ละเล่นลานรัก บทที่ 34 : สุดแสนเสียดาย

ละเล่นลานรัก บทที่ 34 : สุดแสนเสียดาย

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

ไขศิลป์ไม่คิดเลยว่าถ้าวันนั้นไม่มีพี่สาวข้างบ้านยื่นมือมาช่วยเหลือกัน เขาจะเป็นอย่างเช่นทุกวันนี้หรือไม่

นี่เป็นการออกไปดีลงานด้วยตัวเองครั้งแรกหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย จนได้งานทำสมใจหมายโดยไม่ต้องให้เพื่อนสนิทเป็นนายหน้าไปหางานมาให้กัน

แต่กว่าจะถึงวันนี้ได้ เขาต้องผ่านเหตุการณ์ทดสอบจิตใจหลายๆ อย่างพร้อมทั้งมีเธอเข้ามาในชีวิต

ตอนแรกเพื่อนชายจะขอไปด้วยกันเพราะกลัวเขาจะหันหลังแล้วหนีกลับเข้าบ้านระหว่างทาง แต่เหมือนโชคชะตาคงอยากจะให้เขาทำได้ด้วยตัวเอง อยู่ดีๆ ฐานินก็มีงานด่วนต้องไปจัดการให้เรียบร้อย เขาจึงต้องไปดีลงานเพียงลำพัง

แม้อาการกลัวปนหวาดระแวงอาจเกิดขึ้นเหมือนอดีตที่จำฝังใจนั้นจะมีอยู่น้อยนิดราวกับเถ้าถ่านที่ไฟยังมอดไม่สนิทดี เพียงได้ลมพัดกระพือก็พร้อมจะกลายเป็นเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาเผาไหม้สิ่งต่างๆ ได้อีก แต่เขาพยายามควบคุมความกลัวนั้นไว้โดยการปรับความคิดและไม่นึกถึงสิ่งใดๆ นอกจากการได้งานทำกับได้เงิน สายลมที่จะพัดให้ไฟโหมกระหน่ำภายในใจจึงไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แม้จะรู้สึกว่าความหวั่นกลัวยังไม่หายไปหมดจดก็ตาม

ถ้าเขาเลือกที่จะมองทุกอย่างให้เป็นไรฝุ่นก็จะเห็นเป็นไรฝุ่น ต่างจากเมื่อก่อนที่เขามัวจะมองเห็นเป็นช้างตัวใหญ่โตจึงไม่กล้าออกไปยืนอยู่ในสังคมที่ให้คนหลายคนมองผ่านเพียงชั่วครู่ชั่วยาม

บางสถานการณ์ที่จำเป็นต้องพูดคุยกับคนแปลกหน้าก็ต้องยอมให้อีกฝ่ายจ้องมองซึ่งอาจมีสายตาเพื่อประเมินตัวเขา แต่เกือบทุกคนก็ไม่ได้มองหาจุดผิดเพื่อทำให้เขาต้องอับอายขายหน้าตามความคิดที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งจางหายไปเมื่อได้ร่วมเล่นกิจกรรมการละเล่นไทยกับผู้คนมากหน้าหลายตา

ไขศิลป์จะเก็บเรื่องน่ายินดีไปบอกเธอด้วยตัวเอง ก่อนที่เธอจะรู้จากปากมารดาหรือเพื่อนของเขา

ระหว่างทางที่ก้าวขาเดินเข้าไปในซอยเพื่อกลับสู่บ้านของตน เขายังครุ่นคิดจะบอกเธอตอนไหนดีกว่ากัน แต่มีบางอย่างปัดความคิดในเรื่องนั้นไป เมื่อความสนใจของเขาพุ่งตรงไปที่หน้าบ้านของเธอ

รถตู้หนึ่งคันจอดนิ่งสนิท หากไม่ใช่เพราะรถตู้คันนั้นที่เห็นจนต้องยกมือขึ้นขยี้ตา แต่เป็นเพราะเขาเห็นเธอออกมาจากรถตู้

ตอนแรกไขศิลป์เข้าใจว่าเธอคงติดงานในคลินิก ทว่าพอได้เห็นชุดที่เธอสวมใส่จึงได้รู้ว่าเขาคิดผิดถนัด

ปรียานุชสวมชุดสีขาว กระโปรงยาวระพื้นจนต้องใช้มือถกขึ้นมาเมื่อยืนอยู่ข้างรถตู้ เขามองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นชุดเจ้าสาว

หากที่ทำให้ต้องอึ้งอย่างต่อเนื่องก็คือผู้ที่ออกมายืนนอกรถตู้ต่อจากเธอ

แม้เขาจะยังไม่เดินเข้าไปใกล้นัก แต่พอจะมองออกว่าเป็นฉัตรพงษ์ซึ่งสวมชุดสูทสีขาวไม่ต่างจากชุดของผู้เป็นเจ้าบ่าวนั่นเอง

ใครที่ผ่านไปผ่านมาคงเข้าใจไม่ต่างกันว่าสองคนนั้นกำลังจะจับมือกันเข้าสู่ประตูวิวาห์ในเร็ววัน

ไขศิลป์ก็คิดเช่นนั้น

หรือเป็นเพราะเธอได้เลือกผู้มาใหม่จึงปฏิเสธที่จะสานสัมพันธ์กับแฟนเก่า

เขายืนรอให้หญิงสาวเดินเข้าไปในบ้านเสียก่อน แล้วค่อยเดินผ่านหน้าบ้านของเธอ

แต่ก่อนที่ปรียานุชจะก้าวขาเข้าไปด้านในก็หันมาเห็นเขาพอดี

ไขศิลป์รีบก้มหน้ามองพื้นทำเป็นยังมองไม่เห็นเธอ

ปรียานุชส่งเสียงเรียกเขา ขณะเดียวกันมือสองข้างยังจับกระโปรงทรงสุ่มไม่ให้ชายผ้าระพื้น ก้าวขามาใกล้เขา

“ศิลป์ไปคุยงานมาใช่ไหม เป็นยังไงบ้าง”

เขายังก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมตอบคำถามของเธอซึ่งรู้ว่าวันนี้ก็เป็นวันสำคัญของเขาที่จะใช้พิสูจน์ตัวเองกับผลที่ได้ลองร่วมเล่นการละเล่นไทย

“เป็นอะไรหรือเปล่า หรือออกไปข้างนอก ยังกลัวที่จะสู้หน้ากับใครอยู่” เธอยังถามด้วยความห่วงใย

ไขศิลป์ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอกังวล นอกจากไม่ทันตั้งตัวกับสิ่งที่ได้เห็น

ช่างรวดเร็วเกินไปกับการตัดสินใจของเธอสำหรับการเลือกคู่ครอง

หรือเป็นเพราะเขาเองที่รู้หัวใจตัวเองช้าเกินไปจึงไม่มีโอกาสจะใช้เวลาพิชิตใจของเธอ

หนึ่งความรู้สึกที่เกิดขึ้นยามนี้คือสุดแสนเสียดายที่คนสวมชุดเจ้าบ่าวซึ่งเดินมาหยุดยืนข้างเธอนั้นไม่ใช่ตน

เขาเงยหน้ามองคนทั้งสอง หากสีหน้ายากที่จะแย้มยิ้มเพื่อแสดงความยินดี

ไขศิลป์คิดจะหนีให้พ้นจากสถานการณ์ตรงหน้า เมื่อตั้งหลักได้จึงรีบออกตัววิ่งเร็วรี่ พุ่งตรงเข้าสู่บ้านของตัวเองทันทีโดยไม่ตอบคำถามของเธอเลยสักคำเดียว

ปรียานุชยังข้องใจกับท่าทีของเขา แม้จะเดินเข้าบ้านพร้อมกับฉัตรพงษ์แล้วก็ตาม เธอจะต้องหาโอกาสสอบถามเขาเพื่อจะได้ช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นทันท่วงที

พอเขาเข้าไปในบ้านของตนก็ยืนพัก หายใจหอบเหนื่อยอยู่ตรงประตู

บางทีคำว่ารักของคนบางคนก็กำเนิดขึ้นให้เห็นเด่นชัด ในตอนที่รู้ว่าสูญเสียคนที่หลงรักให้แก่ผู้อื่นไปเป็นที่เรียบร้อย

ไขศิลป์รู้แน่ชัดว่ารักปรียานุช แต่ไม่อาจครอบครองมาเป็นของตน

พี่สาวข้างบ้านยังคงเป็นเพียงพี่สาวต่อไป ไม่อาจพัฒนาเป็นฐานะใหม่ที่ตรงใจเขา

ศศิเดินออกจากห้องนั่งเล่น ยืนเมียงมองตรงทางเข้าออก หลังจากรับรู้ว่ามีคนเข้ามาในบ้านก็เอ่ยทักเมื่อเห็นบุตรชาย

“วิ่งหนีอะไรมาหรือเปล่าลูก หรือยังกลัวอยู่ แม่เห็นหายไปนานนึกว่าจะไปคุยงานได้แล้วเสียอีก”

เขาตอบคำถามของมารดาโดยการส่ายศีรษะเพราะยังเหนื่อยหอบ จนพูดออกมาได้ก็ถามขึ้นทันที

“พี่ปรีจะแต่งงานแล้วเหรอแม่”

“ศิลป์ไปเอาข่าวนี้มาจากไหน แม่ยังไม่ได้ยินใครพูดถึงเลย แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่เคยบอกแม่นะ”

ไขศิลป์ไม่ได้ขยายความให้มารดาเข้าใจไปมากกว่านั้น เมื่อเธอยังไม่ได้แจ้งข่าวดีกับใครๆ ก็รอให้เธอมาเรียนเชิญด้วยตัวเองน่าจะดีกว่า

“ผมขอขึ้นไปนอนพักในห้องก่อน วันนี้มีแต่เรื่องน่ายินดีทั้งนั้นเลย” เขาพูดจบก็รีบก้าวขาตรงไปที่บันไดเพื่อมุ่งสู่ห้องนอนตัวเอง หากยังทิ้งท้ายให้มารดาได้รู้ว่าการออกไปดีลงานของเขานั้นประสบผลอย่างที่ตั้งใจไว้

แต่เหตุการณ์ล่าสุดที่ได้พบต่อหน้าต่อตาจะเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับเขาหรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย

ภายในห้องนอน ไขศิลป์ปล่อยเวลาให้ผันผ่านไป เขาจมอยู่กับความคิดคำนึงปะปนความเสียดายที่คนที่เธอเลือกนั้นไม่ใช่เขา

คนเราเมื่อคิดจะยื่นมือไปคว้าไว้ก็มีแต่ความว่างเปล่าให้ได้เจอ เพราะมีคนมาคว้าไปก่อนแล้ว

เสียงคนพูดคุยกันจากบ้านข้างเคียงลอยผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ ส่วนใหญ่ที่เขาพอจับใจความได้ก็เป็นเสียงเด็กผู้หญิงซึ่งพอจะรู้ว่าเป็นหลานสาวของเธอ

“น้าปรีใส่ชุดนี้สวยจังเลยค่ะ เหมือนนางฟ้าในนิทานที่น้องดรีมเคยอ่าน”

ด้วยถ้อยคำที่ได้ยินเมื่อสักครู่ทำให้เขาต้องออกจากภวังค์ความคิด ลุกขึ้นยืน เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่าง ชะโงกหน้าออกไปมอง เป็นจังหวะเดียวกับที่เธอหันมาทางหน้าต่างห้องนอนของเขาพอดิบพอดี

ภาพที่ได้เห็นคือเธอยังอยู่ในชุดเจ้าสาวชุดเดิมและยังมีฉัตรพงษ์ยืนอยู่เคียงกัน หากฝ่ายชายก้มหน้าไปคุยกับเด็กผู้หญิงแล้วออกท่าออกทางขำขันกันสองคน

อยู่ดีๆ อารมณ์ของเขาก็เริ่มขุ่นมัว นึกโกรธเคืองที่เธอไม่เคยแย้มพรายบอกกันบ้างเลยว่าวันนี้จะถ่ายรูปใช้สำหรับเป็นภาพประกอบในวันแต่งงาน

ถ้าเขาไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเธอคิดจะบอกกันตอนไหน คงใกล้ถึงวันจริงเขาจึงได้รู้แน่นอน คำถามที่หาคำตอบให้ตัวเองได้เสร็จสรรพ หากยังไม่วายหาเหตุผลมาส่งเสริมคำตอบนั้นจนทราบว่าอาจไม่ใช่คนสำคัญ เธอจึงไม่คิดจะบอกให้รู้กันก่อนบ้างเลย เพราะเขาเป็นเพียงน้องชายที่อยู่ข้างบ้านไม่ใช่คนในครอบครัวของเธอ

เหตุผลมากมายที่สรรหามาอธิบายกับสิ่งที่เกิดขึ้นก็สร้างความไม่พอใจให้คุกรุ่นในอารมณ์

ไขศิลป์ปิดบานหน้าต่างเสียงดังราวกับไม่อยากมองเห็นภาพว่าที่บ่าวสาวยืนชิดติดกันจนต้องแสลงใจ ทว่าต่อให้มีอะไรมาปิดกั้นไม่ให้มองเห็น แต่ภาพเธอในชุดเจ้าสาวก็ยังติดตา พร้อมทั้งย้ำเตือนให้เขารู้ว่าเจ้าบ่าวที่เธอเลือกนั้นคือฉัตรพงษ์

คนที่เป็นแค่น้องชายคงจะทำได้เพียงรอร่วมยินดีไปกับคนทั้งสอง ในวันที่ว่าที่บ่าวสาวจูงมือกันมาเชิญร่วมงานมงคล

แม้เพิ่งรู้ว่าหลงรักผู้ที่ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นหมดทั้งใจก็สายไปเสียแล้ว

ชีวิตคนเราอาจจะโชคดีในเรื่องการงาน แต่อับโชคในด้านความรักก็เป็นได้



Don`t copy text!