ละเล่นลานรัก บทที่ 9 : ปัญหาเกินกว่าหนึ่ง

ละเล่นลานรัก บทที่ 9 : ปัญหาเกินกว่าหนึ่ง

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

บ้านปูนสองชั้นทั้งสองหลังนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ตั้งห่างกันเพียงแค่ก้าวขาลัดเลาะไปตามทางเดินที่อยู่ด้านข้างก็สามารถเดินถึงกันได้โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย กำแพงปูนล้อมรอบบ้านสองหลังไว้ในอาณาเขตเดียวกัน บ่งบอกให้รู้ว่าพื้นที่นี้ถือครองกรรมสิทธิ์แค่เพียงผู้เดียว เป็นเหตุให้ต้องใช้ประตูทางเข้าออกเดียวกัน แล้วค่อยไปตามเส้นทางซ้ายหรือขวาเพื่อไปถึงตัวบ้านแต่ละหลัง

โสมส่องนั่งอยู่ในบ้านของตนซึ่งมีแม่บ้านเพียงคนเดียวคอยทำงานหน้าที่ทุกอย่างภายในบ้าน หากดูแลบ้านหลังนี้เป็นหลักและไม่เคยไปยุ่มย่ามในบ้านอีกหลัง ถ้าไม่ได้รับคำสั่ง

เวลานี้คนเป็นแม่บ้านคงวุ่นกับการงานบนชั้นสอง โสมส่องจึงต้องรับหน้าที่หาน้ำดื่มมาให้ลูกสาวที่หายหน้าหายตาไปหลังจากส่งตัวหลานชายถึงมือผู้เป็นยาย

พอเห็นบุตรสาวก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงบ้านที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน เกือบสองอาทิตย์แล้วที่บ้านหลังนั้นไม่เคยเปิดไฟให้เห็นความสว่างในยามค่ำคืน เพราะไม่มีใครอาศัยภายในบ้าน

เมื่อนึกถึงครอบครัวบุตรสาว โสมส่องก็ทอดถอนใจโดยไม่รู้ตัว ยิ่งเห็นการกระทำของสิตางค์ที่ส่งมือถือให้ลูกชายนั่งเล่นอยู่นิ่งๆ ก็ยิ่งถอนหายใจแรงขึ้น

ยามหันมองหลานชายซึ่งอยู่คลุกคลีกันมาหลายวันนั้น มัวแต่สนใจจอสี่เหลี่ยมมากกว่าผู้ให้กำเนิดก็ถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง

“แม่จะเป็นทุกข์อะไรนักหนา” สิตางค์ถามขึ้น หลังจากได้ยินเสียงถอนหายใจซ้ำๆ ของโสมส่อง

“แกจะไม่ให้แม่เป็นกังวลได้ยังไง ทั้งเรื่องครอบครัวของแก ทั้งการเลี้ยงลูก”

“โธ่! แม่ ก็นึกว่าเรื่องอะไร เรื่องแค่นี้ไม่ต้องคิดมากหรอก” สิตางค์นั่งคุยกับมารดา หลังจากจัดการให้ลูกชายไม่มารบกวน

“แม่เพิ่งรู้นะว่าเด็กๆ สมัยนี้ พอได้จับมือถือก็ไม่สนใจแม่พ่อที่หายหน้าไปหลายวัน ตอนแรกฉันก็คิดว่าหลานจะมาให้แม่กอดแม่อุ้มเพราะคิดถึง แต่เปล่าเลย ยังร้องจะเอาแต่มือถือเหมือนทุกวัน สมัยก่อนนะ เด็กร้องก็แค่เอาขวดนมใส่ปาก แต่ตอนนี้ส่งมือถือให้หรือเปิดทีวีให้ดู เด็กก็เงียบแล้ว แม่ไม่คิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริงๆ” โสมส่องเอ่ยถึงสิ่งที่ลูกสาวกับหลานชายทำให้เห็น

“แม่อย่าบ่นหน่อยเลย บ่นไปก็แก่เร็ว หนูเลี้ยงกีตาร์มาจนโตได้ขนาดนี้ก็ดีแล้ว”

โสมส่องมองไปที่หลานชายซึ่งก้มหน้าดูโทรศัพท์มือถือ ไม่สนใจสิ่งใด แม้จะเป็นภาพเดิมเดิมที่เห็นชินตา แต่เพิ่มพูนความวิตกกังวลกับอนาคตของหลานชาย จนถอนหายใจอีกหน เมื่อยังไม่พบทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว

“ทะเลาะอะไรกันล่ะ จนผัวเมียไปคนละทาง ไม่ยอมกลับมาอยู่บ้านกันเลย มันไม่ดีกับลูกหรอกนะ ถ้าพ่อแม่ยังเป็นอย่างนี้” โสมส่องปัดความคิดในเรื่องหลานชายเพื่อถามถึงเรื่องที่อยากรู้

“แม่พูดตรงๆ ก็ได้ว่าอย่าเอาหลานมาทิ้งไว้กับแม่นานๆ” สิตางค์หัวเราะเบาๆ อย่างคนรู้ทัน

“แม่ไม่เคยคิดอย่างนั้น แต่อีกไม่กี่วัน แม่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด จะเอาเวลาที่ไหนมาดูหลานได้ล่ะ พวกแกมีปัญหากันทำไมไม่คุยกันดีๆ”

“หนูไม่ผิดนะแม่ ทำไมหนูต้องไปง้อเก่งก่อนด้วยล่ะ ถ้าเก่งอยากจะคืนดีก็ต้องมาง้อหนูก่อน ถ้าไม่ทำอะไรก็อยู่กันไปอย่างนี้แหละ ดีเหมือนกัน” สิตางค์กล่าวถึงสามี แล้วเอ่ยต่อ “ถ้าแม่ไม่อยู่บ้านวันไหนก็บอกแล้วกัน หนูจะมารับกีตาร์ไปอยู่ที่อื่น”

“จะเอากีตาร์ไปไว้ไหน แกเองก็ไม่ค่อยจะอยู่ติดบ้าน” โสมส่องพูดไปก็ลืมนึกถึงตัวเอง ตั้งแต่ลูกสาวแต่งงานมีครอบครัวก็มักจะไปไหนมาไหนเป็นประจำจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ไม่สนใจสอดส่องการเลี้ยงลูกของบุตรสาว

“สถานที่รับเลี้ยงเด็กมีตั้งเยอะแยะ หนูคงหาที่ดีๆ สักที่ที่พอจะรับเลี้ยงกีตาร์ได้ เมื่อพ่อมันไม่มาดูดำดูดีลูกบ้าง หนูก็จะใช้ชีวิตแบบของหนูบ้าง”

โสมส่องไม่พอใจคำตอบของลูกสาว แต่ทำได้แค่นั่งนิ่งๆ บอกด้วยเสียงเรียบ “ฉันไม่เข้าใจจริงๆ พวกแกทะเลาะกัน ทำไมต้องให้ลูกมารับผลการกระทำของพวกแก แค่เลี้ยงลูกให้เป็นแบบนี้มันยังไม่มากพออีกเหรอ”

“ถ้าแม่ไม่อยากเลี้ยงกีตาร์ก็บอกกันดีๆ แล้วไม่ต้องมาโทษแต่หนู หนูเคยฟังเก่งพูดมามากแล้ว”

เมื่อลูกสาวพูดถึงลูกเขย โสมส่องก็อยากบอกสิตางค์ให้รับรู้ จะได้ไม่ต้องเข้าใจสามีผิดไปใหญ่โต “อาทิตย์ก่อน เก่งมาหากีตาร์ คงกลัวแกจะประชดแล้วลงกับลูก ล่าสุดก็สองวันก่อนนี่เองที่มาให้ลูกเห็นหน้า”

สิตางค์ยังทำเป็นไม่สนใจ บอกปัดไปเพื่อให้มารดาเลิกพูดถึงสามี “ก็แค่มาดู แต่ไม่เคยเอาลูกไปเลี้ยงเอง แม่ไม่อยากเลี้ยงกีตาร์วันไหน อย่าลืมโทรบอกหนูก็แล้วกัน” สิตางค์ยังย้ำเป็นการทิ้งท้าย

“แกไม่ต้องเอาลูกไปไหนทั้งนั้น ตอนที่ฉันไปต่างจังหวัด ฉันจะเอากีตาร์ไปอยู่กับพี่ศิ อยากบอกให้รู้แค่นี้แหละ เผื่อแกหายหน้าไป แล้วกลับมาบ้านอีกทีจะไม่เจอฉัน”

“ป้าศิที่มีลูกชายคนเดียวใช่ไหม หนูพอจำได้ ก็ดีนะ กีตาร์ไปอยู่บ้านนั้นจะได้มีคนเล่นเป็นเพื่อน”

“อย่าหวังถึงขั้นนั้นเลย แค่กีตาร์ไปอยู่บ้านนั้นแล้วทำตัวดีๆ ให้ได้ โดยที่พี่ศิไม่อยากโยนออกนอกบ้านก็พอแล้ว อีกอย่างลูกชายบ้านนั้นชอบอยู่แต่ในห้อง คงไม่มีทางมาเล่นกับกีตาร์ได้หรอก พี่ศิคงเหงาจึงไม่ขัดข้องที่รับเลี้ยงดูกีตาร์ แม้จะเห็นฤทธิ์เดชของลูกชายแกมาบ้างก็ตาม”

เมื่อได้ยินมารดาเริ่มพูดถึงพฤติกรรมของลูกชายอีกครั้ง สิตางค์ก็หยิบกระเป๋า ลุกขึ้นยืน

“แกจะไปไหนอีกแล้วเหรอ” โสมส่องโพล่งถามออกมา

“หนูจะไปปลดปล่อยตามใจชอบของหนูต่อสิแม่” สิตางค์ทำหน้าเชิด “ทีเก่งไม่มาสนใจเลี้ยงลูก แม่ยังไม่ว่า แล้วแม่จะมาเอาอะไรกับหนูนักหนาล่ะ”

“แม่ไม่ได้จะว่าแก แค่อยากให้นึกถึงลูกตัวเองมากๆ ตอนนี้แกมีลูกมีครอบครัวแล้ว ไม่ใช่อยู่ตัวคนเดียวหรือแกจะมีแค่แม่” โสมส่องเตือนสติลูกสาว

“หนูรู้อยู่แล้วน่ะ” สิตางค์ตอบรับคำแบบขอไปที เดินไปลูบศีรษะลูกชายที่ยังจ้องแต่หน้าจอมือถือ ก่อนจะผละออกไปจากบ้านโดยไร้ถ้อยคำกล่าวลามารดา

หลังจากสิตางค์หายลับไปจากลานสายตา โสมส่องก็ทอดถอนใจอีกสักหนให้กับครอบครัวของลูกสาวที่กำลังจะมาถึงทางแยก พอหันไปมองหลานชายก็นึกถึงหลายพฤติกรรมที่สร้างความหวั่นใจ จนเริ่มจะทนไม่ไหวกับสิ่งที่เห็น แต่จะไปโทษเด็กก็ไม่ถูก การที่เด็กแสดงออกเช่นนั้นเนื่องจากได้รับการบ่มเพาะจากการเลี้ยงดูของผู้ให้กำเนิด

เมื่อได้พูดกับลูกสาวซึ่งเหมือนจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาจนไม่รู้สึกรู้สาในสิ่งที่เด็กเป็นเลยสักนิดเดียว คิดได้เช่นนั้น อาการปวดศีรษะก็เริ่มจ่อเข้ามาใกล้ แต่อยู่ดีๆ กีตาร์เงยหน้ามองผู้เป็นยาย พร้อมทั้งส่งเสียงร้องตะโกน

“แม่ ไปหนาย แม่ แม่”

โสมส่องยังหาคำตอบที่ดีให้หลานชายไม่ได้

กีตาร์ยังไม่เห็นคนที่อยากพบหน้าสักทีก็ปาโทรศัพท์มือถือทิ้งบนโซฟา กระโดดลงพื้น ร้องเรียกแม่ แล้ววิ่งหาทั่วบ้าน

โสมส่องหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องที่หลานชายใช้เป็นประจำขึ้นมาดูก็เข้าใจความต้องการของอีกฝ่ายทันที

“ทำไมไม่บอกยายล่ะว่าอยากได้อะไร ไม่ต้องไปตามหาแม่หรอก อยู่กับยายนะกีตาร์” โสมส่องบอกกับหลานชายเมื่อคว้าตัวไว้ได้

กีตาร์ยังไม่อยู่ในความสงบ นั่งลงบนพื้น ร้องงอแง เอ่ยรบเร้าถึงสิ่งที่ต้องการ “แม่ แม่ จาดู ดูอีก มือถือ เอามา”

หลานชายหยิบมือถือที่อยู่ในมือผู้เป็นยาย พอรู้ว่าเป็นมือถือที่ใช้งานใช้การไม่ได้เพราะแบตเตอรี่หมดก็ร้องไห้ นั่งดิ้นอยู่บนพื้น

ตอนแรกโสมส่องคาดว่าลูกชายคงอยากให้แม่อยู่ด้วยกัน แต่ไม่ใช่อย่างที่คิดสักนิดเดียว

กีตาร์แค่อยากได้โทรศัพท์เครื่องใหม่เท่านั้นเอง

คนเป็นยายอดสงสารหลานชายขึ้นมาไม่ได้ หากตอนนี้ไม่รู้จะแก้ไขตรงจุดใดก่อน ระหว่างปัญหาของตัวเด็กหรือปัญหาของครอบครัวที่พ่อไปทางแม่ไปทาง อีกไม่กี่วันลูกก็จะต้องไปอีกทาง แล้วจะกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมได้อย่างไร

เพราะคนบางคนมักจะโทษผู้อื่นไว้ก่อนโดยไม่เคยมองดูตัวเองบ้างเลย

 

ในห้องพักขนาดกว้างขวางจนเกินไปสำหรับผู้อาศัยเพียงคนเดียว หากเพียบพร้อมไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน บ่งบอกฐานะของคนที่เป็นเจ้าของห้องซึ่งนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาดพกพาที่กำลังเปิดใช้งาน ก่อนจะละสายตาไปมองดูคนที่เข้ามาขออยู่ด้วยกันสักระยะหนึ่ง

“แกมีเมียมีลูกแล้ว กลับบ้านบ้างสิ จะมาน้อยอกน้อยใจอะไร ไม่เข้าใจก็พูดกันตรงๆ ไม่ใช่หลบหน้าหลบตามาแยกกันอยู่แบบนี้” เอกลักษณ์พูดขึ้น เมื่อเห็นหน้าของคนที่อยู่ร่วมกัน

“ใครหลบหน้า แกไม่รู้อะไร อย่าพูดเลย”

เก่งกาจเสร็จจากการทำงานในช่วงค่ำก็มุ่งหน้ากลับห้องพักของเพื่อนทันที เพื่อนชายที่สามารถพึ่งพาได้ เขาจึงมีที่พักพิง ยามครอบครัวประสบปัญหาจนไม่รู้จะแก้ไขเช่นไร

“แกมาอยู่กับฉันแบบนี้ แล้วบ้านจะเป็นยังไง” เอกลักษณ์ถามต่อ ไม่สนใจคำของเขา

“ก็ไม่มีใครอยู่ ปล่อยให้นกให้หนูหรือแมงมุมเฝ้าบ้านไป”

เอกลักษณ์ไม่ได้หมายถึงตัวบ้าน แต่บ้านในคำถามนั้นก็คือครอบครัวของอีกฝ่าย จึงวกเข้าเรื่องเดิมที่เฝ้าถามตั้งแต่มาอยู่ด้วยกัน “ทำไมไม่พูดคุยกันดีๆ ให้เข้าใจตรงกันล่ะ แล้วมีปัญหาอะไรกัน”

“อย่าให้ฉันพูดเลย เดี๋ยวแกจะหาว่าฉันว่าแต่เมีย” เก่งกาจยืนยันคำเดิมที่เคยพูดกับเพื่อนมาก่อน

“ฉันรู้นะว่าแกยังแคร์เมียแกอยู่ ยังคิดถึงลูก แกน่าจะไปง้อเมียสักหน่อยนะ ผู้หญิงเป็นอย่างนี้แหละ ถ้าแกจะรอให้เมียมาง้อ ฝันไปเถอะ”

“ฉันทำแต่งานจะหาเวลาที่ไหนไปง้อล่ะ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันไม่ได้เป็นฝ่ายผิด” เก่งกาจให้เหตุผลกับเพื่อน แล้วพูดถึงภรรยากับลูกต่ออีก “จะให้ฉันเลี้ยงกีตาร์ทั้งวันไม่ได้หรอก ดื้อมาก ไม่ฟังกันเลย ฉันยกให้สิตางค์เลี้ยงไป แต่ตอนนี้สิตางค์ไปไหนไม่รู้ กีตาร์จึงไปอยู่กับยายที่อยู่บ้านใกล้กัน ฉันไม่อยากเลี้ยงลูกคนนี้คนเดียว มันเหนื่อยกว่าทำงานทั้งปีหลายเท่าเลย”

เอกลักษณ์ส่ายศีรษะให้กับคำแก้ตัวของเขา “แกคิดดูดีๆ ละกัน ถึงฉันยังไม่เคยแต่งงานมีลูก แต่ฉันเห็นใจลูกของแกที่พ่อแม่ทำตัวแบบนี้”

เก่งกาจรับฟังคำย้ำเตือนของเพื่อนด้วยความเข้าใจดีจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “พูดถึงตัวแกบ้างเถอะ ฉันเพิ่งรู้ว่าแกอกหักมาจากต่างประเทศ ไม่บอกให้รู้กันบ้างเลย”

เอกลักษณ์กลับมาเมืองไทยได้เกือบครึ่งปี หลังจากไปร่ำเรียนและเข้าทำงานที่ต่างแดนจนไม่มีใครคิดเลยว่าจะกลับบ้านเกิดเมืองนอน หากกลับมาถึงแล้ว เอกลักษณ์ก็อาศัยอยู่ที่บ้านตัวเองสักพักหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่เกือบสองร้อยกิโลเมตร จนได้คุยกับเก่งกาจซึ่งเป็นเพื่อนสมัยมัธยมศึกษาที่ติดต่อกันบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อให้หาที่พักชั่วคราว แต่เอกลักษณ์ก็ไม่เคยบอกเหตุผลแท้จริงให้ทราบ ถึงการตัดสินใจออกมาอยู่ห้องพักเพียงลำพังซึ่งไม่ไกลจากที่ทำงานของเก่งกาจ

“ฉันจะมาหาสาวไทยสักคนให้ช่วยดามใจ”

เก่งกาจได้ยินเสียงหัวเราะของเพื่อนที่เหมือนจะพูดเล่น แต่เขาเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง “แสดงว่าแกเจอสาวคนนั้นแล้วแน่ๆ ช่างไวอะไรปานนั้น” เขายังเอ่ยต่อ เมื่อมองเห็นการกระทำของเพื่อนอย่างทะลุปรุโปร่ง “ที่แกให้ฉันหาห้องพักแถวนี้ให้ อย่าบอกนะว่าสาวคนนั้นก็อยู่แถวๆ นี้ด้วย”

เอกลักษณ์เพิ่งจะถูกเพื่อนจับไต๋ได้ก็สารภาพไปตามตรง “อยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนักหรอก ขับรถไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เจอกันได้ เธอเพิ่งกลับมาอยู่บ้านได้ไม่นาน”

“ฉันพอจะรู้จักไหม” เก่งกาจเริ่มสนใจหญิงสาวผู้นั้นซึ่งทำให้เพื่อนยอมลงทุนมาเช่าห้องเพื่อจะได้อยู่ใกล้ๆ กัน

“น่าจะรู้จักนะ ฉันเคยเล่าให้แกฟังอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนที่ฉันเรียนมหาวิทยาลัย เราเคยคบกัน ก่อนที่ฉันจะย้ายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่เกือบสิบแล้ว แกไม่น่าจะจำได้”

เก่งกาจได้ยินคำตอบของเพื่อนชายก็ลองคำนวณอายุของหญิงผู้นั้นอยู่ในใจ “อย่างนี้แกก็น่าจะเตรียมรับประทานแห้วอีกได้เลย ป่านนี้เธอคงจะมีสามีจนมีลูกไปแล้ว”

“ยัง” เอกลักษณ์เอ่ยแทรกขึ้นมาทันที จากนั้นก็อธิบายต่อ “ฉันให้คนตามสืบมาหมดแล้ว เธอยังไม่มีครอบครัว บางทีที่เธอไม่ยอมมีใครอาจจะรอการกลับมาของฉันก็ได้”

เก่งกาจจ้องมองเพื่อนซึ่งมีความมั่นอกมั่นใจในคำพูดจนแสดงสีหน้าที่อยากจะทราบเหตุผล

เอกลักษณ์คงรับรู้ได้จึงกล่าวขึ้นมาอีก “ที่ฉันคิดว่าเธอรอฉัน เพราะเราสองคนเคยพูดถึงการแต่งงานกันหลังเรียนจบ และที่สำคัญ ฉันได้ตีตราจองตัวเธอไว้แล้ว ก่อนฉันจะไปต่างประเทศ”

เมื่อเพื่อนไม่ได้บอกมากกว่านั้น เก่งกาจก็คิดเองว่าการตีตราจองของเพื่อนคือเรื่องใด “แกนี่ ไม่เบาเลยนะ”

เอกลักษณ์นั่งยืดอกอย่างภาคภูมิใจ “เร็วๆ นี้ฉันจะไปหาเธอ ขอตั้งหลักอีกสักหน่อย”

“แกยังไม่ได้ไปพบเธออีกเหรอ ฉันนึกว่าได้เจอกันแล้ว” เก่งกาจมองเพื่อนซึ่งกำลังทำอะไรสักอย่างกับโน้ตบุ๊ก “เธอคือใครล่ะ”

เอกลักษณ์ไม่รอช้า หันหน้าจอโน้ตบุ๊กให้อีกฝ่ายได้เห็นตามความต้องการ

เก่งกาจมองเห็นภาพถ่ายของหญิงสาวปรากฏอยู่ในหน้าจอ พร้อมทั้งชื่อสกุลและอาชีพของเธอ ปรียานุช ขจรเกียรติ(ครูปรี) นักกิจกรรมบำบัดในเด็ก

“นี่แหละปรี แฟนเก่าของฉันเอง แกพอจะคุ้นชื่อนี้บ้างไหม” เอกลักษณ์ถามออกไป

เก่งกาจคงลืมไปแล้วจริงๆ เพราะไม่คุ้นหูชื่อเสียงเรียงนามของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย

แต่คาดว่าอีกไม่นานเขาคงได้พบกับเธอ ถ้าเพื่อนทำสำเร็จในการกลับมาคบกันใหม่กับแฟนเก่า

เก่งกาจอาจคิดผิดถนัด เมื่อจะได้เจอปรียานุชเร็วกว่าที่คิดไว้!

 

หลังจากปิดการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ ชายหนุ่มยังนั่งอยู่ในห้องนอน ราวกับเก้าอี้มีแรงดึงดูดไม่ให้ลุกออกไปไหน แต่เป็นเพราะตัวเขาเองที่ไม่ยอมผละออกไป เนื่องจากยังไม่พร้อมจะกระทำตามความตั้งใจ ทั้งที่คิดทบทวนมาแล้วหลายวัน หากพอถึงเวลาจริงก็ต้องครุ่นคิดอีกสักรอบ

ไขศิลป์อยากได้งานนั้นมาทำ เพราะงานออกแบบที่เคยทำก็ไม่มีให้ทำอีกแล้ว หลังจากงานล่าสุดเสร็จสิ้นไปเมื่อเดือนก่อน พอเพื่อนหางานมาให้ก็เป็นงานที่เขาต้องออกไปดีลด้วยตัวเอง เท่าที่มองเห็นหนทางหาเงินคงมีแค่งานนั้นงานเดียว

วันที่จะต้องชนะปัญหาของตัวเองให้ได้ก็มาถึง แต่แค่คิดจะเดินออกไปนอกบ้าน เรี่ยวแรงที่ใช้พยุงกายก็เริ่มถดถอยทำให้ไม่สามารถยกขาก้าวออกไปไหนได้เลย

ถ้าเป็นอยู่อย่างนี้ เขาจะมีรายได้ได้อย่างไร

ไขศิลป์นั่งถามตัวเองซ้ำๆ จนมีความฮึกเหิมในจิตใจ ก่อเกิดความหาญกล้าที่อยากจะลองดูอีกครา พอกำลังกายกลับมาเป็นดังเดิม หากเพียงแค่คิด กำลังใจก็ลดน้อยลงราวกับทั้งสองอย่างเดินสวนทางกันอยู่เช่นนั้น เขาจึงยังคิดไม่ตก

เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขารีบคว้ามากดรับสาย

“พอดีฉันเจอคนที่เคยติดต่อกัน งานนั้นยังรอให้แกออกไปคุยกันอยู่นะ ฉันไม่อยากให้พลาดเลย ยังมีงานอีกมากรอให้แกทำอยู่นะศิลป์” ฐานินบอกเขา

“ขอเวลาฉันสักหน่อยได้ไหม พยายามอยู่นี่ไง ฉันไม่อยากปล่อยงานให้หลุดมือ” ไขศิลป์เอ่ยเสียงอ่อน เมื่อนึกถึงปัญหาของตัวเอง

“ฉันดีใจที่ได้ยินแกคิดอย่างนั้น พยายามเข้าล่ะ ฉันบอกทางนั้นไปว่าแกยังมีงานติดพัน กำลังเร่งทำให้เสร็จเพื่อจะรับงานนั้นได้เต็มที่” ฐานินแค่อยากย้ำเตือนเขา หากพูดต่อก่อนจะวางสาย “เสาร์นี้ฉันจะเข้าไปเล่นกับแก ไว้เจอกัน”

แม้ไขศิลป์จะไม่เข้าใจคำของเพื่อนมากนักแต่ปัดความคิดนั้นไป เพราะขณะนี้มีเพียงเรื่องเดียวที่ต้องคิดทวนทบ เมื่อล่วงเลยเวลามาพอสมควรดั่งไฟไหม้ธูปจนสุดก้าน เขาจึงตัดสินใจลงมือกระทำตามความตั้งใจเดิม

ชายหนุ่มเปิดประตูออกจากห้องนอน ก้าวขาลงบันไดไปยังชั้นล่าง เดินออกจากตัวบ้าน ผ่านลานกว้าง มุ่งสู่ประตูหน้าบ้าน แล้วพาตัวเองออกไปนอกบ้านได้เสียที หลังจากใช้เวลานั่งคิดเกือบชั่วโมง

ช่วงเวลาจวนจะเย็นย่ำ ไขศิลป์ก้าวขาไปตามถนนหนทาง มุ่งหน้าสู่ป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกลจากปากซอย แม้จะไม่ได้เดินผ่านใครเลยสักคนเดียวก็ยังรู้สึกเกรงกลัวสายตาผู้อื่น จึงส่งผลให้มีท่วงท่าเดินห่อไหล่ ก้มตัวเล็กน้อย และยกแขนขึ้นมากอดตัวเองไว้ราวกับทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดจนคนอื่นยากจะมองเห็น

เขาทำเหมือนมีบางอย่างที่ผู้อื่นจะรังเกียจเดียดฉันท์ ทั้งที่ไม่มีเลย

ไขศิลป์ก้มหน้าเดินไปตามทางด้วยความระแวดระวัง ไม่กล้าสู้หน้ากับใครทั้งนั้น หลายสิ่งที่เคยพบเห็น ค่อยๆ ก่อความหวาดหวั่นในใจ แต่ขณะเดินไปก็ท่องว่าอยากได้งาน พอมีงานก็จะมีเงิน

เมื่อนึกถึงครอบครัวของตน เขาจึงมีแรงยกขาเดินไปจนถึงหน้าปากซอยได้สำเร็จ แต่ด้านที่มีป้ายรถเมล์ ต้องเดินผ่านร้านชำซึ่งมีผู้คนอยู่จำนวนหนึ่งและกำลังหันมามองเขาเป็นจุดเดียว

เพียงแค่ถูกสายตาจากคนแปลกหน้าจ้องมอง ความกลัวอย่างฉกาจฉกรรจ์ก็แล่นพล่านในความนึกคิด อาการต่างๆ ที่เหมือนดักซุ่มอยู่เพื่อรอโอกาสเหมาะที่จะจู่โจมก็แสดงออกมาฉับพลัน เขารู้สึกหัวใจเต้นแรง มือสองข้างเริ่มสั่น ความหวาดกลัวที่พยายามข่มไว้ก็ค่อยๆ ทวีฤทธิ์เดชจนแกร่งกล้า ภาพเหตุการณ์ฝังใจในอดีตกลายเป็นภาพชัดต่อความรู้สึกจนทำให้เขาคาดว่าจะเกิดขึ้นในกาลปัจจุบัน

เขาเริ่มพ่ายแพ้ เมื่อความกลัวถาโถมเข้ามาจนเป็นฝ่ายได้ชัย โดยไม่ต้องออกแรงมากกับคู่ต่อสู้อย่างเขา

ไขศิลป์รีบหมุนตัวไปทางที่เพิ่งจะเดินผ่านมา เขาหลับหูหลับตาวิ่งเข้าไปในซอยเหมือนวันนั้นที่ลองเดินออกมาข้างนอกไม่ผิดเพี้ยนไป แต่วันนี้เขาไม่ได้ชนกับใคร ยิ่งใกล้บ้านมากเท่าไร ความกลัวก็ค่อยๆ ลดลงจนเกือบหายไปเป็นปลิดทิ้งเมื่อเข้ามาในบ้านได้สำเร็จ

ศศิเดินออกมาจากตัวบ้าน เห็นลูกชายยืนหายใจแรงจึงเอ่ยทัก “แม่นึกว่าอยู่ในห้อง ศิลป์มาทำอะไรอยู่ตรงนี้”

“ลองออกไปข้างนอก แต่ไปไม่ถึงไหนเลย” ไขศิลป์ตอบมารดาหลังจากอาการหอบเหนื่อยทุเลาลง

ศศิเห็นใจบุตรชาย “ถ้ามันยากเย็นนัก ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้นะลูก แค่ศิลป์คิดอยากจะออกจากบ้าน แม่ก็ดีใจมากแล้ว”

เขารับรู้ถึงความห่วงหาอาทรของมารดาที่ส่งผ่านทางสายตาและรอยยิ้มบนใบหน้า “ขอไปนอนพักดีกว่า”

“เสาร์นี้จะมีคนมาใช้ลานหน้าบ้านของเรานะ อาจจะส่งเสียงดังสักหน่อย”

“ใครจะมาทำอะไรเหรอแม่”

“ถ้าศิลป์อยากรู้ก็ลองออกมาจากห้อง ลงมาดูสิ”

ไขศิลป์แค่ชวนคุยไปตามเรื่องตามราวจึงไม่คิดคาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ เขาก้าวขาออกห่างจากมารดา หากได้ยินเสียงของแม่ดังขึ้นอยู่ด้านหลัง เขาหยุดเดินเพื่อรับฟังถ้อยคำจากผู้ที่ห่วงใยตน

“ถ้าทำเองแล้วเป็นแบบนี้ แม่คิดว่าให้หนูปรีช่วยเถอะนะลูก แม่เชื่อว่าหนูปรีต้องช่วยศิลป์ให้ออกนอกบ้านไปเจอหน้าใครต่อใครได้ ลองเก็บไปคิดดูนะ”

ศศิย้ำกับลูกชายที่ยืนหันหลังให้กัน เผื่อคิดเปิดใจให้กับกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นตรงลานหน้าบ้าน

เมื่อมารดาพูดจบ ไขศิลป์ก็ก้าวขาต่อ ไม่ได้หันหน้ามาพูดคำใด

ระหว่างเดินไปยังห้องนอนของตัวเอง เขาครุ่นคิดตลอดทาง เมื่อลองทำด้วยตัวเองแล้วได้ผลเช่นเดิม ชายหนุ่มอาจจะลองพึ่งผู้อื่นเพื่อให้แก้ไขสิ่งที่เป็นได้เร็ววันซึ่งคนผู้นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจากรุ่นพี่ข้างบ้านที่เขาเองก็รู้สึกคุ้นเคยและไม่มีอาการกลัวยามเสวนากัน

บางทีถ้าเขาได้ลองพูดคุยหรือชิดใกล้กับเธอมากๆ อาจจะได้รู้เจตนาแท้จริงที่อยากจะช่วยเขาก็ได้

ถ้าหากหญิงสาวคิดจะหมายปองฐานิน ไขศิลป์จำเป็นต้องตัดไฟแต่ต้นลม เพราะไม่อยากให้เกิดรักสามเศร้าเราสามคนกับชีวิตคนที่ปรารถนาดีกับตนเสมอมา

 



Don`t copy text!