
คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 24 : สะใภ้สารพัดพิษ
โดย : พงศกร
คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้จากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อวิญญาณของแพทย์หญิงยุคปัจจุบันเข้าไปอยู่ในร่างแม่หญิงแห่งกรุงศรีผู้บอบบางที่มีคนหมั่นไส้ทั้งเมือง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิตของแม่หญิงคนนี้ให้แข็งแกร่ง ไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะคุณหลวงกำแหงฤทธิรณ หนุ่มหล่อ…อยุธยาคิ้วต์บอยคนนั้น!
“รักเมีย หลงเมียมากเกินไปแล้วนะพ่อเข้ม” คุณหญิงแป้นปากสั่นมือสั่น ไม่รู้เพราะความโกรธหรือเพราะความกลัวกันแน่
“กระผมรักความถูกต้องต่างหาก” คุณหลวงยืนยัน ดวงหน้าเข้มคมสันของเขาเปล่งประกายความยุติธรรมวิ้งวับ “คิดทางกลับกัน หากแม่ดาราเป็นฝ่ายทำผิดบ้าง กระผมก็ไม่รีรอที่จะลงโทษเธอเช่นกัน…เอ้า แม่ดารา”
เขาหันมาทางดาราเรศ ตาสบตาโดยไม่ได้ตั้งใจ และหล่อนก็รู้สึกว่าดวงหน้าร้อนผ่าวโดยไม่มีเหตุผล
“หล่อนว่ามา…จะให้พี่ลงโทษคุณหญิงแม่อย่างไร”
โห แมนมากๆ…ดาราเรศอุทานในใจ ดวงตาที่จ้องมองคุณหลวงสามีเต็มไปด้วยความทึ่งระคนชื่นชม
อยุธยาคิวต์บอยของเธอช่างเป็นคนรักความยุติธรรมอะไรเยี่ยงนี้ ดูเอาเถิด เห็นชัดๆ ว่าคนทำผิดเป็นมารดาเลี้ยงของตัวเอง เขาก็ยังกล้าที่จะจัดการให้ถูกต้อง
ที่สำคัญคือเขาให้เธอเป็นคนตัดสินใจเสียด้วย
ว่าแต่…เอิ่ม…ดาราเรศกรอกตาไปมา
โยนภาระมาให้เธอแบบนี้ จะจัดการอย่างดีล่ะ
ถามตัวเองว่าโกรธไหม ก็โกรธอยู่นะ ยัยคุณหญิงแป้นเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเธอมาแต่ชาติปางไหน ถึงได้ตั้งใจจองล้างจองผลาญไม่รู้จักจบสิ้นแบบนี้ สมน้ำหน้าที่แผนการไม่สำเร็จ เคราะห์ดีที่เธอมีความรู้มากพอจะพิสูจน์อัตลักษณ์ของบาดแผลได้ว่าไม่ได้เกิดจากน้ำปรุง ยัยสามคนนั้นเลยจนด้วยหลักฐาน จนต้องยอมรับสารภาพ
แต่จะให้คุณหญิงแป้นมากราบเท้าขอโทษก็ออกจะเกินไปหน่อย ถึงคุณหญิงจะทำผิดเห็นๆ ก็เถอะ แต่ถ้าเธอทำแบบนั้น ใครต่อใครคงเอาไปลือกันทั่วว่าหล่อนเป็นลูกสะใภ้สารพัดพิษ แล้วชีวิตที่อยู่ไม่มีความสุขอยู่แล้ว ก็คงจะไม่เป็นสุขกว่าเดิม
ครั้นจะให้สามีจับส่งตระลาการ ก็ออกจะโหดเหี้ยมไปสักหน่อย เกิดคุณหญิงแป้นติดคุก โดนลงหวาย เอาไปตะพุ่นหญ้าช้าง อายุอานามขนาดนี้คงไม่รอด และหล่อนก็จะกลายเป็นสะใภ้อกตัญญู
“ว่าไง” เขาเร่งรัดเอาคำตอบ
“ไม่ว่าไงเจ้าค่ะ ครั้งนี้ฉันไม่เอาความ” ดาราเรศตัดสินใจเด็ดขาด “แต่ขอให้คุณหญิงแม่รับปากว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก เพราะถ้าคุณหญิงแม่ แม่บัว แมใจ ยังคิดร้าย วางแผนกลั่นแกล้งฉันอยู่อีกละก็…ครั้งหน้าฉันจะไม่ยอมแน่นอน”
“แม่ดารา…” คุณหญิงแป้นอ้าปากค้าง ด้วยไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะยอมถอยให้ เธอคิดว่างานนี้แม่ดาราได้เปรียบ คงเอาคืนหนักแน่
“นี่ฉันหูฝาดไปหรือเปล่า” แม่บัวพลอยอ้าปากค้างไปด้วยอีกคน ขณะที่แม่ใจดูมีท่าทางผิดหวัง
“ไม่ฝาด” ดาราเรศย้ำ “ฉันไม่เอาความ”
“แน่ใจนะ” คุณหลวงเข้มถามอย่างจะให้แน่ใจ
“แน่ใจเจ้าค่ะ” ดาราเรศจ้องมองเขาแน่วนิ่ง
“ถ้าเช่นนั้น เรื่องคุณหญิงแม่เป็นอันว่าเลิกแล้วกันไป” เขาตัดสินใจ “แต่แม่สามคนนี้…ยังไงก็มีความผิด ฉันจะคุมตัวไปลงโทษตามกฏหมาย”
สิ้นประโยคนั้นของออกหลวงกำแหงฤทธิรณ สีหน้าของคุณหญิงแป้นก็ผ่อนคลายลง ขณะที่หญิงสาวทั้งสามพากันร้องไห้คร่ำครวญขอความเห็นใจ หากคุณหลวงเพียงแต่หันไปพยักหน้าให้กับลูกน้องของเขา คุมตัวพวกเธอลงจากเรือน พาตัวไปส่งที่คุกเพื่อรอรับโทษต่อไป…
“พวกเราพลาดอีกแล้วนะเจ้าคะคุณหญิงแม่”
ทันทีที่ออกหลวงกำแหงฤทธิรณและแม่ดารากลับเรือนไปเป็นที่เรียบร้อย แม่ใจก็บ่นออกมาเสียงดัง สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“อุตส่าห์วางแผนรอบคอบแล้วเชียวนะพี่ใจ” แม่บัวแก้แทนมารดา “ไม่รู้ทำไมพี่ดาราถึงจับผิดนังพวกนั้นได้”
“นังพวกนั้นก็ใจเสาะเกินไป” คุณหญิงแป้นฮึดฮัด “แทนที่จะรับไว้เอง กลับสารภาพเสียง่ายๆ พาให้เราพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
“ดีนะที่พี่ดาราไม่เอาเรื่อง” แม่บัวถอนใจ “ไม่งั้นคุณหญิงแม่แย่แน่ ถูกติดคุกไปโดนลงหวาย โดนเฆี่ยน ถูกให้ไปตะพุ่นหญ้าช้าง มีหวังเป็นลมตายคาอยู่ในคุกนั่นละ”
“แกล้งทำดีต่อหน้าผัวนะสิ” คุณหญิงแป้นเจ็บใจ วันนี้เธอพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า สายตาที่คุณหลวงหนุ่มผู้เป็นลูกเลี้ยงมองมาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “อย่านึกนะว่าฉันจะใจอ่อน”
“จะทำอะไรก็คิดดีๆ นะเจ้าคะคุณหญิงแม่” แม่บัวเตือนมารดา “ถึงอย่างไร ที่เรากินดีอยู่ดีอย่างเช่นทุกวันนี้ ก็เพราะอัฐของท่านเจ้าคุณโชดึก เรายังต้องพึ่งเจ้าคุณพ่อของแม่ดาราอยู่นะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องห่วง” คุณหญิงแป้นหัวเราะเสียงแผ่วต่ำ “แม่ดาราพาตัวเจ้าคุณโชดึกไปไหนไม่รู้ ป่านนี้ยังหากันไม่พบ คุณหญิงเนียนเลยเป็นคนจัดการเรื่องเงินเรื่องทองในบ้านแทน คุณหญิงเนียนกับแม่สนิทสนมกันดี หากเราขัดสนเงินทอง ออกปากขอความช่วยเหลือจากคุณหญิงเนียนคงไม่ใช่เรื่องยาก แม่ยังจำได้ว่าตอนที่ส่งตัวแม่ดารามาที่นี่…คุณหญิงเนียนบอกแม่ว่า อยากจะจิกหัวใช้ อยากจะกลั่นแกล้ง อยากจะทำยังไงกับแม่ดาราก็ทำไปเลย อยู่ไปก็ขวางหูขวางตานัก ไม่แน่นะ ถ้าคุณหญิงเนียนรู้ว่าเราทำอะไรกับแม่ดาราบ้าง เธออาจจะชอบใจก็ได้”
“แต่ลูกยังคิดไม่ออกอยู่ดี” แม่บัวนิ่วหน้า “นังพี่ดารารู้ได้ยังไงว่าสามคนนั่นเป็นคนที่เราส่งไป”
“ผีเจ้าค่ะ” นังเจียมว่า หลังจากนิ่งฟังบรรดาเจ้านายมานาน “นอกจากมันจะฟื้นมาจากความตายแล้ว แม่หญิงดาราต้องมีผีบริวารติดตามมาด้วย และผีของมันนี่ละ ที่ไปเห็นว่านังสามคนนั้นแกล้งทำให้ตัวเองบาดเจ็บ แล้วเลยไปบอกนายของมัน แม่หญิงดาราถึงได้รู้ว่าเป็นแผนการของพวกเรา”
“อือม…ก็จริงของเอ็งนะนังเจียม” คุณหญิงเห็นด้วย “ไม่อย่างงั้น คนโง่ๆ เซ่อๆ อย่างมัน จะรู้ได้ยังไงว่ารอยแผลไหม้นั่น เกิดจากเอาของร้อนมานาบ แล้วยังแผลผื่นคันจากตำแยอีก”
“ผีบอกแน่นอนเจ้าค่ะ” นังเจียมหมายมั่น “คุณหญิงจำวันนั้นได้ไหมเจ้าคะ ที่ใช้ให้เจียมแอบไปสืบความลับที่เรือนหลังเล็ก เจียมเจอผีเด็กผมจุก แล้วไม่ใช่แค่เจียมคนเดียวเท่านั้นที่เห็นนะเจ้าคะ มีบ่าวเห็นกันอีกตั้งหลายคน บางคนโดนแกล้งดึงผ้านุ่ง โดนขโมยเอาของไปซ่อนด้วย…แม่หญิงดาราเลี้ยงผีเอาไว้เป็นบริวารแน่นอน”
“เป็นอย่างนั้นจริงก็ให้มันรู้ไป ฉันว่าได้เวลาที่เราจะต้องจัดการกับแม่ดาราขั้นเด็ดขาดแล้วเจ้าค่ะคุณหญิงแม่” แม่ใจว่า “วันพรุ่ง ฉันกับแม่บัวจะไปนิมนต์หลวงพี่วัดขนุนมาด่วนๆ เลยเจ้าค่ะ ต่อให้เป็นผีเก่งแค่ไหน เจอหลวงพี่เข้าไปรับรองไม่รอดแน่นอน”
หลวงพี่วัดขนุนที่แม่ใจเอ่ยถึง เป็นพระที่มีชื่อเสียงด้านคาถาอาคม เรือนไหนมีผีสิง ใครโดนของ โดนทำคุณไสย โดนลมเพลมพัด โดนเสน่ห์ รดน้ำมนต์ไม่หาย ผีที่ไหนว่าดุ เจอหลวงพี่วัดขนุนเข้าไป เป็นต้องยอมศิโรราบทุกราย
แม่บัวและแม่ใจลงมือปฏิบัติการรวดเร็วทันใจ พวกเธอตื่นแต่เช้ามืดลงเรือไปนิมนต์หลวงพี่ด้วยตัวเอง ครั้นพอตกสายหลวงพี่ก็เดินทางมายังเรือนของคุณหญิงแป้น พร้อมกับลูกศิษย์ที่เป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่อีกสองคน
“นิมนต์เจ้าค่ะ”
คุณหญิงแป้นรออยู่แล้วที่ท่าน้ำ เมื่อเห็นหลวงพี่มาถึงก็ยกมือไหว้ พร้อมกับนิมนต์ให้ขึ้นเรือนไป
“ไหนล่ะ…แม่หญิงที่โดนผีเข้าสิง”
เมื่อขึ้นไปถึงชานเรือนกว้างขวาง หลวงพี่ก็กวาดสายตามองไปโดยรอบ
“อยู่เรือนหลังเล็กโน่นเจ้าค่ะ” คุณหญิงแป้นชี้มือไปที่เรือนของลูกเลี้ยง วันนี้เป็นวันหยุด คุณหลวงเข้มไม่ได้ไปทำงาน ป่านนี้คงจะตื่นแล้วและกำลังรับประทานอาหารอยู่กับเมีย
ยิ่งเดินเข้าใกล้เรือนที่ต่อแยกไปทางด้านหลังมากเพียงใด กลิ่นหอมของอาหารก็ทำให้ทุกคนถึงกับน้ำลายสอ ออกหลวงเข้มกำลังนั่งรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เช้าวันนี้เขานุ่งโจงผืนเดียว ท่อนบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นมัดกล้ามแข็งแกร่ง ที่นั่งปรนนิบัติพัดวีอยู่ใกล้ๆ คือแม่หญิงดารา วันนี้เธอสวมสไบสีกลีบบัว ขับให้ผิวขาวแลดูผุดผ่องจนใครที่ได้เห็นถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง
“คุณหญิงแม่” ดวงตาคู่คมของออกหลวงหนุ่มจ้องมองแขกที่มาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย คิ้วเข้มๆ ของเขาขมวดมุ่นเมื่อแลเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งตามมาด้วย “หลวงพี่”
“หอมจัง” แม่บัวกลืนน้ำลายเอื๊อก ชะเง้อมองอาหารในสำรับของพี่ชายด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ใครว่าหอม ฉุนจะตาย” แม่ใจแกล่งว่าทั้งที่ตนเองก็กำลังงกลืนน้ำลายอยู่เช่นกัน
“กินอะไรฉุนๆ แต่เช้า กลิ่นแรงน่ารังเกียจ” คุณหญิงแป้นเม้มริมผีปากแน่น พยายามไม่ให้ลูกชายและลูกสะใภ้เห็นว่าตนเองกำลังหิว
“กะเพราไก่ไข่ดาวเจ้าค่ะ” ดาราเรศยกจานข้าวตรงหน้าขึ้นอวดทุกคน กลิ่นหอมของกะเพราไก่กรุ่นอวลไปรอบๆ บริเวณ
“กะเพรา” คุณหญิงแป้นนิ่วหน้า “เอามาทำอะไรแบบนี้…ปกติเขาต้องใส่แกงไม่ใช่รึ”
อ้ะ…เข้าทาง ดาราเรศดีดนิ้วเสียงดังเปาะ
ดีนะที่เธอเคยศึกษาประวัติของอาหารไทยมาก่อน ตอนนั้นเธอกำลังสมัครเข้าไปแข่งในรายการทำอาหาร และก่อนหน้าจะเข้าไปออดิชั่นคัดตัว เพื่อนของเธอก็ช่วยกันติวความรู้เรื่องอาหารไทยอย่างละเอียด เพราะคนที่จะไปแข่งขันในรายการดังกล่าวแค่ทำอาหารอย่างเดียวไม่พอ แต่จะต้องมีความรอบรู้ด้วย
ผัดกะเพราในโลกที่หล่อนจากมาเป็นอาหารสามัญที่หากินได้ทุกตรอกซอกซอย แต่ในพระนครศรีอยุธยาเวลานี้เป็นของใหม่ที่ทุกคนตื่นเต้น โดยเฉพาะสามีของเธอ เมื่อเขาตื่นขึ้นมาและพบว่ามีข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวพร้อมเสิร์ฟ ออกหลวงกำแหงฤทธิรณก็เบิกตากว้างพร้อมกับกลืนน้ำลายด้วยความหิว
ครั้นเมื่อนั่งลงและเริ่มลงมือกิน ก็อร่อยเสียจนไม่อาจจะหยุดได้ ถึงตอนนี้ออกหลวงกำแหงฤทธรณเติมข้าวไปแล้วถึงสองครั้ง
“ใช่เจ้าค่ะ วันนี้ดีฉันนึกอยากทำอาหารตำรับใหม่ให้คุณพี่ได้ลองชิมกันดูก็เท่านั้น” ดาราเรศหัวเราะในลำคอ สมัยก่อนคนไทยไม่นิยมเอากะเพรามาผัดกับเนื้อสัตว์ นิยมทำผัดเผ็ดหรือนำมาใส่ในแกงป่ามากกว่า กะเพราผัดกับหมูสับ กะเพราพัดกับเนื้อไก่เพิ่งจะมานิยมเอาสมัยปลายรัตนโกสินทร์นี่เอง
“อร่อยมากๆ เลยขอรับคุณแม่” ออกหลวงหนุ่มยิ้มกว้าง ก่อนจะเชิญชวนให้ทุกคนนั่งลง “มากินด้วยกันไหมขอรับ…นิมนต์หลวงพี่ด้วยนะขอรับ…กับข้าวเรามีพอสำหรับทุกคนไหมแม่ดารา”
“มีพอเจ้าค่ะ” ดาราเรศยิ้ม เธอรู้จากหนูยอดตั้งเมื่อวานแล้วว่าเรือนใหญ่กำลังนิมนต์พระเพื่อมาปราบผี เช้าวันนี้เธอเลยลุกขึ้นมาเตรียมรับมือแต่เช้า “คุณหญิงแม่ แม่บัว แม่ใจ และหลวงพี่อยากลองชิมไหมเจ้าคะ”
“เอ้อ…” หลวงพี่ถึงกับไปไม่เป็น ตั้งใจจะมาปราบผี ไม่คิดว่าจะมาเจออะไรเช่นนี้ “อาตมาฉันเช้าเรียบร้อยแล้ว”
“จวนจะเพลแล้วนี่เจ้าคะ ดีฉันนิมนต์หลวงพี่ฉันเพลเสียที่นี่เลยก็แล้วกัน” ดาราเรศไม่รอให้หลวงพี่ตอบปฏิเสธ เธอหันไปทางนังแหวน พยักหน้าให้ นางบ่าวรู้ใจผู้เป็นนาย ก็รีบกุลีกุจอจัดสำรับแยกต่างหากไว้ให้หลวงพี่โดยเฉพาะ
“คุณหญิงแม่ แม่บัว แม่ใจล่ะ สนใจไหมเจ้าคะ”
“สนใจสิจ๊ะ…กลิ่นห๊อม หอม…ฉัน…” แม่บัวอ้าปากกำลังจะตอบ แต่ผู้เป็นแม่รีบตะครุบปากของเธอเอาไว้เสียก่อน
“ไม่” คุณหญิงแป้นปฏิเสธเสียงเข้ม “ไม่กิน”
“คุณหญิงแม๊…” แม่บัวกลืนน้ำลายเป็นครั้งมีนับไม่ถ้วน ไม่อาจละสายตาไปจากจากกะเพราไก่ และไข่ดาวที่ไข่แดงสุกเยิ้ม ที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นตรงหน้าได้
“ฉันกินจ้ะพี่ดารา” แม่บัวอยากกินอาหารตรงหน้าจนยอมขัดใจมารดา
“ได้เลย” ดาราเรศหัวเราะในลำคอ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้นังแหวนที่รอรับใช้อยู่ทางด้านหลัง “พี่มีจานพิเศษให้แม่บัวด้วยนะ”
“แม่บัว” คุณหญิงแป้นเจ็บใจที่ลูกสาวยอมพ่ายแพ้แก่ความอร่อย ที่จริงเธอก็อยากกินเหมือนกันนั่นแหล่ะ แต่ทำแบบนั้นจะเสียเหลี่ยมเกินไปสักหน่อย คุณหญิงจึงได้แต่มองดูลูกสาวกินข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวจานพิเศษด้วยความเอร็ดอร่อย พร้อมๆ กับที่หลวงพี่ที่นิมนต์มาปราบผีก็กำลังเตรียมตัวพร้อมเช่นกัน
“หลวงพี่…”
คุณหญิงแป้นหันไปทำเสียงเอ็ดหลวงพี่วัดขนุนที่กำลังถลกจีวรเตรียมจะนั่งลงฉันอาหาร
“เอ้อ…” หลวงพี่อึกอัก “ก็โยมเขานิมนต์ ถ้าอาตมาไม่ฉัน ประเดี๋ยวโยมจะเสียน้ำใจ…ม่ะ…พวกเองก็ด้วย”
ประโยคหลัง หลวงพี่หันไปกวักมือเรียกให้ลูกศิษย์ที่ติดตามมาด้วย นั่งลงรอกินข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวต่อจากท่าน
“ซี้ด” แม่บัวเหงื่อตก อ้าปากพะงาบๆ ใช้มือช่วยพัด เพราะกะเพราไก่จานที่ดาราเรศเตรียมไว้ให้เผ็ดจัดจนหุบปากไม่ลง
“ไหวไหมแม่บัว” ดาราเรศแกล้งถาม
“ไหวจ้ะพี่ดารา” แม่บัวใช้หลังมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “เผ็ดร้อน แต่อร่อยมาก ไม่เคยกินอะไรอร่อยแบบนี้มาก่อนเลย”
“ถ้าชอบ วันหลังก็แวะมาอีกสิจ๊ะ” ดาราเรศแกล้งชวน
“มาได้เหรอจ๊ะ” แม่บัวทำตาโต
“ไม่ได้” คุณหญิงแป้นแผดเสียงใส่ลูกสาว เธอจ้องมองแม่หญิงดาราเขม็ง จะมากไปแล้วนะหล่อน เอาอาหารมาหลอกล่อจนลูกเลี้ยงของฉันตกหลุมพรางไปคนหนึ่งแล้ว จะมาหลอกลูกสาวของฉันไปอีกคน…ไม่มีทางเสียละ
“แต่ว่า…” แม่บัวซู้ดปาก ทำท่าเสียดาย
“ไม่มีแต่ ข้าวเรือนเราไม่มียางหรืออย่างไร ถึงต้องแล่นมากินข้าวเรือนคนอื่น” คุณหญิงแป้นเจ็บใจจนแน่นหน้าอก
ความรู้สึกในตอนนั้นทั้งโกรธ ทั้งหิว ทั้งอยากกิน หากทำอะไรไม่ได้ พ่อเข้มก็เหลือเกิน นั่งเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม่ใจเองก็มีอาการกระสับกระส่ายไม่แพ้แม่สามี พวกเธออดทนรอจนทุกคนอิ่มอาหาร บ่าวของแม่ดาราเก็บสำรับเรียบร้อยแล้ว ออกหลวงกำแหงฤทธิรณจึงเอ่ยขึ้นอย่างเพิ่งจะนึกได้
“ว่าแต่…คุณหญิงแม่มีธุระอะไร ถึงมาเรือนเล็กได้ขอรับ”
“แม่พาหลวงพี่มาทำบุญบ้าน เพื่อปัดรังควานน่ะจ้ะ” คุณหญิงแป้นเข้าเรื่อง
“ทำบุญปัดรังควาน” ออกหลวงหนุ่มนิ่วหน้า เขาหันไปทางดาราเรศก่อนจะหันกลับไปทางมารดาเลี้ยง “ทำไมถึงไม่ไปนิมนต์หลวงลุงล่ะขอรับ”
“หลวงลุงไม่ว่างเจ้าค่ะ” แม่บัวรีบตอบแทนมารดา เสียงท้องของเธอร้องดังจ็อก แม้บ่าวจะเก็บสำรับไปหมดแล้วหากกลิ่นของกะเพราไก่ยังหอมกรุ่นชวนหิว
“แล้วทำบุญบ้าน…มีพระมาแค่รูปเดียวหรือขอรับ” ออกหลวงหนุ่มเริ่มสงสัย
“แม่อยากทำแบบด่วนๆ น่ะจ้ะ” คุณหญิงแป้นรีบบอก “เห็นช่วงนี้เรือนเรามีแต่เรื่อง อีกอย่าง ตั้งแต่แม่ดาราฟื้นขึ้นมา ก็ยังไม่มีโอกาสได้ทำบุญเลย พอดีวันนี้หลวงพี่มีจังหวะว่าง แม่เลยนิมนต์ท่านมาแบบกะทันหัน เลยไม่ได้บอกพ่อเข้มล่วงหน้าน่ะจ้ะ”
ไม่มีใครในพระนครศรีอยุธยาไม่รู้จักหลวงพี่วัดขนุน ออกหลวงกำแหงฤทธิรณรู้ดีว่าท่านมีวิชาอาคมเป็นที่ร่ำลือ การที่คุณหญิงแป้นนิมนต์ให้มาที่เรือนของเขา ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติ ดวงตู่คมเหลือบมองแม่หญิงดาราด้วยความเป็นห่วง หากเมียของเขากลับชิงตอบขึ้นเสียก่อนว่า
“ดีเลยเจ้าค่ะ…ทำบุญปัดรังควานเสียทีก็ดี เผื่อภูตผีปีศาจที่ชอบรังควานดีฉันจะได้สงบลงบ้าง”
“อิ่มกันแล้วใช่ไหมทุกคน ถ้างั้นหลวงพี่ลงมือเลยเจ้าค่ะ” คุณหญิงแป้นข่มความโกรธเอาไว้ ฝืนยิ้มให้กับลูกสะใภ้แล้วนิมนต์ให้หลวงพี่ลงมือประกอบพิธี
หลวงพี่วัดขนุนหันไปทางลูกศิษย์ทั้งสอง พยักหน้าให้อย่างรู้กัน หนึ่งในนั้นคว้าเอาอาสนะออกมาจากย่าม ปูลงบนตั้งตรงหน้าเตรียมพร้อมสำหรับให้หลวงพี่เริ่มสวดมนตร์บริกรรมคาถา อีกคนเตรียมบาตรออกมาเพื่อทำน้ำมนต์ หลังจากสวดมนต์บทยืดยาวเสร็จเรียบร้อย ลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงพี่ก็ตามนังแหวนไปตักน้ำฝนในตุ่มมา เมื่ออุปกรณ์ทุกอย่างพร้อม หลวงพี่ก็เริ่มลงมือทำน้ำมนตร์
สายลมที่สงบนิ่ง จู่ๆ ก็กลับกระโชกแรง หากไม่ว่าสายลมจะพัดแรงแค่ไหน เปลวเทียนที่อยู่บนฝาบาตรก็ไม่ดับ เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก หลวงพี่สวดพึมพำในลำคอ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับเริ่มประพรมน้ำมนต์ไปรอบๆ ตัวบ้าน ก่อนจะหันมาพรมน้ำมนตร์ใส่ทุกคนนั่งชุมนุมที่อยู่ในบริเวณนั้น
น้ำมนตร์จากบาตรเย็นฉ่ำ หากมีใครคนหนึ่งกลับส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ราวกับโดนน้ำร้อนก็ไม่ปาน
“กรี๊ดดดดดด”
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 30 : ขึ้นพระบาทกันไหมจ๊ะ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 29 : จ็อกๆ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 28 : รมณ์เสีย !
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 27 : ฤทธิ์รักไก่แช่เหล้า
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 26 : ผีผมจุกแย่แล้ว
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 25 : น้ำมนต์ของแม่หญิงดารา
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 24 : สะใภ้สารพัดพิษ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 23 : ฟาดมาฟาดกลับ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 22 : ความวัวยังไม่ทันจะหาย ความควายมาอีกแล้วเจ้าค่ะ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 21 : บุกบ้านญี่ปุ่น
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 20 : แม่หญิงผู้มีศัตรูทั่วพระนคร
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 19 : เด็กดื้อต้องโดนอะไรนะ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 18 : ทุกอย่างในโลกใบนี้ไม่มีบังเอิญ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 17 : เมียข้าอยู่ไหน
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 16 : ลอบทำร้าย
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 15 : คนนั้นก็น่าจะใช่ คนนี้ก็อาจจะใช่ แล้วใครกันล่ะ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 14 : น้ำปรุงขวดพิเศษ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 13 : แม่หญิงนาตาชา
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 12 : เมียข้าใครอย่าแตะ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 11 : ออกญาโชดึกราชเศรษฐี
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 10 : สนธิสัญญาผีกับคน
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 9 : จ๊ะเอ๋
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 8 : คุณหลวงเจ้าขา...ฉันกลัวเจ้าค่ะ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 7 : เดบิ้วต์แล้วก็ต้องไปต่อให้สุดสิเจ้าคะ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 6 : ไม่เคยกินละสิ ของอร่อยแบบนี้ !
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 5 : ปะทะคุณหญิงแม่
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 4 : ได้เวลาเดบิ้วต์
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 3 : เมียในเงามืด
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 2 : แม่หญิงผู้นี้ มีศึกรอบด้าน
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 1 : ย้อนเวลา...มันไม่ได้มีแต่ในนิยายเหรอ