หัวใจมังกร บทที่ 6 : รอยบิ่น

หัวใจมังกร บทที่ 6 : รอยบิ่น

โดย : สิรี กวีผล

Loading

หัวใจมังกร โดย สิรี กวีผล เรื่องของ ชายหนุ่มทายาทตระกูลจีน ถูกพรากคนรักและพรากชีวิตด้วยกระบี่ในอดีต ปาฏิหาริย์แห่งคำสาบานก่อนตายนำพาเขาและเธอกลับมาพบกัน ทว่าต่างภพชาติ ชายหนุ่มต้องเลือกระหว่างหน้าที่และครอบครัว หรือความรักที่เขารอคอยมานานนับร้อยปี อ่านเรื่องราวนี้ได้ทาง เพจอ่านเอา และ www.anowl.co

ปัง ปัง ปัง เสียงดินประสิวระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ร่องรอยกระดาษสีแดงร่วงหล่นเต็มพื้นทั่วบริเวณระหว่างเสาหัวมังกรที่เสมือนเป็นประตูสู่สรวงสวรรค์ เสียงตีกลองดังอึกทึกครึกโครม มีมังกรเชิดหน้าชูตาคอยวิ่งไปซ้ายที ขวาทีโค้งคำนับขึ้นลงตามจังหวะเสียงกลอง กระดาษแข็งหล่อขึ้นมาเป็นทรงครอบหัวมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โครงใบหน้าคล้ายชายมีอายุคอยยิ้มให้เดินถือพัดเป็นเอกลักษณ์นำขบวนมา

วันนี้ศาลเจ้าคึกคักเป็นพิเศษ คนในตระกูลฟู่มากหน้าหลายตามายืนล้อมกันเป็นวง เหมือนจะแบ่งออกเป็นพรรคเป็นพวก เป็นฝักเป็นฝ่ายเสียมากกว่า ชายหนุ่มหน้าตาหาเรื่องหลายคนต่างมองตากันแทบจะกินเลือดกินเนื้อ ผลักอกกันไปมา กระแทกไหล่กันก็มากอยู่ ทว่าไม่มีใครกล้าหาเรื่องกันในศาลเจ้าแห่งนี้เพราะกลัวเรื่องจะถึงหูเถ้าแก่เฉิง

“อะไรกันนักหนา เรียกมาทำไมไม่รู้” จ้านเดินบ่นนำเข้ามา ลูกน้องทั้งหลายต่างโค้งคำนับ แต่ใครจะรู้ลึกๆ นั้นเคารพอย่างแท้จริงหรือเพียงแค่หน้าที่

“นั่นสิป๊า อาแปะคิดจะทำอะไรของเขา จัดงานอะไรเสียงดังไปหมด คนจะนอนตื่นสายก็ไม่ได้” ตาลึกโบ๋ดำคล้ำคล้ายคนอดนอนมาแรมปีของเหลียงปรากฏแก่สาธารณชน มีเพียงหลี่จิ้งคนเดียวที่เดินเงียบๆ ก้มหน้าก้มตาเข้ามาพร้อมกับชุดที่ดูเป็นพิธีการมากกว่าคนอื่น เนื่องจากมีความมิดชิดด้วยผ้าแพรชุดกี่เพ้าคอตั้งปกปิดคอเรียวระหงส์ แววตาสีหน้าดูไม่ค่อยสดชื่นสักเท่าไร ลูกน้องที่เคารพนับถือน้ำใจจ้านต่างแหวกคนอื่นที่ยืนเกะกะขวางทางเพื่อให้ลูกพี่ของตนเดินเข้ามา เหลียงตามหลังป๊ายืดอกพองขนทำตนใหญ่คับฟ้า มีจ้านคอยแนะนำทุกคนให้รู้จักลูกชายคนเดียวของเขา พร้อมทั้งฝากฝังเพื่อให้อนาคตเหลียงได้ขึ้นมาเป็นใหญ่ของตระกูลฟู่

เสียงหัวเราะดังอยู่อีกฝั่งหนึ่งของทางเข้า กลุ่มชายอาวุโสต่างยืนล้อมรอบหัวเราะชอบใจชายหนุ่มในชุดสีแดงคอจีน ไร้กระดุมปกปิดเผยให้เห็นกล้ามแน่นของชายวัยรุ่นอย่างชุน การเข้ากับคนง่าย มีอัธยาศัยดี มีอารมณ์ขัน เข้าอกเข้าใจผู้อื่น การพูดการจาฟังแล้วระรื่นหูไปเสียหมด ทำเอาอาแปะ อาเจ็กหลายคนมีรอยยิ้ม แม้จะเหน็บปืน หรือกรรไกรขาเดียวไว้ข้างเอวก็ตาม

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า มีลูกอย่างลื้อสบายไปทั้งชาติแน่ๆ ใช่ไหมเถ้าแก่” อาเหล่าแปะคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นข้างๆ เฉิงที่ยืนคิ้วขมวดอยู่ ไม่ได้ยินที่เพื่อนตนเองพูดสักเท่าไร

“หือ ต้าตั่วเซีย” เฉิงไม่ได้ฟังคำพูดเหล่านั้นเลย

“นี่อั๊วยังพูดไม่ดังพออีกเหรอ ก็ลูกลื้อไง มีตี๋น้อยอย่างอาชุนสบายไปทั้งชาติ” คนพูดทวนคำ

“โอ๊ย สบายอะไรเจ้าสัว ปวดหัวสิไม่ว่า” เฉิงพูดไม่ได้คิดอะไรเพราะจิตใจของเขารอคนสำคัญอย่างชางและถิงถิงที่ยังไม่มาสักทีจนลืมดูว่าชุนแอบน้อยใจอยู่ไม่ห่าง เขาขอตัวจากวงสนทนาเดินกลับเข้าไปในศาลเจ้าเงียบๆ

ทันทีที่ชางก้าวเข้ามาในศาลเจ้า เสียงประทัดถูกจุดให้ดังขึ้นมาอีกครั้งจนชางปวดหู ซูลี่เดินจับแขนลูกชายเข้ามาไม่ห่าง ทุกคนต่างโค้งคำนับให้ด้วยความเคารพทั้งสองคน เฉิงรีบเดินเข้าไปโอบตัวลูกชายที่เขาภาคภูมิใจพาเดินมาทางหน้าด้านศาลเจ้า มือไม้ของเฉิงจัดตกแต่งเสื้อของลูกชายคนโปรด สองมือกระชับหัวไหล่กว้างของชางสั่นไหวเล็กน้อย ชางไม่รู้อีโหน่อีเหน่ยืนสับสนต่อหน้าทุกคนได้แต่ยิ้มให้กับเหล่าสาธารณชนสมาชิกตระกูลฟู่ทั้งหลาย

“ยิ้มอะไรของมัน” เหลียงไม่สบอารมณ์ ทว่าภายในจิตใจของชางกลับไม่มีความสุขใจหรือภาคภูมิใจเลยแม้แต่น้อย สายตาทุกคู่มองมาที่เขาแต่ไม่ได้มีความเคารพหรือเกรงใจกลับมองเห็นแต่สายตาเหยียดหยาม ดูถูก ดูหมิ่น แม้จะเป็นลูกชายของเถ้าแก่เฉิงก็ตาม แต่ก็พอมีบ้างที่มองชางด้วยความเคารพจริงๆ

“วันนี้อั๊วในฐานะประธานสมาคมตระกูลฟู่ มีเรื่องน่ายินดีจะประกาศให้ทุกคนได้รู้กัน” เสียงเฉิงกังวานสดใสกว่าทุกครั้ง บรรยากาศดูเบาลงไม่ตึงเครียดเหมือนไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ จางหย่งในชุดพิธีการดูแปลกตากว่าที่เคยเป็น จางหย่งเป็นคนเรียบง่าย ใจเย็น ซื่อสัตย์ เขาเป็นเหมือนสมุนมือขวาของเฉิงที่คอยเตือนสติและเป็นคู่คิดยามที่เฉิงใจร้อน เฉิงเดินไปกอดคอจางหย่งให้มายืนข้างๆ เขา สายตาของจ้านแทบจะกินเลือดกินเนื้อ คนตรงหน้าทั้งสองไม่ต่างกับลูกไม้ที่ตกไม่ไกลต้น

“อั๊วขอลูกสาวลื้อมาเป็นสะใภ้คนโตของตระกูลฟู่ให้กับอาชางนะ” สิ้นคำเฉิง จางหย่งทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อคืนเขากลับไปคุยกับลูกสาวคนเดียวของเขา ความที่ได้มาไม่ค่อยสู้ดีนัก ถิงถิงยืนกรานกระต่ายขาเดียวที่จะไม่แต่งงานกับชาง เธอไม่ได้รักชางอย่างชายหนุ่มหญิงสาว แม้จางหย่งจะโน้มน้าวทุกวิถีทางแต่ทุกทางคือบุญคุณระหว่างพ่อที่พยายามชดใช้คืนด้วยลูกเสียมากกว่า จางหย่งไม่รู้จะบังคับลูกสาวตัวเองได้อย่างไร เพียงแค่รับปากจะพยายามยืดระยะเวลาออกไปให้นานที่สุดจนกว่าเฉิงจะเปลี่ยนใจ ทว่าเขายังไม่มีโอกาสต่อรองกับเฉิงได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เฉิงก็มัดมือชกเข้าที่หัวใจของเขาต่อหน้าทุกคน ไม่ต่างจากหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างในศาลเจ้า ถิงถิงน้ำตารื้น เธอมองหน้าชุนอย่างโหยหาเช่นเดียวกับชุนที่มองถิงถิงจนมองเห็นน้ำตาลูกผู้ชาย เขายืนข้างๆ เสามังกรไม่ห่างจากพี่ชายที่ยืนตกตะลึงอยู่ ชุนเบี่ยงหน้าหลบหลังเสาก่อนจะยกมือปาดน้ำตา พยายามทำตัวให้ไม่มีพิรุธ เขามองถิงถิงด้วยหัวใจที่แตกสลาย ความเศร้าโศกปรากฏอยู่บนใบหน้าที่เกินจะปิดบัง ทว่ารอยยิ้มกลับเปื้อนอยู่บนใบหน้าพร้อมกับยินดีกับพี่ชายที่เขารักและเคารพที่สุด ชุนคิดอยู่เสมอว่าถ้าไม่ใช่เขาที่ได้ครองรักกับถิงถิง เขาจะยอมผู้ชายได้เพียงคนเดียวในโลกนั่นคือชางเท่านั้น

“อะไรวะ อั๊วหยอดมาตั้งนาน ไอ้ชางปาดหน้าไปอีกจนได้” เหลียงสบถขึ้นเบาๆ เพียงพอให้หลี่จิ้งได้ยิน

“ลูกชอบน้องหมวยเหรอ” หลี่จิ้งถามขึ้น

“ก็ไม่ได้ชอบอะไรนักหนาหรอกม้า หมวยก็สวย ขาว ได้มาเป็นเมียก็คงดี” สายตาของเหลียงมองถิงถิงรุกล้ำความเป็นส่วนตัวจนถิงถิงรู้สึกและเผลอสบตา ถิงถิงรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตของตนเองสายตาปะทะกันไม่นานนักเหลียงบังเอิญสังเกตเห็นชุนที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากชางพยายามมองถิงถิงอย่างอาลัยอาวรณ์ ตาชายหนุ่มโศกเศร้า แววตาคล้ายคนที่กำลังสูญเสียคนรักแดงก่ำ ใบหน้าดูเศร้าสร้อยไม่ต่างกับถิงถิงที่พยายามหลบสายตาผู้คนแอบมองข้ามหัวไหล่ชาง แม้เธอจะยิ้มให้บุคคลตรงหน้าแต่ทว่ารอยยิ้มนั้นส่งไกลไปถึงชายหนุ่มอย่างชุนที่ยืนอยู่ข้างหลังเสียมากกว่า

‘หึ เรื่องนี้สนุกแน่’ เหลียงกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ

“เมื่อคืนมันกอดน้องหมวยเหรอ” เหลียงพึมพำ

“ใครกอดใคร อาเหลียง” จ้านได้ยิน

“ก็เมื่อคืนป๊า อั๊วเห็นไอ้ชางมันยืนกอดกับผู้หญิงที่ไหนไม่รู้อยู่หลังศาลเจ้า แต่ไม่คุ้นหน้า”

“จะใครก็คงเป็นอาถิง ไม่งั้นแปะลื้อไม่ประเคนส่งถึงปากขนาดนี้หรอก” น้ำเสียงจ้านไม่พอใจ

“คอยดู ไม่ว่าจะเป็นใครอั๊วจะแย่งของรักมันมาให้หมด” สีหน้าเหลียงเหี้ยมโหดขึ้น เมื่อรับรู้ว่าทุกอย่างที่ควรตกเป็นของเขากลับกลายเป็นของชางไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง เงิน อำนาจ

 

โต๊ะอาหารในเรือนของเฉิงว่างเปล่า ถ้วยชามเรียงรายไม่มีแม้แต่ข้าวติดถ้วย ตะเกียบไม้สีดำมันขลับส่วนปลายมีร่องรอยของการถูกใช้งาน หน้าที่ของมันเสร็จสิ้นลงเรียบร้อย เด็กในบ้านต่างเข้ามาทยอยเก็บถ้วยจานชามบนโต๊ะจนสะอาดเรียบร้อย ทุกคนในบ้านต่างแยกย้ายกันไปคนละมุม ตั้งแต่กลับเข้าบ้านยังไม่มีใครพูดจากัน ยกเว้นเฉิงที่วันนี้พูดเยอะอยู่เพียงคนเดียว โดยไม่ได้สนใจสีหน้าคนฟังแม้แต่น้อย

“อาชาง อาชุน” เฉิงเรียกลูกชายทั้ง 2 ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกกันไป ชายหนุ่มหันมามองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะเดินไปหาป๊าของเขาที่บริเวณเก้าอี้รับแขกซึ่งอยู่ไม่ห่างจากแท่นเคารพบรรพบุรุษเท่าไรนัก

“วันนี้ป๊ามีความสุขมาก ที่เห็นลื้อจะเป็นฝั่งเป็นฝา” เฉิงจับไหล่ชาง ยิ้มมีความสุข ทว่าชุนหลบตาเบี่ยงหน้าเล็กน้อยไม่อยากให้ใครเห็นโดยเฉพาะป๊าของเขาว่าเขากำลังเสียใจเป็นที่สุด แต่ชางหันมาเห็นและเข้าใจทุกความรู้สึกของน้องชายเป็นอย่างดี มือหนาของพี่ชายแตะแขนน้องอย่างลึกซึ้ง ชุนเงยหน้ามองพี่ชายของเขา ทุกความรู้สึกที่มีต่อถิงถิงไม่อาจปิดบังชางได้อีกต่อไป

“อั๊วไม่อยากแต่งกับน้องหมวยครับป๊า” ชางเปิดใจพูดตรงๆ กับเฉิง ซูลี่ได้ยินก็ชะงักรีบเข้ามาหาทั้ง 3 คน ใบหน้าเปื้อนยิ้มของเฉิงหายวับไปกับตา คิ้วสีเทาๆ เรียงสวยขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจ

“พูดอะไรของลื้อ คืนก่อนอาเหลียงยังบอกอั๊วว่าเห็นลื้อกอดกับผู้หญิงหลังศาลเจ้า” เหลียงเป็นคนขี้ฟ้องมาแต่ไหนแต่ไร และเฉิงก็พิจารณาแล้วว่าครั้งนี้เหลียงน่าจะเห็นจริง ชางหน้าถอดสี ความคิดของเขานึกถึงภาพเรื่องราวเหตุการณ์ประหลาดที่เขากับกัญญ์กุลณัชถูกเหลียงแทงจนตาย

“อั๊วไม่ได้กอดใครทั้งนั้นนะป๊า อีกอย่างอั๊วแต่งงานกับน้องหมวยไม่ได้”

“ทำไมจะไม่ได้” เฉิงเริ่มขึ้นเสียงไม่พอใจ ซูลี่เข้ามาแตะตัวเฉิงให้ใจเย็น

“ก็อั๊วไม่ได้รักน้องหมวยแบบชายหญิง” ชุนคว้าแขนพี่ชายตัวเองให้หยุดพูด ชุนรู้ว่าไม่มีอะไรที่ชางจะทำเพื่อเขาไม่ได้ เฉิงสังเกตเห็นพฤติกรรมลูกชายทั้ง 2 คน

“อาชุน มีอะไร” แววตาดุดันของเฉิงทำเอาลูกๆ ไม่กล้าพูดความจริง แต่ชางไม่เคยกลัวสายตานั้นแม้แต่น้อย ความรักของเขามีให้กับหญิงสาวที่เขารู้จักเพียงไม่กี่ข้ามคืน ชางรู้แค่ว่ากัญญ์กุลณัชคือผู้หญิงที่เขารอคอยมาทั้งชีวิต เขาจะหาคำตอบให้กับความรักครั้งนี้

“อั๊วมีผู้หญิงที่อั๊วรักอยู่แล้ว” ชางโพล่งออกไป

“ลูกสาวตระกูลไหน แซ่อะไร อั๊วไม่เคยเห็น”

“ป๊าเคยสนใจความรู้สึกคนอื่นด้วยเหรอ” ชางเริ่มหมดความอดทนอดกลั้น ซูลี่รั้งแขนเฉิงไว้แรงกว่าเดิม เพราะเธอรู้สึกได้ว่าร่างกายของสามีเธอสั่นไหวด้วยความโกรธเป็นอย่างมาก

“อั๊วไม่สน อั๊วประกาศไปแล้ว คำพูดอั๊วคำไหนคำนั้น ลื้อเป็นลูกมีหน้าที่ทำตามคำสั่งเข้าใจไหม” เสียงเกรี้ยวกราด คำรามก่นด่าดังไปทั่วเรือน จนจางหย่งและถิงถิงได้ยินรีบวิ่งมาที่เรือนใหญ่ เฉิงคว้าดาบดำดอกโบตั๋นที่อยู่บนแท่นวางเบื้องหน้าแท่นเคารพบรรพบุรุษ ดาบถูกเลื่อนออกจากฝักด้วยความฉุนเฉียว ตวัดง้างขึ้นชี้ตรงไปที่หน้าผากของชาง ทุกคนผวากันไปหมดยกเว้นชาง เขากลับขยับเข้าใกล้ปลายดาบที่แหลมคม มือของเฉิงสั่นเบาๆ หน้าผากของเขามีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย

“เฮีย พอเถอะ อั๊วขอร้อง” ซูลี่แทบจะกรีดร้องเมื่อเห็นเฉิงชักดาบออกมาชี้หน้าชาง ชุนรีบเข้าประคองม๊า

“ป๊า อย่าทำอะไรเฮียนะ” ชุนขอร้องอีกคน แต่ทว่าแววตาชางกลับไม่มีความรู้สึกหวาดกลัว อาฆาตแค้น หรือเศร้าเสียใจแฝงอยู่เลยแม้แต่น้อย เป็นแววตามุ่งมั่นของชายหนุ่มที่เฉิงไม่เคยเห็นมาก่อน แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกประหม่ากับลูกชายคนโตคนนี้ ยามได้เห็นสายตาครั้งนี้ของเขา

แรงกดของดาบยังคงอยู่ เป็นแรงผลักตัวเองเข้าไปฝ่ายเดียวของชางเสียมากกว่าเพราะว่าเฉิงแทบจะต้องสืบเท้าถอยหลังเมื่อเจอแรงของชางดันเข้าหาดาบ เลือดไหลเป็นทางจากหน้าผากลงมายังคางหยดลงพื้นกระจายเป็นวงกว้าง ทว่าชางกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บแผลที่หน้าผากของเขาเลยแม้แต่น้อย เขากลับปวดใจและทรมานใจมากกว่าแผลนี้เป็นร้อยเท่าพันทวี เฉิงถอนดาบออกจากหน้าผากของชาง ปาดาบและฝักดาบลงที่พื้นเบื้องหน้า ชางมองดาบที่เปื้อนเลือดของเขาที่อยู่ที่พื้น

“เถ้าแก่!” จางหย่งรีบเข้ามาห้าม ถิงถิงเห็นดาบที่ปักอยู่ที่หน้าผากของชางก็ตกใจ

“พวกลื้อไม่เกี่ยว ไม่ต้องมายุ่ง” เฉิงไม่สนใจเสียงคนรอบข้าง “ดาบนี้เป็นมรดกของตระกูลฟู่ อั๊วตั้งใจให้ลื้อสืบทอดมันต่อไป” ความเด็ดขาดเข้มข้นอยู่ในน้ำเสียง “และลื้อจะต้องแต่งงานพร้อมกับขึ้นเป็นผู้นำตระกูลฟู่ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ หน้าที่ลูกผู้ชาย ลื้อมีหน้าที่รักษาตระกูลฟู่ของเรา จำเอาไว้”

เฉิงปาดาบลงพื้นเสียงดัง น้ำตาลูกผู้ชายไม่มากพอให้ใครเห็น ทว่าจางหย่งสังเกตได้ ซูลี่ ถิงถิงกับชุนรีบเข้ามาดูชาง ทั้ง 3 ประคองชางให้นั่งลงพร้อมกับตะโกนเรียกเด็กในบ้านให้รีบเอาหยูกยามารักษาแผล ทุกคนต่างกำลังเป็นห่วงชางโดยไม่มีใครสักเกตเห็นว่าเลือดของชางบนพื้นหายไป ซิงอีกำลังเข้ามาเช็ดเลือดบนพื้น ทว่าเลือดนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“เช็ดเสร็จแล้วก็ไปดูเถ้าแก่ให้หน่อยนะซิงอี”

“ครับอาซ้อ” ซิงอีรับปาก เด็กชายวัย 15 ปีที่รักเฉิงเหมือนพ่อแท้ๆ รีบกุลีกุจอออกไป ซิงอีเป็นเด็กชายชาวไทยที่มีพัฒนาการช้าไม่เหมือนคนอื่น แต่ทว่าเขากลับซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา และจริงใจ ทำให้เฉิงทั้งสงสารและเอ็นดู

เฉิงกลับเข้าห้องตนเอง ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ทำงานข้างโต๊ะขนาดใหญ่ มือของเขาสั่นเทา อารมณ์โกรธพุ่งพล่าน เลือดของเขารุ่มร้อนไปทั้งร่างกาย หน้าที่รับผิดชอบใหญ่หลวงต่อตระกูลฟู่ไม่อาจลดทอนหรือผ่อนปรนให้กับความรักที่มีต่อลูกได้ ทว่าในใจของเขาในฐานะพ่อกลับรู้สึกผิดที่บังคับลูก ไม่ฟัง และไม่มีเหตุผลกับลูกของเขา ซิงอีเข้ามาในห้องมานั่งแทบเท้าเฉิง ซิงอีเป็นคนเดียวที่ได้เห็นความรู้สึกลึกๆ ของเฉิง และเขาก็มักจะมีคำพูดดีๆ ที่แทงใจดำให้เฉิงฉุกคิด มือของเฉิงลูบหัวซิงอีเบาๆ

“ทำไมเถ้าแก่ไม่ทำแบบนี้กับเฮียทั้งสองคนครับ” คำถามซื่อๆ ง่ายๆ แต่เฉิงกลับไม่รู้จะตอบยังไง “ซิงอีว่า เฮียๆ เขาก็อยากให้เถ้าแก่แสดงความรักกับพวกเฮียนะครับ”

“แบบนี้น่ะเหรอแสดงความรัก ลูบหัวลื้อเนี่ยนะ” เฉิงขำเบาๆ

“สัมผัสจากพ่อมีค่ากับลูกนะครับเถ้าแก่”

“ลื้อนี่ถ้าจะพูดมากไปแล้ว จะไปไหนก็ไป ซ้อส่งมาดูใช่ไหม ไปๆ อั๊วไม่เป็นอะไร จะไปไหนก็ไป”

 

ผ้าพันแผลถูกโพกไว้ที่หน้าผากของชางเรียบร้อย มีรอยเลือดซึมออกมาเล็กน้อย ชางเดินมาก้มเก็บดาบดำดอกโบตั๋นเข้าฝัก โดยไม่ได้สังเกตว่าเลือดของเขาไม่ได้ติดอยู่ที่ดาบเลยแม้แต่น้อย

“เฮียไปนอนก่อนนะ ขอบคุณนะครับม้า”

“ทะเลาะอะไรกันใหญ่โต อาลี่” จางหย่งรีบถามซูลี่ด้วยความเป็นห่วง แววตาของซูลี่ไม่ค่อยสู้ดีนัก มีคำตอบเป็นเชิงขอร้องว่าไม่อยากพูดเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าลูกๆ ชุนเห็นหน้าม้าของตนก็พอเข้าใจ

“น้องหมวย เราไปเดินข้างนอกกันดีกว่า” ถิงถิงไม่อยากไป อยากจะฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทว่าชุนลุกแล้วจูงแขนออกไปทันที

“อาชางไม่อยากแต่งงานกับอาถิงน่ะ เฮียจาง เฮียเลยไม่พอใจยกใหญ่” ซูลี่พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ก็พวกเขาไม่ได้รักกัน” จางหย่งตอบ ซูลี่มองหน้าจางหย่งด้วยความสงสัย

“อั๊วเป็นป๊า ลูกสาวอั๊วรักใครทำไมอั๊วจะดูไม่ออก อั๊วว่าอาลี่ก็รู้ใช่ไหมว่า อาถิงรักใคร” ซูลี่พยักหน้าหลังจากคำถามของจางหย่ง

“แววตาของอาชุนแสดงออกชัดเจนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งชัดเจน” ซูลี่ยอมรับ

“แต่มีคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยสังเกต” จางหย่งถอนหายใจ

“เราจะทำยังไงกันดี เฮียจาง อั๊วไม่อยากให้ลูกๆ มีชะตากรรมเดียวกับอั๊วเลย” จางหย่งแตะมือซูลี่เบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ เขาเข้าใจดีว่าซูลี่ต้องประสบพบเจอกับอะไรในชีวิตมาบ้าง

 

ริมสระบัวขนาดใหญ่ แสงจันทร์ในค่ำคืนนี้ไม่สว่างสดใสเท่าไรนัก เช่นเดียวกับอารมณ์และบรรยากาศภายในเรือนตระกูลฟู่ ชุนเดินถอนหายใจอยู่ไม่ไกลจากสระ ข้างกายเขาคือหญิงสาวที่เขารักมาตลอด และเป็นคู่หมั้นของพี่ชายตนเองไปเมื่อเช้านี้

“เป็นอะไรไปเฮียชุน” ถิงถิงสัมผัสได้ถึงความเครียด

คำพูดของเธอทำให้ชุนหยุดเดิน เขาหันกลับมามองหน้าหญิงสาวคนที่เขารักหมดหัวใจ แววตาของชุนมีน้ำหล่อเลี้ยงน้อยๆ รอยยิ้มบนใบหน้าที่เคยมีให้ถิงถิงมาตลอดบัดนี้จางลงเหลือเพียงหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน นิ้วเรียวๆ ของเธอจรดไปที่หว่างคิ้วของชายหนุ่ม ทำหน้าที่ค่อยๆ นวดหว่างคิ้วนั้นให้คลายลง ชุนมองใบหน้าของถิงถิงอยู่เนิ่นนาน ปล่อยให้นิ้วเรียวๆ และกลิ่นหอมอ่อนที่ข้อมือวนเวียนอยู่ใกล้ลมหายใจของเขาตราบเท่าที่จะนานได้ ถิงถิงเริ่มรู้สึกตัวว่าทำเกินงามไป เธอหยุดมือที่กำลังนวดพลันสายตาทั้ง 2 สบกัน ความหมายจากแววตาของชุนแสดงออกอย่างชัดเจนกับความรู้สึกที่มีให้เธอ เขาและเธอสบตากันเนิ่นนาน มือหนาของชุนจับมือน้อยๆ ของเธอเอาไว้อย่างอ่อนโยน

“เฮียไม่อยากปล่อยมือนี้ไปเลย” ชุนกุมมือถิงถิงเอาไว้ที่หัวใจของเขา ถิงถิงไม่ได้มีท่าทีรังเกียจหรือดื้อดึง เธอเองก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากมือหนานั้น ชุนค่อยๆ เลื่อนมือน้อยๆ ขึ้นมาแนบแก้มของเขาอย่างโหยหา แสงจันทร์ยามนี้คล้ายเป็นใจไม่ให้ใครเห็น แสงดาวริบหรี่คล้ายจะคอยบดบังความรู้สึกที่แท้จริงของทั้งคู่ต่อสายตาคนอื่น แต่ทว่าไม่อาจบดบังความรู้สึกของชุนได้อีกต่อไป เขาบรรจงจูบลงบนหลังมือของเธออย่างแผ่วเบาและเนิ่นนาน หน้าของถิงถิงแดงระรื่น ในใจของชุนแทบอยากจะดึงเธอเข้ามากอด

“เฮียขอโทษ” ชุนผละออกจากมือน้อยนั้น ความรู้สึกผิดและความรักถาโถมเข้าหาเขาอย่างหาคำตอบไม่ได้ “ดึกแล้วน้องหมวยกลับเรือนเถอะเฮียขอโทษนะ” ชุนหันหลังจะเดินกลับ

ทว่าเท้าของเขาต้องหยุดชะงักไป เมื่อแผ่นหลังของเขาถูกร่างบางปะทะสวมกอดอยู่ มือน้อยเมื่อสักครู่โอบกอดรอบอกของเขาอย่างจัง ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความร้อนรุ่มของร่างบางที่กอดเขาอยู่อย่างแนบชิด ชุนค่อยๆ คลายอ้อมกอดของเธอเพื่อให้เขาหันกลับมามองใบหน้าเจ้าของความรักที่เขามีให้

“หมวยไม่ได้รักพี่ชาง” เสียงของถิงถิงสั่นระรัวคล้ายคนกำลังจะร้องไห้ ชุนยื่นมือเข้าไปเช็ดน้ำตาจากพวงแก้มน้อยๆ นั้น

“คนที่หมวยรัก” ถิงถิงกล้าๆ กลัวๆ ที่จะพูดออกมา “คนที่หมวยรัก” ถิงถิงพยายามจะพูด แต่คำนั้นกลับไม่หลุดออกมาเสียที ชุนรู้ตัวทันทีว่าเขาไม่ได้รักถิงถิงเพียงข้างเดียว แต่ทว่าเธอมีใจและความรู้สึกเช่นเดียวกับเขา ชุนไม่รอคำพูดจากปากของเธอ ริมฝีปากของเขาประกบลงบนริมฝีปากที่สั่นระรัวของเธอ ชุนชะงักถอนตัวออกมาเล็กน้อยเพราะกลัวเจ้าของริมฝีปากนั้นจะไม่ยินยอม ทว่าถิงถิงประกบริมฝีปากของเธอกลับไปที่ชุนอย่างโหยหา ทั้งสองสื่อสารความรู้สึกต่อกันอย่างเร้าร้อน ผลัดกันอยู่เนิ่นนานคล้ายไม่ละจากรสสัมผัสนี้

 

 



Don`t copy text!