ละเล่นลานรัก บทที่ 36 : คุยกันแบบเปิดอก รับฟังแบบเปิดใจ

ละเล่นลานรัก บทที่ 36 : คุยกันแบบเปิดอก รับฟังแบบเปิดใจ

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

ปรียานุชอยู่ในชุดเจ้าสาวชุดสุดท้ายของวันนี้ที่ได้สวมใส่เพื่อให้ช่างภาพถ่ายรูปของเธอที่ยืนเคียงข้างแนบชิดกับผู้ที่ใส่ชุดเจ้าบ่าวเสมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามัน รวมทั้งพี่สาวมักจะคอยบิลต์อารมณ์ให้นายแบบและนางแบบคิดว่าเป็นคนรักที่กำลังจะจูงมือกันเข้าประตูวิวาห์ทั้งที่ไม่เป็นความจริง

เธอพยายามยิ้มแย้มเพื่อให้พี่สาวได้ภาพตามต้องการ

ส่วนฉัตรพงษ์นั้นยิ้มมาจากใจจริง เมื่อนึกถึงภาพอนาคตที่มีตัวเธอเป็นเจ้าสาวของตนจริงๆ เพราะดูจากท่าทีคนในครอบครัวของเธอต่างยินดีที่จะให้ตนเป็นเขยคนเล็กของบ้าน หากติดขัดเพียงเรื่องเดียวคือปรียานุชนั้นเหมือนจะไม่มีใจตรงกันเลย

เมื่อการถ่ายภาพเสร็จสิ้น เธอได้ขอตัวจากพี่สาวมานั่งพัก ปล่อยให้เปรมยุดาพาลูกสาวเดินไปดูสวนดอกไม้ที่ใช้เป็นสถานที่สุดท้ายในการถ่ายรูป

“เป็นยังไงบ้างน้องปรี เหนื่อยไหม” ฉัตรพงษ์ซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลจากเธอเอ่ยถาม

“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ แต่เมื่อยปากมากกว่าที่ต้องยิ้มเกือบทุกรูป” เธอบอกไปตามความจริง

“มันฝืนใจเกินไปใช่ไหมที่มีพี่เป็นเจ้าบ่าวในวันนี้” ฉัตรพงษ์รู้ตัวดีว่าเธอคิดต่อกันเช่นไร

“ปรีไม่ได้ฝืนใจขนาดนั้นหรอกค่ะ มันเป็นงานที่รับปากพี่เปรมไว้แล้วนี่คะ ต้องทำให้ผ่านไปได้ด้วยดี แค่ยังตั้งตัวไม่ทันที่ต้องมาถ่ายรูปกับเจ้าบ่าว นึกว่าจะมีแค่ภาพสวมชุดเจ้าสาวคนเดียว” เธอยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่าย แม้ใจจะไม่ได้นึกรังเกียจ แต่จะให้คิดรักใคร่กันฉันคู่ชีวิตก็คงไม่ได้

“น้องปรีไม่คิดถึงวันที่ต้องสวมชุดเจ้าสาวในพิธีแต่งงานของตัวเองบ้างเหรอ” ฉัตรพงษ์ยังชวนคุยต่อ

“เคยคิดค่ะ แต่ตอนนี้ไม่ได้คิดหวังอะไรแล้ว ถ้าเกิดขึ้นได้จริงๆ ปรีก็ดีใจ แต่ถ้าไม่เกิดขึ้นก็ไม่เป็นไร ใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขเช่นกันค่ะ”

เธอเคยคิดถึงการแต่งการแต่งงาน หากพลาดหวังเพราะฝ่ายชายนั้นมีใจไม่มั่นคงต่อกันมากพอ

“พี่ก็เคยหวังแต่งงานกับผู้หญิงที่พี่สนใจทุกคนเลยนะ แต่อย่างว่าแหละ คนเราไม่ได้เกิดมาคู่กัน สักวันก็ต้องเลิกรา” ฉัตรพงษ์เงียบปากไว้แค่นั้น เมื่อเธอไม่ได้เอ่ยต่อก็พูดขึ้นมาอีก “ถ้าพี่ถามตรงๆ ว่าคิดยังไงกับคนอย่างพี่ น้องปรีบอกกันได้ไหม”

เธอชอบคุยแบบเปิดอกเพื่อให้เข้าใจกัน ดีกว่าซ่อนเร้นไว้จนไม่เคยเข้าใจกันบ้างเลย

“ปรีรู้นะคะว่าคุณฉัตรสนใจปรี แต่ปรีก็รู้หัวใจตัวเอง สำหรับคุณฉัตร ปรีให้ได้แค่ความเป็นพี่เป็นน้อง ไม่มีอะไรพิเศษไปมากกว่านั้น ขอโทษด้วยนะคะที่ปรีไม่ได้คิดเหมือนที่คุณฉัตรคิดกับปรี”

หากอีกฝ่ายเข้าใจกันได้ง่ายก็จะไม่ต้องยืดเยื้อให้เสียเวลา พอหลังจากรับรู้ถึงความรู้สึกแท้จริงที่มีให้แก่กันอาจจะพูดคุยกันได้สนิทใจมากกว่านี้

เธอคงคุ้นชินกับการบอกเล่าเรื่องราวไปตามความจริงที่ออกมาจากปากของผู้ปกครอง จนหลายครั้งเธอก็ชอบพูดตรงไปตรงมาเพื่อให้ผู้ปกครองเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็นได้ เธอจึงนำการพูดคุยกันแบบไม่อ้อมค้อมมาใช้สำหรับหลายเรื่องราวในชีวิต อย่างเช่นเรื่องของหัวใจและความรู้สึกที่มีต่อชายหนุ่มทั้งสองคือคนตรงหน้าและคนที่เป็นได้แค่เพียงเพื่อนของเธอ

“น้องปรีไม่ต้องขอโทษพี่หรอก ดีแล้วที่บอกพี่ให้รู้ พี่จะได้สบายใจกับการเข้าหาน้องปรีมากกว่านี้ พี่ต้องขอบคุณน้องปรีมากกว่าที่ให้โอกาสพี่ได้ลองพูดคุยกันบ้าง” ฉัตรพงษ์ยิ้มให้เธอ หากยังมีอีกหนึ่งคำถาม “ถ้าอนาคตจะเป็นไปได้ไหม ที่ตอนนี้เป็นได้แค่พี่น้องแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นมากกว่านั้น”

แม้เรื่องอนาคตจะคาดเดาได้ลำบาก แต่เธอก็รู้ใจตัวเองมากพอ “คุณฉัตรลองมองหาผู้หญิงที่สามารถรักคุณฉัตรในแบบที่คุณฉัตรเป็นอย่างนี้ ดีกว่าจะมาเสียเวลากับคนอย่างปรีนะคะ”

ฉัตรพงษ์หัวเราะออกมาเสียงดัง หลังจากรับฟังคำตอบของเธอโดยไม่ต้องเสียเวลาทวนทบความรู้สึกในใจ “ขอบคุณนะที่ยังถนอมน้ำใจกับพี่ ตอนแรกพี่คิดว่าน้องปรีจะบอกว่าอย่าหวังให้เป็นมากกว่านั้นเลย แต่ถึงน้องปรีไม่พูดกับพี่อย่างนั้น แค่บอกให้พี่ลองมองคนอื่นก็น่าจะความหมายเดียวกัน แต่พูดให้ดูดีเท่านั้นเอง”

ปรียานุชยิ้มน้อยๆ เมื่ออีกฝ่ายทราบแล้วว่าเธอนั้นปิดทุกหนทางที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกัน “คุณฉัตรโกรธกันไหมคะที่ปรีพูดออกไป”

“พี่ไม่โกรธหรือไม่เสียใจเลยที่เราได้มานั่งคุยกันแบบนี้ พี่ดีใจซะอีก เพราะพวกเราก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว คุยกันตรงๆ ด้วยเหตุและผล ถ้ามีโอกาสไปด้วยกันได้ก็เดินหน้าต่อ แต่ในทางกลับกัน ถ้ารู้แล้วว่าไม่มีทางจะเป็นอย่างที่หวังเลย จะฝืนไปต่อทำไมล่ะ จะเสียความรู้สึกกันทั้งสองฝ่าย พี่ชอบนะที่เราพูดคุยกันตรงๆ อย่างนี้ ดีกว่าเก็บไว้แล้วไม่บอกกันเลย”

“ปรีคิดว่าการเปิดใจคุยกันตรงๆ เป็นเรื่องดีกับทั้งสองฝ่าย จะได้รู้แน่ชัด ไม่ต้องมาหวังอะไรในทางที่เป็นไปไม่ได้เลย” เธอแสดงความเห็นของตัวเอง

“ถ้าในฐานะของพี่ชาย หากไม่ละลาบละล้วงจนเกินไป พี่ขอถามได้ไหม น้องปรีจะกลับไปคบกับแฟนเก่าเหรอ แต่พี่คิดว่าตอนนี้ฝ่ายนั้นแค่ต้องการเราก็ยอมทำทุกอย่างได้ พอได้ดังใจแล้ว อาจจะเป็นเหมือนเดิมก็ได้นะ เสือมันไม่เคยสิ้นลายหรอก ถ้าเคยเป็นเสือมาก่อนคงไม่มีทางเป็นแมวได้”

เธอรู้ถึงความหวังดีที่ฉัตรพงษ์มีให้แก่กัน อีกฝ่ายคงไม่รู้ว่าเธอพูดคุยกับเอกลักษณ์เรียบร้อยดีแล้ว เพราะเธอยังไม่มีโอกาสบอกเล่าเรื่องเอกลักษณ์ให้พี่สาวได้รับรู้

“กับเอกน่ะเหรอคะ ปรีให้ได้แค่ความเป็นเพื่อนเท่านั้นพอค่ะ” ปรียานุชสรุปง่ายๆ สั้นๆ ให้คนฟังตีความเอง

“พี่คิดไว้อยู่แล้วเชียว คนชนะในการละเล่นวันนั้น คงชนะในความจริงด้วยสิ” ฉัตรพงษ์หัวเราะออกมา เมื่อเค้าลางบางอย่างเริ่มตรงกับสิ่งที่คาดการณ์ไว้

“คุณฉัตรจะบอกอะไรปรีเหรอคะ” เธอยังไม่เข้าใจในคำกล่าวนั้น

“ก่อนพี่จะบอกอะไรให้รู้มากกว่านี้ อย่างแรกถ้าเราสองคนจะเป็นพี่น้องกันได้จริง น้องปรีเรียกพี่ว่าพี่ก่อนดีกว่า อย่าเรียกพี่ว่าคุณฉัตรเลย ฟังแล้วมันเหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน”

เธอพยักหน้ารับทราบคำของอีกฝ่าย จากนั้นก็นั่งฟังฉัตรพงษ์สาธยายต่อไป

“พี่พอจะรู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ไปร่วมเล่นกันที่บ้านหลังนั้นแล้วว่าน้องปรีสนใจใคร น้องปรีคงไม่รู้ตัวหรอกว่าสนใจคนบางคนที่มักจะมองไปทุกครั้งยามไม่ได้คุยกับใคร แต่พี่ที่เฝ้าดูน้องปรี พี่เห็นว่าน้องปรีมองคนนั้นออกจะบ่อยเกิน น้องปรีอาจจะมองด้วยความห่วงใยหรืออะไรก็ตามแต่ แต่คนคนนั้นอยู่ในสายตาของน้องปรีตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ จนพี่ยากที่จะให้น้องปรีมองเห็นกันบ้าง ต่อให้พี่พยายามแค่ไหน พี่ก็คงไม่ชนะอยู่ดีนั่นแหละ แต่พี่ก็ยังหวังจนมาถึงวันนี้ที่ได้รู้ใจจริงของน้องปรี พี่ไม่บอกนะว่าคนนั้นเป็นใคร น้องปรีน่าจะรู้ด้วยหัวใจของน้องปรีเอง”

“ขอบคุณนะคะพี่ฉัตร” ปรียานุชรู้ตัวเองดีว่ามองเห็นใครที่อยู่ในใจตน

“ที่น้องปรีปฏิเสธใครต่อใคร น้องปรีอาจจะไม่รู้ตัวเลยก็ได้ว่ามีคนที่อยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว จึงรับใครเข้าไปไม่ได้อีก นี่แหละคือรางวัลของผู้ชนะที่แท้จริงและเหมาะสมกับตำแหน่งผู้ชนะ”

ผู้ชนะที่อีกฝ่ายกล่าวถึง เธอรู้อยู่เต็มอกว่าคือผู้ใด

ก่อนฉัตรพงษ์จะผละห่างจากเธอไป ยังพูดขึ้นอีก “พี่ขอตัวไปเดินปลดปล่อยอารมณ์สักหน่อยนะ จะได้เป็นกันเองมากขึ้นตอนกลับไปนั่งกินข้าวด้วยกัน”

“อย่าลืมมาเล่นด้วยกันอีกนะคะพี่ฉัตร” เธอบอกไล่หลังให้คนที่ก้าวขาห่างออกไปนั้นได้ยิน แม้จะไม่หันหน้ามารับปากกัน แต่ฉัตรพงษ์ยกแขนขวาขึ้นมาทำมือโอเคเพื่อตอบรับคำของเธอ

ปรียานุชนั่งมองอีกฝ่ายเดินไปยังสวนดอกไม้ พร้อมทั้งความสบายใจจนแย้มยิ้มขึ้นมาได้เมื่อคิดว่าชีวิตนี้มีพี่ชายแสนดีอีกหนึ่งคน

หากยิ้มนั้นก็กว้างมากขึ้นอีก ยามรับรู้หัวใจตัวเองซึ่งมีแค่คนคนเดียวตั้งแต่ที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือ จึงไม่เปิดรับใครคนใดให้เข้ามาในใจได้เลย ไม่ว่าจะเป็นคนเก่าที่หวนมาคืนดีกันหรือจะเป็นคนใหม่ที่เพิ่งจะได้รู้จักกันไม่นาน

คนที่ใจเธอผูกพันแท้จริงคือคนที่มองเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ และความห่วงใยที่มีให้อีกฝ่ายก็ทำให้ความรักงอกเงยในหัวใจราวกับได้ปุ๋ยชั้นดี จนรู้ตัวอีกทีดอกรักก็เบ่งบานพร้อมที่จะเด็ดมาเชยชม

การได้ลองทำงานที่ไม่เคยทำมาก่อนในวันนี้ เธอค้นพบคนในหัวใจเด่นชัด

พอกลับมาถึงบ้าน ทุกคนนั่งรับประทานอาหารร่วมกันตามความประสงค์ของเปรมยุดา เธอยังเดินไปชวนไขศิลป์เพื่อให้ได้มาเห็นความจริงที่เกิดขึ้น แต่เขาไม่ยอมพูดคุยกับเธอ มัวแต่ขลุกตัวอยู่ในห้องนอน ก็ยิ่งสร้างความข้องใจกับพฤติกรรมของเขา

ปรียานุชคาดว่าในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันหยุดจากการทำงาน คงมีเวลามากพอที่จะคลายความสงสัยที่มีต่อตัวเขาได้ไม่มากก็น้อย

เธอจะทำเช่นไรเพื่อให้เขาเผยความรู้สึกแท้จริงในใจที่มีต่อกัน

เมื่อคืนเธอหลับไปพร้อมกับคำถามมากมายที่ยังคงหาคำตอบไม่ได้ว่าเหตุใดเขาต้องทำตัวเหมือนไม่อยากเจอหน้ากัน หรือแม้แต่จะพูดจากันสักคำก็ยังไม่มี ทั้งที่พูดคุยกันด้วยดีมาตลอด

หลังจากตื่นนอนตอนเช้า เธอรีบออกไปยังหน้าบ้านของตัวเองเพื่อจะได้เจอเขาเหมือนทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เขาจะเดินมาคุยกับเธอ แต่วันนี้รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นหน้าค่าตาของเขาเลยแม้แต่น้อย

ปรียานุชชะโงกหน้าไปดูในบ้านของเขาก็ยังไร้วี่แววจะออกมาหากัน จนได้พบบิดาของเขาซึ่งกำลังจะไปทำงาน เธอรู้เพียงแค่ว่าเขาอยู่ในบ้านตามปกติจึงเกิดความสงสัยมากยิ่งขึ้น

ทำไมไขศิลป์ทำตัวไม่เหมือนก่อน

หรือเขาจะกลับไปเป็นดังเดิมที่ไม่อยากออกมาพบหน้าใครโดยเฉพาะคนอย่างเธอ

เธอเดินคอตกเข้าไปในบ้าน เมื่อไม่เป็นอย่างที่หวังจึงคิดทำอะไรสักอย่างเพื่อพูดจาให้เขาเข้าใจกันสักที

หลังจากนั่งรับประทานอาหารเช้ากับบุพการีเสร็จสิ้น ปรียานุชขอตัวไปบ้านข้างเคียงโดยด่วนราวกับกลัวเขารีบออกจากบ้านก่อนจะได้พบหน้ากัน

เธอเจอศศิที่เดินออกมานอกบ้านเข้าพอดี

“หนูปรีจะมาหาลูกชายของน้าเหรอ” ผู้เป็นเจ้าของบ้านทักขึ้น

“ใช่ค่ะ วันนี้ศิลป์ไม่อยู่บ้านเหรอคะ ตอนเช้าไม่เห็นออกมานั่งรับลมด้วยกันเลย” เธอชวนคุย

“วันนี้ศิลป์ทำตัวแปลกๆ จนน้าอดเป็นห่วงไม่ได้ นี่ยังไม่ยอมออกมาจากห้องเลย ทั้งที่เมื่อก่อนจะออกมาคุย มานั่งกินข้าวด้วยกัน”

“เมื่อวานศิลป์ไปเจออะไรมาหรือเปล่าคะ ตอนที่ออกไปคุยงาน”

“ศิลป์ยังไม่เล่าให้น้าฟังเลย นี่น้าก็รอฟังเหมือนกันว่าได้งานทำไหม แต่คงเป็นเรื่องดีนะ เท่าที่ได้ยินผ่านๆ เมื่อคืน”

หรือที่เขาเป็นอยู่ในขณะนี้อาจจะเป็นเพราะงาน ไม่ใช่เพราะเธอ

ปรียานุชยังถามต่อด้วยความห่วงใย “เช้านี้น้าศิไปดูศิลป์มาบ้างหรือยังคะ”

“น้าไปดูมาแล้ว ก่อนเดินออกมานอกบ้านนี่แหละ แต่ก็ยังแปลกอยู่ดีนะ” ศศิเว้นช่วงไว้แค่นั้น จนเธอมีสีหน้าเป็นคำถามว่าแปลกยังไง ศศิจึงไขความกระจ่าง “ศิลป์บอกกับน้าว่าอย่าให้ใครไปรบกวนที่หน้าประตูห้องนอนอีก เพราะจะใช้สมาธิในการทำงาน พูดเหมือนรู้เลยว่าหนูปรีจะมาหา”

แล้วจะมีสาเหตุใดที่ทำให้เขาไม่อยากพบกัน จนป่านนี้เธอก็ยังนึกไม่ออก

“วันนี้ปรีไม่เข้าไปรบกวนศิลป์ดีกว่าค่ะ”

ก่อนเธอหันหลังเพื่อกลับบ้านตัวเอง ศศิก็เอ่ยขึ้น

“รบกนรบกวนอะไรกัน คนกันเองทั้งนั้น จะเข้าไปหาศิลป์ก็ได้ อย่าไปถือสาคำที่ศิลป์บอกกับน้าเลย น้าแค่เล่าให้ฟัง”

“ศิลป์คงอยากมีเวลาอยู่กับตัวเอง เรื่องที่จะพูดกับศิลป์ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรือเร่งด่วนอะไร ไว้ค่อยคุยกันวันอื่นได้ค่ะ”

ปรียานุชเดินเข้าบ้านของตนไป จากนั้นก็ก้าวขาไปยังบริเวณข้างตัวบ้านในด้านที่ติดกับห้องนอนของเขา

เธอแหงนคอมองดูบานหน้าต่างที่ถูกเปิดค้างไว้ ครุ่นคิดหาวิธีการที่จะพูดคุยกับเขาให้ได้ เพราะไม่อยากปล่อยไว้ให้ค้างคาใจจนกลายเป็นความไม่เข้าใจกันไปมากกว่านี้

ในที่สุดเธอก็ค้นพบหนทางที่จะคุยกับเขา แต่ต้องมีตัวช่วยเพื่อให้ติดต่อสื่อสารกับอีกฝ่ายได้ หากไม่ใช่การใช้โทรศัพท์เพราะเขาไม่ยอมรับสายของเธอเลยตั้งแต่เมื่อวาน

ปรียานุชเดินเข้าในตัวบ้านหยิบสิ่งที่ต้องการ หากยังไม่เพียงพอที่จะติดต่อถึงกันได้ เธอจึงต้องเดินออกไปบริเวณลานหน้าบ้าน หยิบอีกหนึ่งอย่างในกระถางต้นไม้มาหนึ่งกำมือ ก่อนจะไปยืนแหงนหน้ามองหน้าต่างห้องนอนของเขา

จากนั้นปรียานุชก็เริ่มทำในสิ่งที่อยู่ในความคิดเพื่อจะได้คุยกับเขาให้สิ้นสงสัย



Don`t copy text!