
หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 21 : สมิง
โดย : กันต์พิชญ์
หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา
‘รุ้งพราย’ คือชื่อเผ่าของศศินที่ผู้คนเกลียดเข้าไส้
แม้แต่เดิมคำนี้หมายถึงสีรุ้งที่สะท้อนแสงระยิบระยับยามเมื่อเพชรต้องแสง ชาวศกุนตะกลับไพล่โยงกับคำว่าพวกวิปริตตาบอดอยู่ร่ำไป
‘นัยน์ตาของศินบ่ได้บอดเสียหน่อย พ่อกับแม่ก็เหมือนกัน เอ็งว่าไหมไอ้ด่าง’ เด็กชายวัยเก้าขวบนั่งเอ่ยกับสุนัขจิ้งจอกขนสีน้ำตาลปนเทา
คำพูดนั้นถูกต้องอยู่กึ่งหนึ่ง ด้วยชาวรุ้งพรายทุกคนมีสีตาและการมองเห็น ‘ผิดปกติ’ ตามมุมมองของคนต่างเผ่า แต่ความจริงแล้วเวลาข้างแรมสีตาและการมองเห็นของชาวรุ้งพรายก็ไม่ได้แตกต่างจากชนเผ่าอื่น เพียงแต่เมื่อเข้าช่วงข้างขึ้น สีตาชาวรุ้งพรายจะสะท้อนแสงหริณจันทร์ จันทราสีขมิ้นอมแดง เปล่งประกายวูบวาบดุจตาเสือสมิงกระทบความสว่างจากกองกูณฑ์ ช่วงเวลานี้เองที่สายตาของชาวรุ้งพรายจะมืดมิด เห็นเพียงเฉดเรืองเรื่อขึ้นอยู่กับความร้อนที่แผ่ออกมารอบกายของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น
ศศินถอนใจ เอื้อมมือไปลูบลำตัวของไอ้ด่างซึ่งปกคลุมด้วยลวดลายกระดำกระด่างเปื้อนเปรอะทั่วทั้งตัว แม้หน้าตาไอ้ด่างจะกระเดียดไปทางหมาในที่พบได้ทั่วไปตามทิวเขาไม้คานอยู่บ้าง ทว่าสีขนของมันไม่ใช่สีแดงสนิมอย่างหมาใน
วันแรกที่ศศินรู้จักกับสุนัขตัวนี้ มันยืนจ้องเขาอยู่หน้ากระท่อม ปากคาบกระต่ายป่าประหนึ่งจงใจนำส่วยบรรณาการเพื่อเจริญไมตรีกับเขา
เมื่อเด็กชายทำความสะอาดกระต่ายป่าเรียบร้อย ก็ยกเครื่องในให้มันกิน มิตรภาพระหว่างคนกับสัตว์จึงงอกงามนับแต่นั้น
‘ยังคิดมากเรื่องคำพูดชาวศกุนตะอยู่อีกฤๅ’
เสียงฝีเท้าของผู้ถามหยุดอยู่หน้าคอกเก็บฟืน ดึงความสนใจของเด็กชายให้หลุดจากห้วงความคิด ทว่าศศินกลับขดตัวแน่นขึ้นใต้ฟางและไม่เอ่ยตอบ เสียงย่ำเท้าจึงใกล้เข้ามา
‘พ่อเข้าไปได้ไหม’
ศศินจึงลุกไปยกดาลไม้ขึ้น บิดามาเพียงคนเดียว ดูเศร้ามากกว่าโกรธ นั่นยิ่งทำให้เด็กชายรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่
กระสังปิดประตู เขาเป็นชายตัวใหญ่ สูง และไหล่กว้าง ผมสีดำขลับเหมือนดินใกล้ภูเขาไฟโบราณ ทว่าสิ่งที่เตะตามากที่สุดคือดวงตา รูม่านตาของเขาขยายกว้างเพราะคอกเก็บฟืนนั้นมืดมิด บางจังหวะที่เขาเอียงหน้าต้องแสงภายนอก จะเห็นแก้วตาคล้ายเคลือบสีรุ้งอยู่บางๆ
‘รุ้งพรายเป็นชื่อวรรณะใช่บ่’
‘นี่ลูกไปจำคำของยายเฒ่าลงผีมาอีกแล้ว?’ กระสังยิ้ม พาดพิงถึงหญิงชราผู้หยั่งรู้ผู้ที่นานครั้งจะขึ้นเขากลับเข้าเผ่ารุ้งพรายสักที
นับแต่นางเดือนหัวหน้าเผ่ารุ้งพรายก่อกบฏไม่สำเร็จเมื่อสิบกว่าปีก่อน ยายเฒ่าลงผีก็แฝงตัวอยู่ในเรือนนางบานเมือง ลูกสาวประโคนผู้รั้งตำแหน่งนายจำกอบแสนโฉดชั่ว
‘ยายเฒ่าเล่าให้ศินฟังว่าชาวรุ้งพรายล้วนเป็นผู้กล้า เป็นพราน และบ่อยครั้งก็เป็นมือสังหาร’
กระสังยักไหล่ ก้มลงไปนั่งบนม้วนฟางเก่าเก็บม้วนหนึ่ง
‘ชาวรุ้งพรายบ่เคยมีวรรณะ เพราะสถานะของลูกขึ้นอยู่กับว่าลูกเป็นผู้ใด บ่ใช่สิ่งที่สืบทอดในครัวเรือน ลูกเป็นรุ้งพรายตั้งแต่เกิด เป็นรุ้งพรายแม้บ่ได้รับการฝึก จะมีนิคมฤๅไม่ลูกก็ยังเป็นรุ้งพรายอยู่วันยังค่ำ’
‘แต่ศินเสียใจ เหตุใดผู้อื่นต้องยัดเยียดให้ ทั้งที่เราบ่ต้องการสิ่งนั้นเลย’ เด็กชายเงียบไปพักหนึ่งแล้วถาม ‘มันกงการอะไรของผู้อื่น ทำไมพวกมันต้องคอยกำหนดชะตากรรมของเราด้วย เราตัดสินใจเองบ่ได้ฤๅ’
‘เราจะรู้จักแสงสว่างได้อย่างไร หากเราบ่รู้โฉมหน้าของความมืด’ กระสังเอ่ยเป็นปริศนา
ศศินไม่ขยับ ส่วนชายวัยยี่สิบเก้าก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม ใจเย็นดุจหินใต้บึงลึก ยื่นมือให้แต่ไม่ฉุดดึง ปล่อยให้ลมหายใจเข้าออกราวสิบครั้ง
‘ลูกคือแก้วที่หลอมในภูเขาไฟ ศศิน’ ประโคนเอ่ยเสียงเบา ‘แม้ลูกจะเป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ แต่ผู้อื่นก็ชิงชังธรรมชาติของเราอยู่ดี จงอย่าลืม เพราะของกำนัลที่พระแม่ธรณีมอบให้เรานั้นบ่มีวันให้เปล่าปลี้’
บิดาจ้องบุตรชายอย่างสังเกตสังกา ทว่าไม่หยุดยิ้ม
‘บ่ใช่ความผิดของลูก’ กระสังเสริม ‘คำส่วนใหญ่ที่เด็กพวกนั้นพูดเกี่ยวกับรุ้งพรายบ่ใช่เรื่องจริง ลูกบ่ได้ทำสิ่งใดถึงเกิดมาเป็นแบบนี้ พ่อกับแม่ก็บ่ได้ทำสิ่งใด ฉะนั้นอย่าโกรธฤๅโทษตัวเอง’
‘ทุกเฉดแสงที่กระทบเหลี่ยมเพชรย่อมมีคุณค่าและความงามทัดเทียมกัน’ ศศินงึมงำ
‘ลูกจำคำพูดของเผ่าเราได้แล้ว?’ ประโคนลูบท้ายทอยลูกชายอย่างทะนุกถนอม ‘ฉะนั้นอย่าเอาความเกลียดชังของเผ่าอื่นมาแบกไว้บนหลังเด็ดขาด’
หยาดน้ำใสเริ่มถั่งถั่นตรงหางตาของศศิน
บิดาพูดถูก ถูกทุกเรื่อง ทุกอย่างที่ประโคนเอ่ยเป็นเรื่องจริง เพราะเด็กชายเกลียดตัวเองที่เกิดมาเป็นเช่นนี้
‘โอ๋…’
ชายหนุ่มคุกเข่าลง แล้วจับมือเด็กน้อย ทำให้ศศินสะอื้นดังขึ้น กะพริบตามองบิดาผ่านม่านน้ำตา
‘อย่าร้อง เด็กน้อย เดี๋ยวแม่ของลูกผ่านมาเห็น ชาวรุ้งพรายบ่ควรร้องไห้ให้ผู้อื่นเห็น’ ประโคนดูเศร้าเมื่อพูดถึงเมียผู้รั้งหัวหน้าเผ่า จึงรีบกลบเกลื่อน ‘น้ำตาบ่เคยทำให้เราปลอดภัย’
เด็กชายไม่เข้าใจความนัยของบิดา
อย่างไรก็ดี ศศินพยายามข่มอาการสะอื้น ยกหลังมือขึ้นปาดคราบน้ำตาบนแก้ม
กระสังใช้หัวแม่มือปาดน้ำตาที่เหลือแถวปลายคางของศศิน จากนั้นพยักหน้าหลังตรวจดูอย่างรวดเร็ว ‘แม่เดือนคงดูออก แต่กับหนุ่มน้อยอินทร์น่าจะพอกลบเกลื่อนไปได้’
นี่ก็เป็นอีกปีหนึ่งที่ศศินต้องเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายเมื่อต้องเดินทางเข้าศกุนตะกับบิดาช่วงหน้าส่วย
“พ่อ!”
ศศินกู่คำรามอย่างเศร้าโศก ภาพในอดีตที่ยังติดตรึงในหัวใจผุดขึ้นเป็นฉาก เด็กหนุ่มยอมปล่อยมือจากอินทรธนูที่ยังไม่ได้สติมากอดร่างไร้ลมหายใจเอาไว้แน่น เค้าหน้าของบิดาและบุตรต่างละม้ายคล้ายคลึง แต่น่าเสียดาย…
หนึ่งในสองไม่อาจลืมตาขึ้นมาปลอบโยนเขาได้อีกแล้วชั่วนิรันดร์
“ศิน…”
สุ้มเสียงของอินทรธนูฟังดูเบาหวิว ขณะเอื้อมมืออันสั่นเทาขึ้นเช็ดหยาดน้ำตาที่อาบแก้มศศิน เด็กหนุ่มก็รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดในลำคอทุกครั้งที่กระอักกระไอ แต่ได้ลูกกลอนใบบัวบกผสมถั่วดำป่นที่เริ่มออกฤทธิ์ สีหน้าผู้ถูกเฆี่ยนตีมาอย่างหนักหน่วงจึงดีขึ้นมาก
“อีกมินานระแทะจักถึงราวป่า”
ปูรณิมทอดถอนใจ หยดน้ำใสเม็ดเขื่องคลอหน่วยขณะสะกิดเส้นหวายฟั่นเกลียวลงบั้นท้ายวัวฝีเท้าดีเบาๆ เพียงเท่านั้นพวกมันก็โผนเผ่นเร็วรี่
“เกิดอะไรขึ้น” นางเดือนปรี่เข้ามาถามทันทีที่ระแทะจอด
เมื่อไม่มีใครกล้าปริปาก อารักษ์นายหนึ่งที่ยังรอดชีวิตจึงบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดแต่ละช่วงอย่างละเอียด จากนั้นก้มหน้านิ่งไปอีกคน เหลือเพียงเสียงสะอื้นผะแผ่วของศศิน
“ใช่ฝีมือของไอ้หาญจริงฤๅ”
ริมฝีปากของสตรีหัวหน้าเผ่ารุ้งพรายสั่นระริกอย่างกำสรด
มหาเสนาปติเพิ่งรั้งตำแหน่งได้ไม่ถึงปีกลับเผยให้เห็นความเหี้ยมโหดอำมหิต เจ้าเล่ห์เพทุบาย แม้โปญผู้ครองศกุนตะจะยังไม่สิ้น แต่มันสามารถยึดอำนาจเหนือสรุกได้เบ็ดเสร็จ ก่อตั้งหน่วยซึ่งถูกฝึกมาเป็นพิเศษนามว่า ‘สมิง’
บัดนี้โปญคนก่อนสิ้นใจด้วยวัยชรา ส่วนโปญคนปัจจุบันที่ขึ้นแทนก็ยังเยาว์นัก อยู่ในวัยไม่ประสีประสา ไอ้หาญจึงได้ใจ ก่อการอุกอาจทั้งที่เป็นวันส่งส่วยสาบรรณาการ
ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่อาจคาดเดาได้ว่านับแต่นี้จะบังเกิดเรื่องร้ายแรงอันใดขึ้นอีกบ้าง
จริงอยู่ผู้อยู่เบื้องหลังแผนป้ายสีโยนข้อหาให้รุ้งพรายเป็นผู้รับเคราะห์กรรมอาจเป็นมหาเสนาปติ ทว่าถ้ามันลงมือทั้งหมดตามลำพัง ไม่มีชาวสรุกคนใดคอยช่วยเหลือ มีหรือมหาเสนาปติจะโหมกระพือความเกลียดชังได้มากมายถึงเพียงนี้
เห็นได้ชัดว่าศกุนตะส่วนใหญ่เกลียดและกลัวรุ้งพราย ไม่เคยเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผลักให้ชนเผ่านี้ให้ไปอยู่ขอบชายแดน โดยอ้างว่า ‘ธรรมชาติ’ ของมนุษย์คือการออกเรือนและสืบพันธุ์ ทั้งที่หลายครอบครัวก็ไม่ได้ออกเรือนเพื่อการนั้น
“โขลญหน่วยสมิงอ้างว่ารุ้งพรายเป็นคนดักปล้นกระบวนสินค้า อาวุธ นั่นคือสัญญาณของการก่อกบฏซ้ำ” ปูรณิมอธิบาย ก่อนขบริมฝีปากราวกับต้องการจะปกปิดความรู้สึก “หากมิได้แม่เมือง ป่านนี้พวกท่านคงถูกมหาเสนาปติกระทำทารุณอยู่เป็นแน่
“แม่เมือง? คงบ่ใช่บานเมืองกระมัง…”
ประกายตาเบื้องหลังม่านน้ำใสหม่นแสงลงเล็กน้อย หญิงวัยสามสิบนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ด้วยเสี้ยวความคิดของเดือนไพล่นึกไปถึงสตรีผู้เป็นดวงใจของตน ฉับพลันนัยน์ตาเดือนก็ทอประกายแผดร้อนรุนแรงยิ่งเมื่อไพล่นึกไปถึงไอ้ประโคน บิดาของบานเมือง ดุจความเคียดแค้นชิงชังต้องการผุดพลุ่งเผาผลาญชายผู้รั้งตำแหน่งนายจำกอบให้ขาดใจตายช้าๆ
ปูรณิมพยักหน้า “แม่บานเมือง…คือแม่แท้ๆ ของข้าเอง”
“เตคือลูกชายของบานเมือง?”
ใบหน้าของเดือนซีดเผือด ริมฝีปากไม่มีเลือดฝาดอีกต่อไป
หญิงหัวหน้าเผ่าแหงนหน้าขึ้นมองเบื้องบน ยามเมื่อดวงอาทิตย์ใกล้ย่ำรุ่งมักมีลมพัดแรง ดารกะประจำเมืองขนาดกระจิริดแขวนอยู่บนผืนฟ้าเหนือกระท่อมหลังคามุงจากของเผ่ารุ้งพราย
โชคชะตาช่างเล่นตลกกับนางเหลือเกิน
เหตุใดยายเฒ่าลงผีมิเคยส่งข่าวว่าบานเมืองตั้งครรภ์ให้เธอได้รับรู้
ภาพเหตุการณ์ก่อนขบถเหมืองเมื่อสิบห้าปีผุดพร่างวูบไหวในห้วงความคิดอย่างเชื่องช้า
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 24 : ข้าวจี่
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 23 : มล้าง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 22 : สุดสวาสดิ์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 21 : สมิง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 20 : พาโลโสเก
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 19 : ส่วย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 18 : ภูเตศวร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 17 : ศาลิครามศิลา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 16 : โหมกูณฑ์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 15 : ความหวัง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 14 : เชื้อไข้
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 13 : รุ้งพราย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 12 : พรานโจร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 11 : หอสังคีต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 10 : ผลึกเศษะ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 9 : จตุรงค์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 8 : ป้อมแดง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 7 : เฒ่าเกิบ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 6 : จันทบเพชร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 5 : ประลัย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 4 : ข้างนอก
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 3 : คู่ชีพิต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 2 : สาลิกา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 1 : อาตมัน
- READ หริณจันทร์กังสดาล : อาทิบรรพ