายที่ได้ถ้วย คนจะมาต่อคิวซื้อน้ำเชื้อไปผสมหรือเอาตัวเมียมาให้ทับ คนเลี้ยงก็จะมีรายได้จากตรงนี้” ดินแดนขยายความ

“จริงๆ ควายก็ใกล้เคียงกับหุ้น ซื้อมาขายไปทำกำไรช่วงสั้นๆ หรือถ้าเลี้ยงไว้เป็นพ่อพันธุ์ก็เหมือนรอเงินปันผล” หญิงสาวช่วยอธิบายเป็นฉากๆ

ดินแดนซึ่งขับรถไปเงียบๆ ถึงกับลอบอมยิ้ม อดสงสัยไม่ได้ว่าเธอไปศึกษาหาความรู้เรื่องควายจากไหน ทั้งที่เมื่อก่อนแทบจะไม่แยแส

“อืม…แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี เกิดติดโรคระบาดตาย ที่ลงทุนลงแรงไปเท่ากับหายวับไปกับตา” รุจน์แย้งด้วยเหตุผล “เพราะเหตุนี้ชาวไร่ชาวนาถึงได้ส่งลูกหลานเรียนสูงๆ หวังให้ไปทำอาชีพอื่น ไม่ต้องมาวัดดวงกับดินฟ้าอากาศหรือโรคระบาด น้องเองอายุยังน้อย น่าจะลองคิดเรื่องเรียนต่อให้จบปริญญาตรี จะได้มีทางเลือกในชีวิตเพิ่มขึ้น แล้วเลี้ยงควายเป็นอาชีพเสริมก็ได้”

“ไม่ดีกว่าครับ ผมเอาเวลาสี่ปีในมหาวิทยาลัยมาพัฒนาสายพันธุ์ควายดีกว่า” ดินแดนปฏิเสธเรียบๆ

แม้น้ำเสียงฟังดูมึนตึง แต่เจ้าตัวยังควบคุมอารมณ์ไว้ได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มเข้าใจดี ทั้งรุจน์และเอื้อมดาวเชิดชูใบปริญญา ต่างจากเขาที่เห็นว่าเป็นเพียงแค่กระดาษไว้ประดับฝาบ้าน

เขาพอใจกับวุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพที่มี อย่างน้อยก็ช่วยเป็นไม้กันหมาให้พ่อเลิกบ่น ความรู้ที่เขาต้องการก็หาได้จากอินเทอร์เน็ตหรือจากในฟาร์มที่เปิดให้คนนอกเข้าชม เขาจะมัวเสียเวลาในห้องเรียนไปเพื่ออะไร

รถกระบะเคลื่อนเข้าจอดริมรั้วหน้าบ้าน ผู้โดยสารเปิดประตูลงจากรถ

“เข้าบ้านมากินข้าวด้วยกันก่อนไหม” เอื้อมดาวก้มหน้าผ่านกระจก เชื้อเชิญอย่างมีน้ำใจ

“ไม่ดีกว่า ฉันไม่อยากขัดจังหวะคนกำลังจีบกัน” ดินแดนแสยะยิ้มมุมปาก ดวงตาดำขลับลุกโชนราวกับลูกไฟภายใต้ความมืด บ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

“ถ้าอย่างนั้นไว้เจอกัน”

เอื้อมดาวโบกมือให้ก่อนจะถอยออกมายืนดูรถกระบะที่พุ่งทะยานออกไป เสียวสันหลังวาบขึ้นมาดื้อๆ ราวกับเด็กที่ทำความผิดแล้วถูกจับได้ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจึงรู้สึกแบบนี้

 

“ทานเยอะๆ นะ พอเอื้อมบอกว่าจะพาเพื่อนมาบ้าน แม่เลยทำกับข้าวไว้เต็มโต๊ะ ลองชิมดูว่าถูกปากไหม” นางสะอิ้งวางกับข้าวจานสุดท้ายลงในสำรับ

วันนี้โต๊ะอาหารคึกคักกว่าปกติเพราะมีเพื่อนชาย ‘คนพิเศษ’ ของบุตรสาวคนโตมาเพิ่ม

“น้องชายยังไม่กลับหรือครับ” รุจน์หันรีหันขวาง เมื่อเห็นสมาชิกร่วมโต๊ะอาหารมีแค่เพียงมารดาและน้องสาวของเอื้อมดาว

“โอบกวดวิชาเสร็จ ก็ไปทำงานพิเศษต่อ กลับดึกทุกวัน” คนเป็นแม่อดบ่นไม่ได้

หน้าตาบุตรชายตอนนี้แทบดูไม่ได้ ซูบตอบอย่างคนอดหลับอดนอน ทั้งเรียนหนังสือและแบ่งเวลามาทำงานพิเศษ แต่โอบบุญก็ไม่เคยปริปากบ่นสักคำ

เอื้อมดาวเข้มงวดกับเรื่องการเรียนของน้องชายชนิดไม่ยอมผ่อนปรน

“ทานข้าวเถอะค่ะ เดี๋ยวดึกเกินไปพี่รุจน์จะกลับบ้านลำบาก”

“เห็นเอื้อมบอกว่าเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่า แสดงว่าเป็นคนแถวนี้ บ้านอยู่ไหนล่ะ”

“พ่อกับแม่อยู่ภาชีครับ รับราชการแต่ตอนนี้เกษียณแล้วทั้งคู่”

นางสะอิ้งมีสีหน้าพึงพอใจ ครอบครัวรับราชการถือว่าไม่ขี้เหร่ ในฐานะแม่ นางอยากให้บุตรสาวคบหาผู้ชายที่มีการศึกษาและฐานะครอบครัวมั่นคง จะได้เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่วงศ์ตระกูล ตั้งแต่บุตรสาวไปทำงานโรงงาน ก็หวั่นใจว่าจะเผลอไผลคบหากับหนุ่มโรงงานวุฒิการศึกษาต่ำ แต่พอรู้ว่ารุจน์เป็นวิศวกร ก็โล่งใจไปเป็นกอง

“บ้านอยู่ภาชี แต่มาทำงานนิคม คงต้องมาเช่าหรือซื้อบ้านอยู่แถวนี้ใช่ไหม” นางสะอิ้งซักไซ้

“ผมเช่าคอนโดอยู่ครับ เพิ่งย้ายมาไม่นาน คงต้องรอให้งานเข้าที่เข้าทางก่อน ค่อยคิดซื้อบ้านเป็นของตัวเอง”

สถานการณ์ของชายหนุ่มแทบจะไม่ต่างจากเอื้อมดาว ทำงานมาร่วมสามสี่ปีแต่ยังไม่มีเงินเก็บ เนื่องจากต้องจ่ายหนี้แทนบุพการีที่ไปค้ำประกันเงินกู้ให้เพื่อนครูในหน่วยงานเดียวกัน คนกู้เบี้ยวหนี้ คนค้ำประกันจึงต้องรับภาระแทน จนกว่าจะชำระหนี้สินก้อนนี้หมด รุจน์ยังไม่อาจกำหนดอนาคตของตัวเองได้

“แม่ถามอยู่นั่นแหละ พี่รุจน์ไม่ต้องกินข้าวพอดี” เอื้อมดาวหน้าร้อน รู้สึกว่าแม่ชักจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของรุ่นพี่จนน่าเกลียด

นางสะอิ้งหน้าเจื่อน แต่ยังไม่วายออกความเห็น “มนุษย์เงินเดือน พองานการมั่นคงแล้วก็ต้องลงหลักปักฐาน เก็บหอมรอมริบผ่อนบ้านสักหลัง ใครๆ เขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น”

กับข้าวอร่อยถูกปากแต่วิศวกรหนุ่มกลับไม่ค่อยเจริญอาหารสักเท่าไร เป็นเพราะถูกสอบประวัติมากเกินไปจนรู้สึกอึดอัด

หลังมื้ออาหารจบลงอย่างกร่อยๆ เอื้อมดาวขี่รถมอเตอร์ไซค์โดยมีรุจน์นั่งซ้อนท้ายกลับไปยังจุดที่ทิ้งรถไว้

“กับข้าววันนี้อร่อยไหมคะ” เอื้อมดาวชวนคุยเมื่อเห็นรุ่นพี่เงียบผิดปกติ

“อร่อย แม่เอื้อมฝีมือดีน่าเปิดร้านขายอาหาร”

“เคยชวนแล้วแต่แม่บอกไม่ไหว” หญิงสาวถอนหายใจ เคยเสนอให้เปิดร้านขายอาหารตามสั่งในโรงงานจะได้ช่วยกันหารายได้เข้าบ้าน แต่คำปฏิเสธของมารดายังก้องอยู่ในหู

‘ขอร้อง อย่าเอาคนแก่อย่างฉันไปทรมานเลย’

พอขอให้ไปช่วยเป็นลูกมือป้าสอางค์ก็ไม่เอาอีก ให้เหตุผลว่าไม่อยากถูกพี่สาวจิกหัวใช้เหมือนสมัยสาวๆ

ทุกวันนี้หญิงสาวทำงานห้าวัน ทำโอทีเลิกดึก แต่ก็ยังชักหน้าไม่ถึงหลัง บางเดือนต้องอาศัยบัตรกดเงินสดหมุนให้ผ่านไปได้ เธอกำลังคิดว่าจะหยุดเรียนแล้วออกมาหางานทำเพิ่มช่วงเสาร์อาทิตย์ ช่วยน้องชายหาเงินไถ่ควาย โอบบุญจะได้ไม่ต้องทำงานพิเศษเลิกดึกๆ ดื่นๆ มีเวลาเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย

“ถ้าร้านขายอาหารสเกลใหญ่ไป ลองทำที่บ้านให้เอื้อมหิ้วไปขายที่โรงงานดีไหม ซี่โครงหมูทอดกระเทียมวันนี้อร่อยจริงๆ อร่อยหมดแหละแต่ถ้าเป็นเมนูง่ายๆ เก็บได้หลายวันหน่อยก็สะดวกดี” รุจน์แนะนำ

“ขอบคุณพี่รุจน์ค่ะ เอื้อมลืมนึกวิธีนี้ไปเลย”

ทั้งคู่ขี่มอเตอร์ไซค์มาถึง หญิงสาวเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ไม่เพียงแต่รถลากจูงที่เธอโทร.ตาม แต่ยังมีลูกชายผู้ใหญ่เดช ยืนกอดอกพิงรถกระบะรออยู่ด้วย

“กำลังมาดูว่าพอจะช่วยลากไปอู่ได้ไหม รถลากก็มาถึงพอดี” น้องชายเพื่อนรายงาน

“ใช้รถลาก น่าจะสะดวกกว่านะ” เอื้อมดาวแย้ง ไม่อยากเป็นภาระให้ชายหนุ่มมากไปกว่านี้

“ก็แล้วแต่เลย ฉันแค่ไม่อยากให้เสียเงินโดยใช่เหตุ” ดินแดนยักไหล่ ถอยออกไปยืนสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ

“ตามที่แจ้งไว้ เราคิดค่าใช้จ่ายตามระยะทาง จากที่นี่ไปถึงอู่ซ่อม ราคาอยู่ที่สองพันบาท สะดวกชำระเป็นเงินสดหรือโอนเข้าบัญชีดีครับ”

“เอ่อ…” สีหน้ารุจน์บ่งบอกถึงความยุ่งยากใจ ในกระเป๋าสตางค์ตอนนี้มีเงินเหลืออยู่แปดร้อยบาทถ้วน ส่วนในบัญชีธนาคาร เขาเพิ่งจ่ายยอดบัตรเครดิตไปเหลือเงินติดบัญชีไม่ถึงหนึ่งพันบาท ต้องรอเงินเดือนออกในอีกสองวันข้างหน้า

“รูดบัตรเครดิตไม่ได้หรือครับ” วิศวกรหนุ่มพยายามต่อรอง

“ต้องขออภัยด้วยครับ เผอิญนอกเวลาทำการ เจ้าหน้าที่แผนกบัญชีกลับกันหมดแล้ว”

“เอื้อมโอนให้เอง บอกหมายเลขบัญชีมาเลยค่ะ” หญิงสาวซึ่งฟังการสนทนาอยู่เงียบๆ ล้วงสมาร์ตโฟนออกจากกระเป๋ากางเกง

“เผอิญพี่ไม่ได้เติมเงินใส่บัญชีที่พ่วงกับแอปพลิเคชันธนาคารไว้ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่กดเงินคืนให้นะ” ชายหนุ่มแก้ตัวเก้อๆ จำเป็นต้องโกหกเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง

“ไม่ต้องคืนหรอกค่ะ รถพี่รุจน์พังเพราะขับมาบ้านเอื้อม ไหนจะต้องจ่ายค่าซ่อมอีก น่าจะหลายบาท” เจ้าตัวนิ่วหน้าอย่างรู้สึกผิด

เงินสองพันบาทสำหรับสาวโรงงานถือว่าไม่น้อย เมื่อเปรียบเทียบกับเงินเดือนที่ได้รับ แต่เจ้าตัวเห็นว่าควรแสดงน้ำใจตอบแทนที่ฝ่ายชายคอยเทียวรับส่ง

“พี่ไปก่อนนะ เจอกันที่โรงงานพรุ่งนี้” รุจน์ขึ้นไปนั่งข้างพนักงาน ยิ้มจืดๆ ก่อนที่รถลากจูงจะเคลื่อนออกไป

“เจอกันค่ะ” เอื้อมดาวโบกมือตอบ

รถลับสายตาไป เหลือเพียงแสงสว่างของไฟท้ายเป็นจุดเล็กๆ เอื้อมดาวหันกลับมาหาคนที่ยืนรออยู่

“ท่าทางเจ๊จะชอบเขามากละสิ ออกค่ารถลากให้ ช่างหน้าใหญ่เสียจริงๆ” น้ำเสียงของชายหนุ่มแฝงแววประชดประชัน

“รถเขาพังเพราะมาส่งฉัน จะให้เขาออกทั้งค่าลากและค่าซ่อม ดูไม่ค่อยดีไหม”

ดินแดนหัวเราะหึๆ “โทรตามรถลากแต่ไม่เช็กเงินในบัญชีก่อน เป็นฉัน เอาหน้ามุดดินแล้ว วิศวกรประสาอะไร เงินเดือนน่าจะหลายหมื่น แค่ค่ารถลากสองพันยังไม่มีปัญญาจ่าย ต้องให้ผู้หญิงออกให้”

“พี่เขาบอกแล้วไง ไม่ได้เติมเงินในบัญชีที่ผูกกับแอปธนาคาร” เอื้อมดาวประท้วงเสียงแข็ง

“อยากจะเชื่อแบบนั้นก็ตามใจ แต่อย่างน้อยฉันก็รู้ว่า เจ๊ก็สายเปย์ผู้ชายไม่อั้นเหมือนกัน ฮ่าๆๆ”​ ดินแดนปั้นหน้าทะเล้นยั่วเย้า

“เด็กบ้า ฉันไม่คุยกับนายแล้ว กลับบ้านนอนดีกว่า” หญิงสาวขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด

“กลับบ้านดีๆ ล่ะ ไม่ไปส่งนะ”

หญิงสาวส่งค้อนวงใหญ่ เชิดหน้าบิดคันเร่งผ่านเพื่อนน้องชายไป

“ชิ อ่อนกว่าไม่ถึงปีมาเรียกว่าเด็ก เด็กแล้วไง เป็นผัวเจ๊ได้ก็แล้วกัน” ดินแดนคำรามฮึ่มฮั่มก่อนสตาร์ตรถขับกลับบ้านเช่นกัน

 



Don`t copy text!