
คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 8 : คุณหลวงเจ้าขา…ฉันกลัวเจ้าค่ะ
โดย : พงศกร
คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้จากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อวิญญาณของแพทย์หญิงยุคปัจจุบันเข้าไปอยู่ในร่างแม่หญิงแห่งกรุงศรีผู้บอบบางที่มีคนหมั่นไส้ทั้งเมือง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิตของแม่หญิงคนนี้ให้แข็งแกร่ง ไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะคุณหลวงกำแหงฤทธิรณ หนุ่มหล่อ…อยุธยาคิ้วต์บอยคนนั้น!
อาหารมื้อค่ำวันนั้นผ่านไปอย่างราบรื่น ออกญานคเรศฤๅไชยและคุณหญิงกระต่ายผู้ภริยา พออกพอใจแม่หญิงดาราเป็นอย่างมาก ถึงกับกำชับให้คุณหลวงเข้มพาเมียแวะมาหาบ่อยๆ
“วันนี้ไม่ได้อยู่เวรลาดตระเวน ก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิดพ่อเข้ม” ท่านเจ้าคุณก็เร่งให้ลูกน้องกลับเรือน “ช่วงนี้บ้านเมืองเราไม่ค่อยปลอดภัย”
“ขอรับ” ออกหลวงกำแหงฤทธิรณสะกิดเมียให้ลาท่านเจ้าคุณกับคุณหญิง จากนั้นทั้งสองก็เดินมุ่งหน้ากลับไปที่ท่าน้ำ ดาราอดสงสัยในท่าทีเร่งร้อนของทุกคนไม่ได้ เลยเอ่ยปากถามขึ้นว่า
“ดูเหมือนทุกคนจะกลัวอะไรสักอย่าง…กลัวปอบหรือเจ้าคะ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” คุณหลวงจับแขนดาราให้ก้าวลงไปนั่งกลางเรือ ก่อนที่ตัวเองจะไปนั่งพายคัดอยู่ข้างท้าย “หลายเดือนมาแล้วที่ผู้คนในอยุธยาพาล้มตายกันอย่างน่าประหลาด”
“ตายอย่างน่าประหลาด…ศพเป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ” สัญชาตญาณของหมอนิติเวช ทำให้ดาราเรศ สนใจอยากรู้ เธอหันหลังกลับมาทางชายหนุ่ม และจ้องหน้าเขา รอฟังคำตอบอย่างตั้งอกตั้งใจ
แสงสลัวรางจากดวงจันทร์กลางฟ้า ทำให้เห็นดวงตาของออกหลวงหนุ่มกระพริบวิบวาว ราวกับมีดวงดาวอยู่ในนั้น
“ศพทุกรายถูกแหวกท้อง ตับไตไส้พุงหายไป” น้ำเสียงของออกหลวงหนุ่มเคร่งขรึม
“อือม…เลยลือกันว่าปอบกิน” ดาราเรศพยักหน้า…แปลกจริงๆเสียด้วย
“ลือกันเช่นนั้น” ออกหลวงหนุ่มแบ่งรับแบ่งสู้ อะไรบางอย่างในน้ำเสียงของเขาทำให้ดาราเรศรู้สึกว่าชายหนุ่มเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก
“คุณพี่เชื่อว่ามีปอบจริงๆหรือเจ้าคะ” ดาราเรศไม่เชื่อเรื่องผี
“หล่อนว่ามีจริงหรือเปล่าล่ะ” เขาไม่ตอบ หากย้อนถามหญิงสาว
“ฉันก็ไม่เคยเห็นสักทีนะเจ้าคะ” ดาราเรศพูดจริงๆ ทำงานเป็นหมอผ่าศพมาหลายปี เธอไม่เคยเห็นผีเลยสักครั้ง จะว่าไปดาราเรศคิดว่าผีนั้นไม่น่ากลัวเท่าคนด้วยซ้ำ
“แล้วหล่อนไม่กลัวผีหรือแม่ดารา” คุณหลวงเข้มแปลกใจ
“อุ๊ย” ดาราเรศเพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้เธอคือแม่หญิงดาราผู้อ่อนแอ ไม่ใช่แพทย์หญิงดาราเรศ นิติเวชสาวผู้ไม่เคยกลัวสิ่งใด “กลัวสิเจ้าคะ”
หล่อนรีบบอก ครั้นเห็นสายตาไม่เชื่อถือของอีกฝ่าย เลยรีบทำเสียงอ่อนเสียงหวาน
“คุณพี่เจ้าขา…ข้ากลัวปอบเจ้าค่ะ”
แค่ทำเสียงเล็กเสียงน้อย เขาอาจไม่เชื่อว่าหล่อนกลัว ดาราเรศเลยโผเข้าหาเขา ทำท่าเหมือนจะกอดชายหนุ่มที่นั่งคัดท้ายเรือ ด้วยความที่เรือลำเล็กขนาดพอดีคนสองคนนั่ง ครั้นพอคนกลางเรือโผเข้าหาคนข้างท้าย เรือทั้งลำเลยโคลงเคลงไปมา เหมือนจะล่มลงไปได้ทุกเมื่อ และคราวนี้ดาราเรศเลยตกใจจนร้องกรี๊ดออกมาจริงๆ
“ว๊าย”
“นี่หล่อน ทำอะไร” เขาตกใจจนต้องวางพายในมือลง แล้วรวบร่างผอมบางเอาไว้ในอ้อมอกแข็งแกร่ง
“ฉันกลัวผีเจ้าค่ะ คุณพี่เจ้าขา” ไหนๆเล่นละครแล้วก็ต้องไปให้สุด
“ดูหล่อนไม่ได้กลัวจริงๆสักหน่อย” เขามองออก
“กลัวจริงๆเจ้าค่ะ” ดาราเรศเถียง และกอดเขาแน่นเข้า ขณะที่เรือยิ่งโคลงเคลงหนักกว่าเก่า “คุณพี่เจ้าขา ช่วยเมียด้วย เมียกลัวผี”
“นี่…อย่าดิ้นสิ” เขาร้องบอกเสียงเข้ม “อยู่นิ่งๆ ประเดี๋ยวเรือได้ล่มหรอก”
ทั้งที่เป็นหญิงสาวสมัยใหม่ หากพอได้อิงแอบแนบอกหนาๆของคุณหลวง แถมยังได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นดังตึกๆ ดาราเรศก็อดจะหน้าแดงมิได้ ค่อยยังชั่วที่เป็นเวลากลางคืน หล่อนหวังว่าเขาคงไม่เห็นอาการเขินอายที่เกิดขึ้น
“อยู่นิ่งๆ เข้าใจไหม” เขาคลายอ้อมแขน แต่ยังคงกอดหล่อนเอาไว้หลวมๆ
“เจ้าค่ะ” เธอทำตามที่เขาบอก เพราะเริ่มกลัวว่าเรือจะล่มขึ้นมาเหมือนกัน
เมื่อเห็นว่าแม่หญิงดาราอยู่ในอาการสงบ และเรือหายโคลงเคลงแล้ว วงแขนแข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยกล้ามก็คลายลง และเขาก็หันไปหยิบพายขึ้นพายเรือต่อ
ออกหลวงหนุ่มทอดสายตามองแลเลยไปทางอื่น พยายามซ่อนสายตาหวั่นไหวของตัวเองเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเห็น กรุ่นหอมจากเรือนกายของแม่หญิงดารายังติดปลายจมูก เรือนกายนุ่มนิ่มปลุกเร้าให้ร่างกายของเขาตื่นตัว
ปกติเขาไม่ใช่คนจะหวั่นไหวกับอิสตรีได้ง่ายๆ แต่ทำไมกับแม่ดาราเขาถึงเป็นแบบนี้…ออกหลวงหนุ่มถามตัวเองพร้อมกับสะบัดหน้าแรงๆ
ดาราเรศค่อยๆถอยกลับไปนั่งที่เดิม สายลมเย็นๆพัดแผ่วมารวยริน ออกหลวงหนุ่มยังคงพายเรือไปเรื่อยๆ
เสียงพายกระทบน้ำดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทั่วทั้งลำคลองเต็มไปด้วยความว่างเปล่า เรือนแพและบ้านเรือนที่เรียงรายอยู่สองฝั่งดับไฟมืดหมดแล้ว นานๆครั้งดาราเรศจะเห็นหิ่งห้อยกะพริบแสงเป็นจังหวะอยู่บนต้นลำพู พอพวกมันรู้สึกว่ามีคนเข้าใกล้ก็จะหยุดกะพริบแสงไปพักหนึ่ง บรรยากาศช่างโรแมนติกเสียนี่กระไร
“วันนี้แม่แก้วมาที่เรือนใหญ่” ดาราเรศอดเล่าไม่ได้ อยากเห็นปฏิกิริยาของคนที่เป็นสามีว่าจะเป็นอย่างไร หากดวงหน้าคมสันของออกหลวงหนุ่มมีแต่ความเรียบเฉย
“แล้วไง” เขาว่า
“ไม่ว่าไงเจ้าค่ะ” เธอแกล้งทำเสียงเรียบ “แค่รายงานให้คุณพี่ทราบเฉยๆ”
“รายงานทำไม” เขาย้อน “ทำไมต้องรายงาน”
“ก็เห็นสนิทกัน” เธอพูดต่อด้วยน้ำเสียงดุจเดิม
“ใครสนิท” เขาย้อนอีก “ฉันสนิทกับแม่แก้วก็จริง แต่ไม่เคยเกินเลยกว่าความเป็นเพื่อน”
“งั้นหรือเจ้าคะ” ดาราเรศทำเสียงแหลม
“เจ้าคุณพ่อของฉัน กับท่านเจ้าคุณอาเสนาเมือง เจ้าคุณพ่อของแม่แก้วเป็นสหายกัน” เขาอธิบาย และเป็นครั้งแรกที่ดาราเรศได้รู้ว่าบิดาของแม่หญิงคนนั้นก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่เช่นกัน
“มิน่าล่ะ” หล่อนพยักหน้า “ลูกกับลูกเลยสนิทกัน”
“เจ้าคุณพ่อของฉันกับเจ้าคุณอาเคยตกลงกันว่า หากลูกเป็นชายก็จะให้เป็นเพื่อนรักกัน” เขาเล่า “หากเป็นชายและหญิงก็จะให้แต่งงานกัน”
“นั่นไง” ดาราเรศถอนใจ “คุณพี่คงผิดหวังที่ไม่ได้แต่งงานกับแม่แก้ว”
“เลิกพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาได้แล้ว” เขาเอ็ด
“ฉันแค่พูดออกไปอย่างที่ใจคิด” ดาราเรศว่า
“หล่อนกำลังหึงฉันมากกว่า” เขาหัวเราะเสียงแผ่วต่ำในลำคอ
“ไม่ได้หึง” หล่อนเถียง
“หึง” เขาว่า
“ไม่ได้หึง” หล่อนยังเถียง “หึงทำไม”
“นั่นสิ จะหึงทำไม” เขาหัวเราะออกมาเบาๆ “ในเมื่อเราแต่งงานเป็นผัวเมียกันแล้ว”
“เป็นผัวเมีย…อีกละ…กล้าพูดนะเจ้าคะ ไม่อายปากบ้างหรือไง” หล่อนเหลือบตามองบน…หน็อย…กล้าพูดได้ไงยะ นังแหวนบอกว่าคุณหลวงกับแม่ดารายังไม่ได้เข้าหอกันเลยด้วยซ้ำ
“ฉันหมายความว่าเราแต่งงานกันแล้ว” เขาคงรู้ตัวเช่นกัน เลยรีบแก้เก้อ “คนอื่นก็ไม่สำคัญ”
“ขอให้จริงเถอะ” หล่อนพึมพำในลำคอ
“หล่อนว่าอะไรนะ” เขาได้ยินไม่ถนัด
“เปล่าเจ้าค่ะ” ดาราเรศส่ายหน้า
กำลังรอว่าออกหลวงหนุ่มจะว่าอย่างไรต่อ ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อคุณหลวงร้องเสียงดังเอ๊ะด้วยความตกใจ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปริวิตก ดวงตาจ้องมองไปที่เรือนหลังใหญ่ริมน้ำ ครั้นเมื่อดาราเรศหันหลังกลับไปมองบ้าง ก็เห็นว่าเรือนหลังนั้นมีผู้คนยืนถือคบไฟกันอยู่มากมาย และมีเสียงร้องไห้โหยหวนของใครบางคนดังสะท้อนก้องกลับไปกลับมาในคุ้งน้ำที่เยือกเย็น
“เกิดเรื่องที่เรือนคุณพระอาจแล้ว” คุณหลวงพึมพำเสียงเครียด
“คุณพระอาจ” แม่หญิงดารานิ่วหน้า
“ออกพระอาจอาสา…เพื่อนของพี่ขามน่ะ” เขาบอกก่อนจะคัดท้าย วาดหัวเรือเข้าไปเทียบท่าที่ศาลาของเรือนหลังนั้นทันที
เมื่อดาราเรศก้าวตามหลังชายหนุ่มขึ้นไปก็พบว่าที่ลานหน้าเรือนไทยหลังใหญ่มีผู้คนยืนมุงกันอยู่เต็มไปหมด ตรงกลางมีบุรุษหนุ่มและสตรีผู้หนึ่งกำลังร้องไห้ด้วยความเสียใจ ที่นอนคุดคู้อยู่เบื้องหน้าของผู้หญิงคือร่างไร้วิญญาณของเด็กชายคนหนึ่ง
“พ่อยอด…ฮือ ฮือ…พ่อยอด” ผู้เป็นมารดาร้องไห้คร่ำครวญ “ทำไมถึงเป็นเยี่ยงนี้ไปได้”
“ไหน พวกเอ็งเล่าให้ละเอียดสิว่าไปเจอลูกข้าได้อย่างไร” ผู้เป็นบิดาเสียงกร้าว เขากวาดสายตามองไปรอบๆ จนมาหยุดลงที่ออกหลวงกำแหงฤทธิรณ
“ในพุ่มไม้ริมคลองขอรับ” บ่าวคนหนึ่งรายงานปากคอสั่น “กระผมได้ยินเสียงดังแกรกกราก ได้ยินเสียงจ๊วบจ๊าบ เหมือนคนกำลังกินอะไรอย่างเอร็ดอร่อย แล้วก็เห็นพุ่มไม้สั่นไหว ท่าทางผิดสังเกตเลยเข้าไปดู ก็พอดีกับตัวอะไรก็ไม่รู้ขอรับ ตัวดำๆ ตะคุ่มๆ…กระโจนหนีออกไป พอแหวกพุ่มไม้ไปดูก็พบ…ก็พบคุณหนูอยู่ในนั้น”
“โธ่เอ๋ย….ลูกแม่ ทำไมเจ้าถึงเคราะห์ร้ายเยี่ยงนี้…” ผู้เป็นมารดาได้ยินเรื่องราวโดยละเอียดถึงกับทรงกายไม่อยู่ บ่าวผู้หญิงต้องช่วยกันประคองให้ไปนั่งพัก
“พี่อาจ” เสียงของออกหลวงหนุ่มเคร่งเครียด เขาเรียกชายหนุ่มเจ้าของบ้าน ดวงตาคู่คร้ามคมเต็มไปด้วยความกังวล
“พ่อเข้ม” เสียงของออกพระอาจอาสาสั่นสะท้าน ดวงตาของเขาที่มองแลเลยมาทางด้านหลัง เลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นแม่หญิงดารายืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้วย
“พี่อาจ” น้ำเสียงของออกหลวงหนุ่มสั่นไม่แพ้กัน “เป็นแบบนี้ได้อย่างไร”
“พ่อยอดเล่นอยู่กับเด็กๆแถวนี้” ออกพระอาจอาสากำหมัดแน่น “ครั้นพอตกเย็น เด็กๆแยกย้ายกันกลับไปกินข้าว แต่พ่อยอดกลับหายตัวไป ไม่กลับมากินข้าวเย็น ตะแรกฉันนึกว่าตามไปเล่นกับเพื่อน ให้คนไปเที่ยวตามหาก็ไม่พบตัว…จนมืดค่ำก็ยังไม่กลับมา ฉันเลยสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องเสียแล้ว เลยระดมบ่าวไพร่ช่วยกันตามหา จนไปเจอพ่อยอดเป็นแบบนี้…”
ออกหลวงกำแหงฤทธิรณเดินตรงไปยังร่างไร้วิญญาณของเด็กชายอายุราวสิบปี ดาราเรศขยับตามเขาไปติดๆ ชะเง้อมองดูสภาพศพตรงหน้าแล้วอดจะผงะถอยหลังด้วยความสะเทือนใจมิได้
ร่างเล็กนั้นขาวซีดจนเกือบเขียว สีหน้าและดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ มือสองข้างเกร็งแน่น แต่ที่สยดสยองที่สุดก็คือบริเวณหน้าท้องของศพถูแหวกเป็นช่อง ตับ ไต และอวัยวะภายในหายไป
กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณ ทำให้ออกหลวงกำแหงฤทธิรณถึงกับก้าวถอยหลังด้วยความสะเทือนใจ จนเกือบจะชนเข้ากับแม่หญิงดารา
เขาหันมาทางหญิงสาวด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นเมียไม่ได้ดูหวาดหวั่นอย่างที่ควรจะเป็น เขาเสียอีก…ที่ดูจะตระหนกตกใจมากกว่าเธอ
ดวงตาของออกหลวงหนุ่มมองภรรยาด้วยความแปลกใจ
นี่หรือแม่หญิงดาราผู้อ่อนแอและแบบบาง…
ท่าทางที่เธอจ้องมองศพของเด็กชายไม่ใช่แบบนั้นเลยสักนิด…
“ปอบ…ปอบกินพ่อยอด” เสียงใครบางคนพึมพำขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะกระซิบเรื่องปอบต่อๆกันไปด้วยความหวาดหวั่น
เปลวไฟจากไต้ในมือของบ่าวผู้ชายที่ยืนจับกลุ่มกันสะบัดไหวไปตามแรงลม มีคนประคองมารดาของผู้ตายขึ้นเรือนไปแล้ว เสียงร้องไห้โหยหวนของมารดาผู้สูญเสียบาดลึกไปในอก ขณะที่ออกพระอาจอาผู้เป็นพ่อของผู้ตายมีสีหน้าไม่ดีนัก สามีของเธอกำลังคุยอยู่กับเพื่อนรุ่นพี่ด้วยท่าทางหนักใจ บรรยากาศในเวลานั้นเต็มไปด้วยความหม่นเศร้า ระคนไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว
ไม่มีใครสนใจศพของหนูยอด ทุกคนมัวแต่ชุลมุนกับหน้าที่ของตน ยิ่งเห็นสภาพอันน่าอนาถตงหน้า เลือดนิติเวชในกายของดาราเรศก็ยิ่งเดือดพล่าน…เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ สภาพของศพที่เห็นมีอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติ
เธอสืบเท้าขึ้นไปข้างหน้า ก่อนจะคุกเข่าลงข้างร่างไร้วิญญาณ ใช้สายตามองไล่สำรวจขึ้นๆลงๆ ลองใช้มือเอื้อมไปจับบาดแผลริเวณหน้าท้องของเด็กชาย จากนั้นดาราเรศก็ลุกขึ้น แล้วเดินไปหาออกหลวงกำแหงฤทธิรณ เอื้อมมือไปสะกิดเขาแล้วว่า
“คุณพี่เจ้าคะ…”
“มีอะไร” เขาหันมาทางหล่อนรวดเร็ว
“มาทางนี้กับฉันหน่อยได้ไหม” เธอดึงแขนเขาให้มาที่ศพของเด็กชายด้วยกัน “ใครๆก็ว่าศพนี้ถูกปอบกินใช่หรือไม่”
“ตอนนี้ทุกคนเชื่อเช่นนั้น” เขาถอนใจเบาๆ “ศพอื่นๆที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนมานี้ ล้วนมีลักษณะเดียวกับหนูยอด”
“เวลาปอบกินคน…ปอบทำยังไงเจ้าคะ” เธอถามอย่างจะให้แน่ใจ ครั้นเมื่อเห็นสายตาสงสัยของอีกฝ่าย ก็รีบบอกเขาว่า “ฉันถามเพราะอยากรู้จริงๆ ไม่ได้จะกวนใจคุณพี่นะเจ้าคะ”
“ปอบเป็นผี มีเล็บแหลมยาว” คุณหลวงเข้มไม่เคยเห็นปอบเช่นกัน เขาอธิบายอย่างที่ได้ยินเล่ากันต่อๆมา “เวลากินคนก็ใช้มือแหวกท้อง แล้วก็ควักเอาตับ ไตไส้พุงไปกินนะสิ”
“แสดงว่าปอบไม่ได้พกมีด” ดาราเรศพยักหน้าด้วยความพอใจ
“แหงละ” น้ำเสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ปอบที่ไหนจะพกมีดมาชำแหละท้องเหยื่อ”
“ปอบรายนี้ไงเจ้าคะ”
แม่หญิงดาราชี้ไปที่แผลบริเวณหน้าท้องของเด็กชาย ขอบแผลเรียบไม่มีรอยรุ่งริ่งอย่างที่ควรจะเป็น
“คุณพี่ลองดูแผลให้ดีๆ…ถ้าปอบใช้เล็บมือแหวกท้องหนูยอดเพื่อกินอวัยวะภายในอย่างที่คุณพี่ว่าละก็ ขอบของแผลควรจะรุ่งริ่ง ไม่เรียบเหมือนโดยตัดด้วยของมีคมอย่างนี้หรอก…ใช่ไหมเจ้าคะ…”
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 30 : ขึ้นพระบาทกันไหมจ๊ะ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 29 : จ็อกๆ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 28 : รมณ์เสีย !
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 27 : ฤทธิ์รักไก่แช่เหล้า
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 26 : ผีผมจุกแย่แล้ว
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 25 : น้ำมนต์ของแม่หญิงดารา
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 24 : สะใภ้สารพัดพิษ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 23 : ฟาดมาฟาดกลับ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 22 : ความวัวยังไม่ทันจะหาย ความควายมาอีกแล้วเจ้าค่ะ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 21 : บุกบ้านญี่ปุ่น
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 20 : แม่หญิงผู้มีศัตรูทั่วพระนคร
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 19 : เด็กดื้อต้องโดนอะไรนะ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 18 : ทุกอย่างในโลกใบนี้ไม่มีบังเอิญ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 17 : เมียข้าอยู่ไหน
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 16 : ลอบทำร้าย
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 15 : คนนั้นก็น่าจะใช่ คนนี้ก็อาจจะใช่ แล้วใครกันล่ะ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 14 : น้ำปรุงขวดพิเศษ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 13 : แม่หญิงนาตาชา
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 12 : เมียข้าใครอย่าแตะ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 11 : ออกญาโชดึกราชเศรษฐี
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 10 : สนธิสัญญาผีกับคน
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 9 : จ๊ะเอ๋
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 8 : คุณหลวงเจ้าขา...ฉันกลัวเจ้าค่ะ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 7 : เดบิ้วต์แล้วก็ต้องไปต่อให้สุดสิเจ้าคะ
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 6 : ไม่เคยกินละสิ ของอร่อยแบบนี้ !
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 5 : ปะทะคุณหญิงแม่
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 4 : ได้เวลาเดบิ้วต์
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 3 : เมียในเงามืด
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 2 : แม่หญิงผู้นี้ มีศึกรอบด้าน
- READ คุณหลวงเจ้าขา...ข้ากลัวผี บทที่ 1 : ย้อนเวลา...มันไม่ได้มีแต่ในนิยายเหรอ