หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 22 : สุดสวาสดิ์

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 22 : สุดสวาสดิ์

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

เด็กสาววัยแรกแย้มพยายามไม่เงยหน้ามองอีกฝ่าย เธอเพียงยื่นมือป้ายเกล็ดการบูรที่ตำผสมใบรางจืดลงบนริ้วฟกช้ำบนท่อนแขนของเดือนอันเกิดจากการถูกเฆี่ยนเมื่อเช้า ชั่วกษณะนั้นบานเมืองเหลือบไปเห็นรอยแส้เมื่อนานมาแล้วบนแผ่นหลัง สีเริ่มจางไปแล้วไม่น้อย บานเมืองเผลอขบริมฝีปาก หยาดน้ำใสคลอนัยน์ตา หัวใจปวดปร่าอย่างยากจะข่มกลั้น สิ่งที่บานเมืองพอจะทำได้ในยามนี้คือพยายามเบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้

‘เร็ว!’ ผู้คุมเหมืองแค่นเสียงลอดไรฟัน

บานเมืองกำลังใช้เวลากับเด็กสาวเผ่ารุ้งพรายรายนี้มากผิดปกติ การเฆี่ยนตีบุรุษนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ทว่าการสร้างรอยมลทินบนเรือนร่างเด็กสาวที่ไม่ใช่ข้าทาสนั้น เป็นสิ่งน่าหวาดกลัวเหลือประมาณ

บานเมืองปรายตามองผู้คุมเหมือง มันกำลังก้าวอาดๆ ไล่มาตามแถวสตรีเผ่ารุ้งพรายซึ่งถูกเกณฑ์มาใช้แรงงานร่อนแร่ ทั้งที่บานเมืองพยายามจับแขนเดือนอย่างทะนุถนอม แต่ผู้คุมกลับคว้าแขนเธอบิดไปมาเพื่อตรวจดูรอยฟกช้ำโดยไม่เบามือแม้แต่น้อย

เด็กสาวจ้องแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเดือน พลางบีบมืออีกฝ่ายแผ่วเบาเพื่อห้ามไม่ให้เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเธอทำอะไรห้าวหาญมุทะลุ

‘ก็ไม่เห็นเป็นอันใดมากมาย มัวแต่ตะบิดตะบอยไม่เข้าเรื่อง’

ผู้คุมพ่นลมขึ้นจมูก หลังจากนั้นครู่หนึ่งผู้คุมก็ปล่อยมือจากเดือนแล้วเดินต่อ

‘ดีแล้วละ’ บานเมืองกระซิบ ก่อนป้ายยาแก้ฟกช้ำสูตรเย็นที่เธอตำเองกับมือลงไปบนรอยตราแห่งความทุกข์ทรมานซึ่งผู้ถูกกระทำไม่มีวันลบลืมให้หมดสิ้น

เมื่อเสร็จเรียบร้อย บานเมืองยังคงจับมือเดือนค้างไว้อีกครู่หนึ่งทั้งที่ไม่มีความจำเป็น เด็กสาวเงยหน้าจ้องนัยน์ตาของเดือนอีกครั้ง จากนั้นคลี่ยิ้มด้วยความสิเนหาอย่างยากที่บุรุษทั่วไปจะสังเกตเห็น

เดือนระบายริมฝีปากอันแตกระแหงของตนในแบบเดียวกับบานเมืองตอบ เป็นรอยยิ้มที่ดูโปร่งใสยิ่งกว่า ดวงตาไร้แววร่ายระริก แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้หัวใจของบานเมืองคล้ายจะหยุดเต้นอยู่รำมะร่อ ไม่กี่อึดใจถัดมาใจเจ้ากรรมกลับกระแทกกระทั้นราวกับกำลังจะระเบิดออกจากอก จนเด็กสาวต้องก้มหน้ามองพื้นงุด

‘นั่งไหม เธอดูไม่ค่อยสบายสักเท่าไร’ บานเมืองงึมงำ

เดือนยืนหลับตา ปล่อยให้พระอาทิตย์อาบแสงอุ่นให้ผิวกาย ราวกับเด็กสาวต้องการให้องค์สูรยะเสริมสร้างกำลังใจและความมุ่งมั่นที่จะมีลมหายใจต่อไปได้กระนั้น

‘เจอหน้ากันตั้งหลายวัน แต่มิเคยมีโอกาสให้พูดคุยกันเลย’ บานเมืองชวนคุย

เด็กสาวอาสาทำหน้าที่อายุรเวทและภิษัช หลังมีข่าวว่าเผ่ารุ้งพรายที่อาศัยอยู่ตามตะเข็บชายแดนถูกกวาดต้อนไม่ต่างกับปศุสัตว์มาทำงานเหมืองให้พวกตน

จริงอยู่ที่บานเมืองจะพอรู้วิธีรักษาอาการป่วยไข้ด้วยสมุนไพรอยู่บ้าง แต่ผู้หญิงอย่างนางก็ไม่มีสิทธิ์เรียนรู้เวทมนตร์จากเหล่าพราหมณาจารย์ อันเป็นวิชาของเผ่าศกุนตะถือกันว่าเป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์และเป็นส่วนหนึ่งของอถรรพเวท

‘เดือน’ เด็กสาวเผ่ารุ้งพรายพูดเสียงห้วน

‘ฉันชื่อบานเมือง’

‘เตเป็นภิษัชฤๅ’ เดือนหมายถึงผู้รักษาโรค เอ่ยคำที่ใช้แทนตัวคู่สนทนาด้วยสำเนียงแบบชนเผ่า

‘พ่อฉันเป็นนายจำกอบ ถนัดจัดเก็บภาษี’ บานเมืองส่ายหน้า เพราะไม่อยากพูดถึงเนื้องานของพวกขุนนาง

‘แล้วเหตุใด…’

‘ฉันเคยช่วยยายประคบร้อนประคบเย็นบ่อยๆ น่ะ เลยขันอาสามาที่นี่เองนั่นละ’

บานเมืองจะบอกได้อย่างไรว่าถูกบิดาจิกหัว ใช้ให้แอบยักยอกผลึกอัญมณีที่ชาวเหมืองขุดร่อนได้

‘เรือนของฉันก็อยู่มิไกล อีกอย่างคนอื่นเขามิกล้าสุงสิงกับชาวรุ้งพรายสักเท่าไรหรอก’ บานเมืองถึงกับหน้าม้าน ด้วยนางเผลอปากปล่อยพูดสิ่งไม่สมควร จึงเสเปลี่ยนเรื่อง ‘พอได้ออกจากที่นี่แล้ว เธอจะได้กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมไหม’

‘โชคบ่เคยเข้าข้างพวกลักเพศรุ้งพราย’

‘แต่ฉันอยากรู้จัก เอ้อ…แล้วก็อยากใช้ชีวิตเป็นเหมือนชาวรุ้งพรายนะ’ บานเมืองจ้องตาอีกฝ่าย บอกเหตุผลที่แท้จริงที่ตนมาที่นี่ ‘เพราะพวกเธอมีอิสระ มีเสรี ไม่มีหญิง ไม่มีชาย มีเพียงมนุษย์แลมนุษย์เท่านั้น’

‘เตบ่กลัวติดไข้ลักเพศจากอัญฤๅ’ เดือนชี้นิ้วเข้าที่อกของตัวเอง ใช้คำแทนตนว่าอัญ

บานเมืองยกหลังมือแตะหน้าผากเด็กสาว แม้จะรู้สึกได้ถึงความอุ่น แต่นั่นก็เป็นผลพวงมาจากแสงแดดเหนือศีรษะ ไม่ใช่อาการป่วยจากไข้ลักเพศ

‘การที่เธอมีความรักกับบุรุษ สตรี หรือผู้ใดจากเผ่าไหนก็ตาม ฉันก็ยังมิเห็นว่าเธอจักป่วยไข้เป็นอันใดสักหน่อย’ บานเมืองยิ้มอวดฟัน ‘ฉันว่าเธอมิได้พวกเป็นโรคที่รักษามิหายดังที่ใครต่อใครเขาว่ากันดอก มิอย่างนั้นฉันคงป่วยตายไปนานแล้ว’

มีเสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น เด็กสาวทั้งสองหันไปเห็นส่วนกำลังราบกลุ่มหนึ่งกำลังเดินยกหม้อสำริดขนาดใหญ่เข้ามาหลายใบ ลักษณะคล้ายกลองมโหระทึกหงายขึ้น พร้อมกับภาชนะดินเผาใบเล็กเต็มอ้อมแขน

‘คงเป็นมื้อกลางวันจากพวกโขลญ’ บานเมืองหมายถึงตำแหน่งของทหารส่วนกำลังราบ

‘ไอ้พวกสันหลังยาว ผู้ใดกินเสร็จแล้วก็รีบมาเข้าแถว! พวกมึงมีงานต้องทำอีกเยอะ!’ โขลญผู้หนึ่งตะคอก

บานเมืองแอบสอดข้าวจี่ไส้น้ำอ้อยใส่มือเดือน ‘เธออยู่ที่นี่มานานเท่าไรแล้ว’

‘สองเดือนกระมัง’

เดือนกัดก้อนข้าวเหนียวปิ้งในมือ แล้วเบือนหน้ามองพื้นที่ทำเหมืองแล่นกว้างใหญ่ภายในรั้วเถาวัลย์หนามแหลมที่รายรอบ การทำเหมืองประเภทนี้มักทำบนไหล่เขา ใช้แรงคนจำนวนมากขุดดินทรายลงรางกู้แร่

อาการหวาดหวั่นจู่โจมเดือนฉันพลันเมื่อเธอไพล่นึกภาพว่าเหมืองแห่งนี้กำลังจะกลายเป็นนรกานต์ขุมไหน เด็กสาวพยายามเค้นหาคำพูด ไม่อยากให้บานเมืองจับได้ถึงความท้อแท้ในน้ำเสียง เดือนตัดสินใจเบือหน้าหนีคู่สนทนา พยายามอย่างหนักที่จะข่มอารมณ์จากเบื้องลึก

วิถีของชาวรุ้งพรายคือความแปลกแยก ไม่อาจไว้ใจใครได้ เดือนจึงจำเป็นต้องเก็บงำเรื่องของตนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เด็กสาวต้องระวังตัว

‘เห็นผู้ชายกลุ่มนั้นไหม’ บานเมืองชี้ไปยังผู้คุมเหมือง เมื่อรอคำตอบอยู่นานแต่ไร้วี่แวว

‘ผู้คุมชาวศกุนตะ?’

บานเมืองพยักหน้า ‘มีทั้งฆาตกร นักข่มขืน เพราะแบบนี้พวกมันถึงทำหน้าที่ผู้คุมได้ดี เพศผู้ทุกตัวล้วนชั่วช้าอำมหิต’

‘ส่วนความผิดของอัญ…’ เดือนถอนใจ แลบลิ้นเลียริมฝีปากแตกระแหง ‘คือการที่อัญเกิดมาเป็นชาวรุ้งพราย’

ขณะที่บานเมืองกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เสียงเคาะกังสดาลเป็นสัญญาณให้กลับไปร่อนแร่ดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน

เดือนยันกายลุกขึ้น จู่ๆ ก็รู้สึกคลื่นไส้อาเจียน ก่อนทรุดฮวบลงไปกองอยู่กับพื้น เด็กสาวไม่รับรู้เลยว่าบานเมืองโผเข้ามาช่วยตนตั้งแต่เมื่อไร สติสัมปชัญญะได้ยินเพียงเสียงกังสดาลก้องกังวานค่อยๆ จางหาย

ภาพสุดท้ายที่เดือนเห็นคือผู้คุมหลายคนกำลังซวนเซเพราะน้ำหนักของศพชาวรุ้งพรายหลายรายที่มันต้องแบก เด็กสาวไม่อาจกล้ำกลืนความโศกเศร้าเอาไว้ได้อีก ชะตากรรมที่เผ่ารุ้งพรายต้องประสบไม่ต่างอันใดกับโทษทัณฑ์ในขุมนรก

และแล้วความรู้สึกตัวของเดือนก็เลือนหายพร้อมไฟอเวจีที่แผดเผาอยู่ในอก

 

เดือนรู้สึกตัวอีกครั้งในอีกสี่วันให้หลัง เห็นบานเมืองก้มมองหน้าเธออย่างอ่อนโยน เมื่อเด็กสาวใช้ศอกยันตัว เหลียวมองไปรอบกายด้วยอาการสับสน

บานเมืองเห็นอีกฝ่ายคล้ายจะล้มพับลงไปอีก ก็รีบช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นนั่ง

‘อัญอยู่ที่ใด’

‘ที่พักชั่วคราวของฉัน’

‘อ้อ…’ เดือนเอ่ยด้วยความระมัดระวังเช่นเคย

‘ออกไปสูดอากาศสดชื่นกันดีกว่า อาจช่วยให้อาการของเธอดีขึ้น’ บานเมืองชวน พร้อมกับเดินเข้าไปประคอง ระมัดระวังไม่ให้เด็กสาวเซล้ม

บานเมืองพาเดือนออกจากกระท่อม ผ่านลูกน้องของนายส่วยที่ยืนเฝ้าอยู่สองคน

ท้องฟ้ายามรุ่งอรุณไร้เมฆ เป็นวันใหม่ที่ชวารุ้งพรายควรได้พบแต่สิ่งดี เนื้อตัวเดือนกลับกำลังสั่นเทาเพราะจำได้ว่าผู้คุมขนอะไรออกไปเผาก่อนที่เสี้ยวสุดท้ายสติจะเลือนหาย

โลกของเดือนหมุนคว้าง แข้งขาไหวระรัวจนบานเมืองต้องพาเธอเดินไปนั่งที่กองไม้

‘อัญเป็นอะไรไปฤๅ’ เดือนแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผาก เอ่ยถามในที่สุด

‘ไข้สามฤดูกระมัง หากฉันมิได้อยู่ด้วยพวกมันคงแบกเธอไปเผาแล้ว’

‘หมายความว่า…’

‘ฉันขอร้องให้พวกโขลญปล่อยเธอเอง พวกมันรู้ว่าพ่อของฉันเป็นผู้ใด เลยไม่ใคร่เข้ามายุ่มย่ามธุระปะปังของฉันกันนักดอก’

‘อัญบ่รู้จะขอบคุณเตอย่างไรดี’

‘อย่าคิดมาก มิจำเป็นต้องตอบแทนอะไรฉันเลย’ บานเมืองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเด็กสาว จังหวะที่เธอคว้ามืออันหยาบกร้านมาเกาะกุม พลันเห็นสีรุ้งสะท้อนแสงเป็นชั้นบางใสอยู่บนกระจกตาของเดือน ‘ฉันยินดีที่จะช่วยนักสู้ แล้วก็รู้ว่าเธอแข็งแกร่งกว่าผู้ชายอกสามศอกพวกนั้นเสียอีก’

‘บางครั้งความแกร่งของรุ้งพรายก็เป็นจุดอ่อนได้เหมือนกัน เสน่ห์และรอยยิ้มของพวกอัญมักนำหายนะมาให้เสมอ เมื่อเผลอไปอยู่ในต่างที่ต่างถิ่น’

เด็กสาวทั้งสองนั่งตรองเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง

สิ่งที่อยู่ในมโนคติของเดือนคือ นอกเหนือไปจากชวารุ้งพรายแล้ว ทุกหนแห่ง ทุกผู้คน ล้วนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเกลียดชังเผ่ารุ้งพรายอย่างไร้เหตุผล

‘เดือน รู้ฤๅไม่ว่าเธอทำให้ฉันอยากรู้อยากเห็นเสมอเลย ไม่รู้เหตุดังไรฉันถึงได้รู้สึกถูกชะตากับเธอถึงเพียงนี้ เธอมีความแข็งแกร่งอยู่ในตัวที่ไม่ว่าสิ่งใดก็บดบังไม่มิด’

เดือนได้ยินทุกคำที่บานเมืองเอ่ย แต่เป็นธรรมดาอยู่เองที่ชนเผ่าเร่ร่อนอย่างเธอไม่อาจตีความภาษาอันยอกย้อนของชาวศกุนตะได้ว่าต้องการจะสื่ออะไร

เมื่อเห็นความสงสัยในแววตาของเดือน บานเมืองจึงยกมือเดือนขึ้นเชื่องช้ากระทั่งถึงระดับอก ราวกับต้องการให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่า ยามนี้หัวใจของบานเมืองกำลังบีบรัดความฝันที่ทำให้เธอยังคงยิ้มออกได้แนบแน่นเพียงใด แม้ต้องจมปลักอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยเงื้อมเงาของบุรุษก็ตามที

จริงอยู่ที่บานเมืองชอบเจอคนทุกประเภท ทว่าคนที่นางโปรดปรานที่สุดคือสตรี

เด็กสาวคิดว่าสตรีทุกคนนั้นงดงาม ไม่ว่าจะอายุเท่าไร รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร นุ่งโจงแบบไหน ช่วงที่ทำให้นางมีความสุขที่สุดของทุกวันคือการเดินผ่านตลาด บานเมืองมักก้อร่อก้อติกกับสาวน้อยสาวใหญ่ที่เดินทางมาจับจ่ายใช้สอย

บานเมืองขยับปลายจมูกเข้าไปใกล้อีกฝ่าย สบตาเดือนอีกครั้ง

‘นับแต่ที่เธอรู้จักฉันมา…’ บานเมืองเกริ่น ‘เธอว่าคนอย่างฉันพอจะใช้ชีวิตอย่างธรรมเนียมของชาวรุ้งพรายได้ไหม’

ในที่สุดเดือนก็คลี่ยิ้ม ทว่าเป็นรอยยิ้มที่แสนเจือจางและละล้าละลัง

‘ฉันคงตั้งคำถามที่ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่’ บานเมืองยิ้มเจื่อน

‘เตอยากให้อัญตอบว่ากระไรฤๅ’

บานเมืองครุ่นคิดอย่างหนัก พยายามค้นหาคำตอบที่เหมาะสม สุดท้ายนางตัดสินใจชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องที่ออกจะธรรมดา

‘เอาเป็นว่า…ถ้าหากเธอยังมิอยากตอบ ก็เล่าเรื่องของเธอเองให้ฉันฟังได้ฤๅไม่’

‘บ่มีสิ่งใดให้เล่าสักเท่าไรดอก’

บานเมืองแปลกใจกับคำตอบของเดือน ‘ต้องมีซี’

เดือนจ้องบานเมือง จากนั้นส่ายหน้า ‘ยามนี้อัญบ่มีสิ่งใดห่อหุ้มเนื้อตัวอีกต่อไปแล้ว’

‘แล้วเธอใช้ชีวิตแบบไหนกันตอนอาศัยอยู่แถวตีนเขา’

‘บ่มีอีกแล้วการใช้ชีวิตที่เตว่า อัญเหลือเพียงลมหายใจผะแผ่วภายในรั้วเถาวัลย์หนามแหลมแห่งนี้เท่านั้น’

เด็กสาวทั้งสองต่างเงียบไป บทสนทนาแปรเปลี่ยนเป็นความสงัดที่น่าอึดอัด

บานเมืองยังคงมองหน้าเดือน แต่เดือนหลบตา ก้มหน้ามองผืนดิน

เด็กสาวชาวรุ้งพรายกำลังไตร่ตรองอย่างหนัก ว่าอะไรควรพูด และสิ่งใดไม่ควรพูด คล้ายมีรั้วหนามกิ่งคัดเค้าที่นางขึงกั้นไว้รอบกาย ทำให้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเข้าถึง

บานเมืองเชยคางอีกฝ่ายขึ้นให้ประจันหน้ากันตน ‘ฉันไม่อยากทำให้เธอรู้สึกมิดี แต่ฉันขอให้คำมั่นกับเธออย่างหนึ่ง’

‘คำมั่น?’

‘ฉันจะหาทางพาเธอออกไปจากที่นี่ ไปใช้ชีวิตอิสระอย่างเผ่ารุ้งพราย…’ บานเมืองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเดือน ‘ด้วยกันกับฉัน’

ถ้อยคำเหล่านั้นทำให้เด็กสาวเผ่ารุ้งพรายยิ้มกว้างอีกครั้ง

บานเมืองบอกขณะเกาะกุมมือทั้งสองข้างของเดือนแน่นขึ้น แม้ว่านางจะมองเรือนร่างอีกฝ่ายมาตลอดทั้งเช้าแล้ว บานเมืองก็ยังอดไม่ได้ที่จะเลื่อนสายตาลงไปที่เนินอกเปล่าเปลือยของเดือน ไล่ลงไปที่แนวผิวนวลเนียนดุจแขไขเหนือขอบผ้านุ่งชักชายผ้าอย่างพวกยโศธรปุระ อันเป็นลักษณะการชักชายผ้าออกมาด้านข้างทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งชักแบบหางปลา อีกด้านชักแบบม้วนทบ ซึ่งบัดนี้มันได้คลายตัว เคลื่อนต่ำลงไปหยุดอยู่ที่สะโพก คลับคล้ายจะเย้ายวน

‘ดีไหม’ บานเมืองถามย้ำ

เดือนพยักหน้า

เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายจับความคิดของตนได้ สองแก้มของบานเมืองจึงร้อนผ่าว เผลอไผลจุมพิตลงบนริมฝีปากของเดือนอย่างยากจะห้ามใจ

‘อีเมือง!’ ชายวัยต้นสามสิบตะคอกด้วยน้ำเสียงเดือดดาล โกรธจัดจนใบหน้าเอ่อท้นไปด้วยเพลิงโทสะ

‘พ่อ!’

ครั้นบานเมืองได้ยินคำตะคอก อาการหวาดหวั่นพลันผุดพลุ่ง

นัยน์ตาทั้งสองข้างของประโคนเบิกกว้างผิดปกติ ทอประกายลึกล้ำดำทะมึนดุจดังอสรพิษร้าย เด็กสาวเห็นเช่นนั้นก็รีบถอยกรูดคิดหลบหนี ด้วยนางคุ้นชินกับเสียงกังสดาลเตือนภัยจากแววตาของบิดาดี

ทว่าสายไปเสียแล้ว

‘มานี่!’

ประโคนคว้าแขนลูกสาววัยสิบห้าไว้ราวอินทรีตะครุบลูกไก่ ก่อนกระชากมวยผมของบานเมืองลากให้กลับมาเผชิญหน้ากับตน ตามด้วยเสียงแหบพร่าน่าสยดแสยงประหนึ่งผีป่าตะโกนดังลั่น มันหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนหรี่เปลือกตาลง จ้องเด็กสาวเขม็ง แล้วกัดฟันกระซิบ

‘กูใช้ให้มึงแอบขยักแร่รัตนชาติที่พวกมันร่อนได้ มิใช่ให้มึงมาแอบเข้ารีตวิปริตผิดเพศกับอีไพร่ตาบอดนั่น’

‘แต่นั่นมันคือการบังหลวง…’

ประโคนเงื้อมือตบปากลูกสาวทันที

‘เงียบ! เดี๋ยวก็ได้ตายห่ากันหมดหรอก มึงนี่มันปากหูรูดเหมือนแม่มึงมิมีผิด ดีที่ตายห่าไปเสียได้ มิเช่นนั้นในบ้านกูคงมีเสนียดถึงสองตัว’

ใช่ มารดาของบานเมืองเป็นคนคิดอย่างไรก็เอ่ยอย่างนั้น

ก่อนที่นางบัวถันจะตัดสินใจจบชีวิตหนีความอัปยศ เวลานั้นประโคนเพิ่งเลื่อนยศขึ้นเป็นนายจำกอบ ตำแหน่งสูงส่งที่ชาวบ้านล้วนต้องก้มหัวให้ด้วยความยำเกรง จู่ๆ ก็มีข่าวลือคาวโลกีย์ข่าวหนึ่งแพร่สะพัดท่ามกลางขี้ปากของพ่อค้าแม่ขายทั่วทั้งตลาด

เรื่องซุบซิบที่ว่าล้วนมีเนื้อหาเกี่ยวกับนางบัวถันลอบคบชู้สู่ชาย นั่นคือสิคาล ชายหนุ่มผู้รั้งตำแหน่งโขลญคลาง…หัวหน้าผู้ดูแลคลังหลวง

เรื่องนี้ส่งผลร้ายต่อหน้าที่การงานของประโคนไม่น้อย

แน่นอนว่าประโคนไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครหน้าไหนมาเหยียบย่ำเกียรติศักดิ์ได้โดยง่าย จึงเป็นผู้เข้าร้องขอความเป็นธรรมจากผู้คุมกฎ

ท้ายที่สุดนางบัวถันก็ถูกจิกหัวไปลงโทษ

อิตถีใดทําชู้นอกใจผัว มันเอาชายชู้นั้นมาร่วมประเวนี ว่าเปนหญิงแพศยา มิให้ปรับไหมชายชู้นั้นเลย ให้เอาปูนเฃียนหน้าอิตถีร้ายนั้นเปนเฉลว ร้อยดอกฉะบาเปนมาไลยไส่ศีศะ ไส่ฅอ แล้วเอาขึ้นฃาหย่างผจาน

‘แม่มิเคยทำผิดต่อพ่อ!’

บานเมืองไม่เคยเชื่อว่ามารดาจะเป็นคนดังคำกล่าวหา

เด็กสาวสงสัยว่าเป็นตัวประโคนผู้รั้งตำแหน่งนายจำกอบเองที่เป็นผู้วางแผนใส่ร้ายโขลญคลางสิคาล ด้วยฝ่ายหลังขึ้นชื่อเรื่องความละเอียดลออ ส่วยสาอากรขาดไปแม้เพียงเศษเหรียญก็ไม่อาจยอมได้

ที่สำคัญโขลญคลางยังมีข้อพิพาทกับประโคนอยู่เนืองๆ เพราะอัตราส่วนจำกอบที่ประโคนเป็นคนเก็บมักถูกเบียดบังยักยอกไม่เคยขาด มิหนำซ้ำแม่ของบานเมืองยังเที่ยวโพนทะนาเรื่องชั่วช้าของผัวทั่วทั้งตลาด

แต่พ่อจะถึงขนาดใช้แม่เป็นเครื่องมือตัดช่องน้อยแต่พอตัว ให้ตนรอดแต่ผู้เดียวเชียวหรือ

‘ชาวบ้านเขาลือกันให้แซ่ดจนกูไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน มึงยังจะมาปกป้องมันอีก ขนาดตัวมันเองยังผูกคอตายหนีความผิด’

ประโคนแถลงโต้ข้างๆ คูๆ

เมื่อเห็นประโคนเหวี่ยงบานเมืองลงไปกองกับพื้น เหวี่ยงเท้าคล้ายจะเตะเข้าท้องน้อยของเด็กสาว เดือนจึงไม่อาจนิ่งเฉยทนเห็นเด็กสาวร่างบางถูกย่ำยีได้อีก เธอลากสังขารที่เพิ่งฟื้นไข้เข้ามาโอบร่างบานเมือง ใช้ร่างกายผ่ายผอมเป็นโล่กำบังสุดชีวิต

‘พ่ออย่าทำร้ายเดือน’ บานเมืองยกมืออันสั่นเทาขึ้นประนม สะอึกสะอื้น โลหิตไหลซิบตรงมุมปาก ‘เมืองขอร้อง…’

ในที่สุดประโคนก็หยุด มันยืนหลุบตามองเด็กสาวเผ่ารุ้งพรายนอนแบ็บสิ้นสติใต้ฝ่าเท้าพลางหอบหายใจ

‘กูมิเชื่อว่าจะรักษามึงให้หายขาดมิได้ ผู้ชายมีถมถืดดันมิชอบ เสือกกะโหลกไปเล่นเพื่อนไม่เข้าเรื่อง’ ประโคนเคลื่อนสายตาจ้องเดือนตาขวาง แล้วเดินไปจิกหัวลากลูกสาวของตนออกมาอีกครั้ง ‘อีตาบอดนั่นก็เหมือนกัน เป็นตัวการเอาไข้ป่าวิปริตมาติดลูกสาวกู เผ่าสกปรกโสโครกอย่างพวกมึงไยไม่ลงนรกไปเสียให้หมด!’

‘เมืองกับเดือนมิได้ป่วยไข้!’

บานเมืองเอี้ยวหน้าไปกัดแขนข้างที่ไม่ได้จิกหัวหล่อนเข้าอย่างแรง

‘อีลูกเวร มึงกล้ากัดพ่อบังเกิดเกล้าเชียวฤๅ’ ประโคนด่าทออย่างโกรธจัด กระชากศีรษะบานเมืองกลับมาพร้อมตบหน้าเต็มฝ่ามือ

เสียงตบดังชัด บานเมืองกรีดร้องเสียงหลงก่อนจะทรุดฮวบ แก้มข้างหนึ่งบวมเป่ง สิ้นสติสมประดี

 

 



Don`t copy text!