
แก่นไม้หอม บทที่ 19 : ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน
โดย : กิ่งฉัตร
แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น
เมื่อตามมารดาขึ้นไปชั้นสองสิ่งแรกที่พุ่งเข้าปะทะซิ่วเฮียงคือกลิ่นยาจีนเข้มข้นชวนขมคอ ใจหญิงสาวหายวาบนึกถึงหาญก่อนใคร เพราะลูกชายยังเล็กมาก กำลังจะครบขวบในอีกไม่กี่วัน เด็กวัยนี้โดนแดดก็ป่วยได้โดนฝนก็ป่วยดี หล่อนจึงเป็นห่วงที่สุด แต่เอาเข้าจริง ๆ ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงคือหลีกัง ขาขวาของเขาเข้าเฝือกไว้ แขนและข้อมือขวาด้วย ข้างตัวยังมีถ้วยยาจีนวางเคียงกับขวดยาแผนปัจจุบัน
อาเส่งคอยดูแลเตี่ยอยู่ พอเห็นพี่สาวเข้ามาในห้องกับมารดาก็ดีใจทักว่า
“แจ้” ก่อนหันไปบอกหลีกังว่า “เตี่ย แจ้กลับมาแล้ว”
หลีกังที่หน้าตาบูดบึ้งทำเสียงหึในลำคอเหมือนรับรู้ แต่เสียงนั้นไม่ได้ดังมากเหมือนทุกครั้ง
“เตี่ยเป็นอะไร” ซิ่วเฮียงตกใจ ตั้งแต่เล็กจนโตหลีกังในความรู้สึกของหญิงสาวคือไม้ใหญ่ที่แข็งแกร่ง ผู้ชายที่ทำงานหนักหาเงินเลี้ยงครอบครัว ตลอดชีวิตแทบไม่เคยเจ็บป่วย ไม่เคยล้มหมอนนอนเสื่อมาก่อน มาเห็นเตี่ยต้องนอนนิ่งอยู่บนเตียงแบบนี้ชวนให้ใจหายจริง ๆ
หลีกังปากหนักไม่ตอบลูกสาว เซียมลั้งเลยบอกตอบแทนว่า
“หกล้ม วิ่งตรงลานปูนหน้าโรงสีตอนฝนปรอย ๆ แล้วล้มกระแทกแรงมาก แถมยังเอามือยันไว้ เลยทั้งขาหักข้อมือหัก แถมตอนแรกยังดื้อจะไม่ไปหาหมอ นึกว่าเคล็ดนิดเดียวเพราะแค่ล้ม” คนเล่ากระแทกเสียงนิดหน่อยอย่างเป็นอารมณ์ “แล้วเป็นไงล่ะ ทิ้งไว้จนมือบวมขาบวมฉึ่งปวดจนขยับตัวไม่ไหวถึงได้ยอมไปหาหมอเข้าเฝือก”
“เตี่ยล้มมานานหรือยังจ้ะ ทำไมไม่มีใครส่งข่าวให้เฮียงรู้เลย”
“เป็นมาสามอาทิตย์แล้ว หมอบอกอีกสองอาทิตย์ถึงจะถอดเฝือกออกได้ แต่กระดูกเตี่ยลื้อมันเปราะหมอเลยให้นอนนิ่ง ๆ ไม่ให้ขยับมาก”
“กระดูกอั๊วปกติดี เปราะเปรอะอะไรที่ไหน ลื้อก็อย่าพูดซี๊ซั๊ว” คนที่ต้องนอนนิ่ง ๆ ขึ้นเสียงเหมือนตวาดทันทีอย่างหงุดหงิด
ซิ่วเฮียงฟังแล้วก็รู้เลยว่าการที่หมอให้เตี่ยนอนนิ่ง ๆ ก็เหมือนการสั่งเสือให้สงบอยู่แต่ในกรง เสืองุ่นง่านหงุดหงิดทำอะไรไม่ได้เลยระบายตะปบใส่คนใกล้ตัว ที่สำคัญเตี่ยเป็นพวกหัวโบราณต่อต้านพวกยาสมัยใหม่ เจ็บป่วยอะไรก็จะหาแต่หมอจีนหมอแมะ เลือกกินยาต้มแทนที่จะกินยาเม็ด ดังนั้นไม่น่าแปลกที่เซียมลั้งจะผ่ายผอมและดูแก่ชราลงไปมาก เพียงแต่นอกจากสภาพเหน็ดเหนื่อยแล้วม้าหล่อนยังมีท่าทางหนักใจ แต่หญิงสาวยังไม่ทันได้ถามอะไรมากไปกว่านี้ ซิ่วเซียงที่กระเตงหลานเล็กเข้ามา
เด็กหญิงเพิ่งไปเก็บผักในสวนมา เล็บมือยังมีเศษผักเศษยางเขียวอี๋ มือของหาญก็เปื้อนดินเพราะคงเดินเตาะแตะบ้างนั่งบ้างแล้วคว้าดินคว้าทรายเล่นตามเรื่องตามราว แต่ซิ่วเฮียงไม่สนใจความสกปรกของลูกชายที่สูงขึ้นแต่อวบอ้วนน้อยลง หล่อนลืมเรื่องความแปลกของมารดา ใจพุ่งไปที่เด็กน้อย รีบตรงเข้าหาหวังจะอุ้มหาญจากมือน้องสาว
“หาญ ม้ากลับมาแล้ว” หล่อนร้องบอก
ตอนที่ซิ่วเฮียงจากไปหาญอายุเจ็ดเดือน ตอนนี้จะครบขวบแล้ว เวลาหลายเดือนทำให้เขาลืมหน้ามารดาไปแล้ว แม้จะคุ้น ๆ อยู่บ้างแต่ก็ยังเป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี เด็กน้อยจึงมีท่าทางเอียงอายและซุกเข้าหาน้าสาว
ซิ่วเฮียงเสียใจ แต่หล่อนก็เข้าใจว่าหาญยังเล็กมาก จะปฏิเสธแม่ที่ไม่เห็นหน้ามานานก็ไม่แปลก ดังนั้นหญิงสาวจึงกระวีกระวาดเปิดกระเป๋าผ้า หยิบของฝากทั้งหลายมาวางกอง ๆ ไว้เพื่อเอาลูกหมูออมสินสีแดงสดวาดลายดอกไม้มาล่อ เด็กน้อยเห็นของสีสดก็สนใจ ยิ่งหญิงสาวหยอดเหรียญใส่หมูเป็นเงินก้นถุงให้ลูกชาย พอเขย่าแล้วมีเสียงขลุกขลักหาญยิ่งสนใจจนปล่อยมือจากน้าสาว ยอมให้คนแปลกหน้าที่คุ้นเคยอย่างประหลาดอุ้มใส่ตัก มือเล็ก ๆ จับหมูเขย่า ปล่อยให้แม่ที่ห่างหายไปนานทั้งกอดทั้งหอมอย่างอดทน
“ของเซียงก็มีนะ แจ้ซื้อหมูตัวใหญ่มาให้ ดูเอาในถุงเถอะ” ซิ่วเฮียงบอกน้องสาว
หล่อนซื้อหมูตัวใหญ่กว่าของหาญมาฝากซิ่วเซียง สีก็เป็นสีชมพูหวานไม่ใช่สีแดงสด ซื้อชุดเครื่องเขียนฝากอาเส่ง ในกระเป๋ายังมีซองแดงเตรียมไว้หลายใบแต่ต้องรอให้ถึงวันปีใหม่จริง ๆ ก่อน
ซิ่วเซียงค้นหมูสีชมพูออกมาจากถุง หมูปูนพลาสเตอร์ก็น่ารักดี แต่เด็กหญิงมองของกินอย่างสนใจมากกว่า เห็ดหอมแห้งหล่อนไม่สนใจ แปะก๊วยก็อร่อยดี แต่กว่าจะทำกินได้นั้นยากไม่น้อย ต้องกระเทาะเปลือกออก แช่แปะก๊วยในน้ำจนนิ่มแล้วยังต้องใช้ก้านธูปแทงก้นแหลม ๆ ของตัวแปะก๊วยเพื่อดันต้นอ่อนที่ขมปี๋ออกมา กว่าจะได้กินสักถ้วยมือไม้นี่แดงเถือกเพราะสีก้านธูปไปหมด แต่ของที่น่าสนใจจริง ๆ คือลิ้นจี่สองกระป๋อง ลิ้นจี่เป็นของหวานสำหรับโต๊ะจีนงานใหญ่ อิ่มของคาวต้องมีโถลิ้นจี่ลอยน้ำแข็งเย็นหวานชื่นใจยกมาขึ้นโต๊ะส่งท้าย โถหนึ่งสิบคนเฉลี่ยแล้วกินได้คนละสองสามลูก แถมนาน ๆ ถึงจะมีงานใหญ่เลี้ยงโต๊ะจีนสักหน ซิ่วเซียงที่ชอบกินมากจึงได้กินน้อยครั้งมาก แถมช่วงนี้อาหารการกินในบ้านไม่ปกติเหมือนแต่ก่อน กินน้อยของน้อย พอมาเห็นพี่สาวเอาลิ้นจี่มาสองกระป๋องก็ตาเป็นประกายอดใจไม่อยู่ หันไปบอกมารดาด้วยน้ำเสียงอ้อนว่า
“ม้า แจ้เอาลิ้นจี่กระป๋องมา เย็นนี้เราเปิดกินกันสักกระป๋องนะม้านะ เซียงไม่ได้กินมาเป็นปีแล้ว อยากกิน”
เซียมลั้งมองข้าวของที่ลูกสาวคนเล็กรื้อออกมากอง ทั้งเสื้อทั้งกางเกงราคาแพง แถมยังของแห้ง เครื่องใช้เครื่องเขียน มองแล้วได้แต่นึกเสียดายเลยไม่ตอบลูกสาวคนเล็กหันไปบ่นลูกสาวคนโตแทนว่า
“ซื้อมาทำไมมากมาย ของแพง ๆ ทั้งนั้น”
“ไม่แพงหรอกจ้ะม้า กางเกงนี่ของลานมะเกลือ ช่างเย็บซื้อได้ราคาทุน ถูกกว่าที่เขาขาย ๆ กันเกือบครึ่ง ส่วนพวกลิ้นจี่ แปะก๊วยกับเห็ดหอมมีคนงานในลานมะเกลือเขารู้จักคนที่ท่าเรือ เห็นว่าพวกลูกเรือเวลาแวะท่าที่สิงคโปร์มักไปซื้อของพวกนี้ที่ปีเปิ้ล (1) อะไรสักอย่าง เขาว่าถูกกว่าเมืองไทยมากเลยเอามาขายต่อเอากำไรนิดหน่อย เฮียงเลยซื้อมาได้ราคาถูกกว่าที่เขาขายในตลาด”
“ถ้าแจ้ซื้อมาไม่แพงน่าจะซื้อมามากหน่อย” ซิ่วเซียงบ่น ของชอบของดีแบบนี้ซื้อมาแค่สองกระป๋องไม่น้อยไปหน่อยหรือ
“ตะกละ” เซียมลั้งชี้หน้าลูกสาวคนเล็กอย่างไม่พอใจ “แจ้เราเขาซื้อมาฝากก็ดีแล้ว ยังจะโลภมากอีก ไปเลยนะไปทำกับข้าว”
แต่พอเห็นลูกสาวคนเล็กหน้าสลด เซียมลั้งที่รักลูกคนเล็กมากกว่าพี่ ๆ นิดหน่อยและรู้ดีว่าช่วงนี้ลูก ๆ ในบ้านกินไม่เต็มที่เท่าไหร่ก็อดเสริมต่อไม่ได้ว่า
“เดี๋ยวให้อาเส่งไปตลาดดูว่าร้านน้ำแข็งยังเปิดขายไหม ถ้ามีก็ซื้อมาสักหน่อย เอามาใส่ลิ้นจี่สักกระป๋องกินฉลองกันเย็นนี้”
ซิ่วเซียงหน้าบานทันที กำลังจะรีบกลับลงไปห้องครัวด้านล่าง แต่ซิ่วเฮียงเรียกน้องสาวไว้ก่อน หล่อนส่งลูกในมือให้ ปากก็ว่า
“เดี๋ยวแจ้ทำกับข้าวเอง ฝากเซียงดูหาญหน่อย”
“อาหั่ง บ้านนี้มีแต่คนชื่อหั่ง ไม่มีหาญ ถ้าจะหาหาญไปหาบ้านคนไทย ไม่ใช่ที่นี่” คนเจ็บที่แขนขาเข้าเฝือกขาวเอ่ยเสียงวางอำนาจ
ซิ่วเฮียงชะงัก แต่ด้วยความที่รู้จักความดื้อรั้นของเตี่ยดี รู้ว่าถ้าหล่อนแย้งหรือค้าน หลีกังจะยิ่งระเบิดอารมณ์ ไม่ยอมเลิกรา ซิ่วเฮียงโดนด่าไม่เท่าไหร่ แต่ม้ากับน้องอีกสองคนรวมทั้งลูกชายหล่อนต้องทนฟังคำบ่นว่าของเตี่ยเป็นวัน ดังนั้นหญิงสาวจึงตัดสินใจโอนอ่อนผ่อนตาม พยักหน้ากับน้องสาว
“ฝากอาหั่งด้วยแล้วกัน”
“หึ!” เสียงของคนเจ็บเหมือนรำคาญแต่แฝงความพอใจอยู่ไม่น้อย ซิ่วเฮียงไม่แย้งอะไร หล่อนคว้าถุงผ้าที่ใส่เสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวแล้วไปวางในห้องที่หล่อนเคยอาศัยร่วมกับน้องสาว ลงไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำนิดหน่อยก่อนเดินเข้าครัว เข้าไปหญิงสาวชะงักเล็กน้อยอย่างแปลกตา ครัวของบ้านอยู่ด้านหลังติดกับสวนครัว ลักษณะเหมือนเพิงที่สร้างต่อออกจากตัวบ้าน กำแพงมีทั้งเป็นไม้ตีทึบและไม้ระแนงตากว้างที่ทำให้ลมพัดเข้ามาได้อย่างเต็มที่ ห้องครัวไม่ร้อนและไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นเวลาทำกับข้าวกลิ่นแรง
ตามปกติผนังข้างเตาจะตอกตะปูตัวยาวไว้หลายตัวเพื่อใช้แทนตะขอห้อยพวงกระเทียม หอมแดง หรือแม้แต่พริกแห้งเม็ดใหญ่ที่ร้อยเชือกนำมาแขวนไว้ พอจะใช้ก็เด็ดหรือใช้มีดตัดขั้วออกจากพวง เซียมลั้งเป็นแม่บ้านที่ดี ในครัวไม่เคยขาดพริก หอม กระเทียม มีแขวนห้อยไว้พวงใหญ่ ๆ จนเหมือนเป็นเครื่องประดับผนังเสมอ แต่มาวันนี้กระเทียมกับหอมหัวลีบสองสามหัววางกลิ้งบนแผ่นกระเบื้องข้างเตาไฟ ตรงอ่างล้างจานมีกาละมังบุบ ๆ แช่ผักสดสองสามอย่างที่ซิ่วเซียงเด็ดกลับมา กล้วยเครือหนึ่งวางพาดไว้ข้างกำแพง ข้าง ๆ ยังมีกล้วยอีกสองสาวเครือวางอยู่ ส่วนใหญ่ยังเขียวอยู่
ซิ่วเฮียงเดินไปเปิดโอ่งใส่ข้าวสาร โล่งอกไปที่เห็นว่ายังมีข้าวสารเหลืออยู่เกินครึ่ง
เซียมลั้งตามลงมาเงียบ ๆ หล่อนเปิดตู้กับข้าวแล้วพูดเบา ๆ ว่า
“มีปลาเค็มอยู่ชิ้นนึง เซียงมันเก็บคะน้ามาหลายต้น ทำผัดคะน้าปลาเค็มแบบที่เฮียงเคยผัดให้ม้ากินแล้วกัน แล้วก็ไข่เจียว”
“ปีใหม่ทั้งทีมีกับข้าวสองอย่างเองหรือม้า” หญิงสาวแปลกใจ แม้ครอบครัวหลีกังจะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ก็ไม่ถึงกับอัตคัต ผัวทำงานโรงสี เมียตัดเย็บผ้าอยู่บ้าน รายได้สองทางเพียงพออยู่ได้สี่ห้าคนพ่อแม่ลูก ถึงทุกวันกินอยู่ประหยัดเพราะมีลูกเรียนหนังสือสองคน แต่ช่วงปีใหม่สำรับตั้งโต๊ะต้องมีหมูมีไก่ ขนมหวานหลากหลายรวมถึงผลไม้สดไม่มีขาด
เซียมลั้งยังไม่ทันตอบซิ่วเฮียงก็ถามต่อว่า
“ม้าลืมซื้อกระเทียมหรือเปล่า ถ้าม้ายุ่งดูแลเตี่ยก็ให้เส่งหรือเซียงไปซื้อก็ได้ นี่ซีอิ๊วก็ไม่มีเหมือนกัน แล้วของไหว้เจ้าไม่ได้เตรียมหรือม้า…”
“เตรียมแล้ว”
ซิ่วเฮียงหันมาเห็นตู้กับข้าวเปิดอยู่ ในนั้นมีผลไม้นิดหน่อย หมูสามชั้นหั่นเป็นชิ้นยาว ๆ หนึ่งชิ้นกับไก่ผอม ๆ หนึ่งตัว หญิงสาวชะงักก่อนมองมารดาที่นิ่งเงียบอยู่ แล้วเอะใจกับสีหน้าอ่อนล้าของอีกฝ่าย “ม้า…เกิดอะไรขึ้น เตี่ยก็แค่ขาหักไม่ใช่หรือ ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงที่เฮียงไม่รู้ใช่ไหมม้า”
เซียมลั้งส่ายหน้า
“ไม่มี เตี่ยลื้อแค่ขาหักแขนหักเท่านั้นจริง ๆ แต่นี่เข้าเฝือกมาเกือบเดือนแล้ว และพอถอดเฝือกออกหมอก็บอกว่าไม่ให้ออกแรงทำอะไรหนัก ๆ อีกสองสามเดือน รวมแล้วก็หลายเดือนอยู่…”
ซิ่วเฮียงพอเข้าใจปัญหาทันที
“ทางโรงสีไม่ได้ช่วยเงินเตี่ยใช่ไหมม้า”
“ก็ให้มาก้อนนึง แต่หลงจู๊อีมาเยี่ยมมาบอกว่าปีนี้กิจการโรงสีไม่ดีเท่าไหร่ มีคู่แข่งเปิดโรงสีขึ้นมาอีกสองสามเจ้า เครื่องจักรสั่งเข้ามาใหม่ ๆ ดี ๆ ทางนี้เลยแย่ถึงจะไม่ขาดทุนแต่กำไรน้อย อีก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ แต่เงินแค่นั้นค่าหมอค่ายาก็เกือบหมดแล้ว แถมเตี่ยลื้อยังดื้อไม่ชอบยาเม็ด ให้ม้าไปตามหมอแมะมาบ้าน หมอมาก็จัดยาไว้หลายชุด เงินทั้งนั้น…”
“แต่บ้านเราก็มีเงินไม่ใช่หรือม้า เตี่ยมีเงินเก็บเป็นพัน” ไม่ใช่แค่พันเดียวแต่หลายพันอยู่…
ซิ่วเฮียงรู้เพราะหลีกังมักพูดเสมอว่าเก็บเงินไว้ส่งให้อาเส่งเรียนมหาวิทยาลัย
เซียมลั้งถอนใจเล่าว่า
“สองเดือนก่อนอาแปะฮวงจดหมายมาบอกว่าศาลบรรพชนถูกต้นไม้ใหญ่ข้าง ๆ ล้มทับตอนมีพายุ หลังคากับกำแพงพังเป็นแถบ อาแปะลื้อกับญาติทางนั้นเลยจะซ่อมแซมครั้งใหญ่ แต่เงินไม่พอ เตี่ยลื้อก็…” เซียมลั้งกลืนคำว่า ‘หน้าใหญ่ใจโต’ ลงคอได้ทัน เปลี่ยนเป็นเอ่ยว่า “เตี่ยลื้อเห็นว่าไม่ได้ส่งเงินไปทางโน้นหลายปีแล้วเลยเอาเงินทองที่เก็บไว้ส่งกลับไปเกือบหมด ให้ซ่อมแซมศาล ให้เป็นของขวัญที่พวกลูกพี่ลูกน้องลื้อแต่งงาน เฮ้อ…เตี่ยลื้อคิดว่าตัวเองเก่งเสียเต็มประดา เอาเงินให้ไปก่อนตัวเองทำงานอีกสองสามปีก็น่าจะมีเงินเก็บพอส่งให้อาเส่งไปเรียนมหาลัยได้ ทีไหนได้จู่ ๆ ก็มาล้มเสียแบบนี้ เงินติดบ้านก็แทบไม่มี เฮียง…” น้ำเสียงของมารดากังวลจริง ๆ “ถ้าหลงจู๊ไม่รอเตี่ยลื้อหาย ถ้าเขายกงานเตี่ยลื้อให้คนอื่น เราจะทำยังไงกันดี คนอายุปูนนี้แล้วเส้นสายก็ไม่มีจะไปหางานใหม่ที่ไหนได้”
“ม้า ม้าอย่าเพิ่งกังวลไปเลย ม้ายังมีเฮียงอยู่นะ ยังไงเฮียงก็ไม่ปล่อยให้ม้า เตี่ยกับน้อง ๆ อดตายหรอก”
“ยังเรื่องเรียนของอาเส่งอีก เซียงเองก็เรียนดี…” เซียมลั้งเปรยอย่างเกรงใจลูกสาวคนโต ลูกชายนั้นคือความหวังของคนทั้งบ้าน ส่วนลูกสาวคนเล็กคือหัวใจของหล่อน ทั้งคู่เรียนหนังสือมาขนาดนี้แล้ว จะให้หยุดเรียนก็น่าเสียดาย แต่ถ้าหลีกังไม่มีงาน ต่อให้หล่อนเย็บผ้าส่งจนมือไม้หงิกก็หาได้แค่ค่ากับข้าวกินไปวัน ๆ เท่านั้น
“ม้าไม่ต้องห่วง เฮียงเชื่อในตัวเตี่ย เตี่ยต้องได้กลับไปทำงานแน่ แต่ถ้ามันแย่นักจริง ๆ เฮียงจะหาเงินส่งน้อง ๆ เรียนเอง”
เซียมลั้งกลั้นสะอื้น พึมพำว่า
“ลำบากลื้อแล้วจริง ๆ เฮียงเอ๊ย”
หญิงสาวไม่ตอบอะไร หล่อนกลับขึ้นไปชั้นบนเพื่อหยิบเงินจากกระเป๋าแล้วเรียกอาเส่งออกมา ส่งเงินสี่สิบบาทให้พร้อมกับสั่ง
“ไปดูว่าในตลาดยังพอมีอะไรบ้างไหม ถ้าตลาดยังไม่วายซื้อหมูสามชั้นมาให้แจ้ครึ่งโล หมูเนื้อแดงครึ่งกิโล น้ำมันที่บ้านหมดแล้วเอามันแข็งมาสักครึ่งโล ไก่ตัวนึงเลือกตัวใหญ่หน่อย ซีอิ๊วขวดนึง ขนมไหว้…” พอเห็นซิ่วเซียงโผล่หน้าออกมาดูอย่างมีความหวังหล่อนก็บอกต่อว่า “ถ้าร้านน้ำแข็งยังเปิดขอซื้อน้ำแข็งเขามาสักก้อนนะ เอาผ้ากระสอบบ้านเราติดไปด้วยจะได้ห่อไว้หนา ๆ”
น้องสาวตาเป็นประกาย ผลุบกลับเข้าห้องเตี่ยไป ส่วนน้องชายที่รู้ความหน่อยมองเงินในมืออย่างลังเล เขาไม่เหมือนซิ่วเซียงที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวดีนัก แม้จะรู้ว่าอาหารการกินที่บ้านเปลี่ยนไป แต่ก็คิดว่าเพราะม้ายุ่งไม่มีเวลาหาซื้อของ และหมอคงสั่งให้เตี่ยกินจืด ทั้งบ้านจึงต้องกินอาหารอ่อนอาหารจืดตามกันไปหมด
“ทำไม กลัวเงินไม่พอหรือ” ซิ่วเฮียงถามน้องชาย
อาเส่งส่ายหน้า
“พอ แต่ตอนนี้เราควรประหยัดไหมแจ้ หมูโลนึงมากไปหน่อย”
หญิงสาวยิ้มให้น้องชายที่รู้ความดีทุกอย่าง
“เรื่องประหยัดมันควรอยู่แล้ว แต่นี่ปีใหม่นะ คนไม่กินได้แต่อย่างน้อยก็ต้องตั้งโต๊ะไหว้เจ้า หลังปีใหม่แล้วค่อยประหยัดเถอะ” หล่อนหยุดนิดหนึ่งก่อนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “อาเส่งไม่ต้องห่วงนะ งานแจ้เงินดี อยู่กับเง็กซิ่มก็แทบไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเลย เง็กซิ่มออกให้หมด แจ้ส่งให้ลื้อเรียนได้แน่ ขอแค่ตั้งใจเรียน”
“อั๊วตั้งใจ ตั้งใจอยู่แล้ว” อาเส่งหน้าแดงตาแดงด้วยความตื้นตันและโล่งใจ ก่อนเขินอายรีบบอกว่า “เดี๋ยวอั๊วจะรีบไปซื้อของให้แจ้”
เง็กซิมแปลกใจไม่น้อยที่เห็นลูกสาวบุญธรรมหน้าแห้งกลับมาห้องเช่าหลังปีใหม่ไม่นาน
“ทำไมรีบกลับล่ะ ไหนบอกว่าจะกลับไปอาทิตย์นึง นี่เพิ่งห้าวันเท่านั้นไม่ใช่หรือ”
“ทางบ้านมีเรื่องจ้ะ” ซิ่วเฮียงวางกระเป๋าลงพร้อมเล่าเรื่องคร่าว ๆ ให้แม่บุญธรรมฟัง ฝ่ายหลังฟังแล้วถอนใจเอ่ยว่า
“ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนจริง ๆ”
หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วย หล่อนกอดเง็กซิมพร้อมกับบอกว่า
“ขอบคุณเง็กซิ่มนะจ๊ะที่เตือนเฮียงไม่ให้ผลีผลามขอออกจากงาน เฮียงไปถาม ๆ ดูแล้วแถวนั้นค่าแรงเย็บผ้าสู้ที่ลานมะเกลือไม่ได้เลย”
“เด็กโง่ ค่าแรงต่างจังหวัดจะสู้ค่าแรงในกรุงเทพฯได้ยังไง ไม่งั้นคนเขาจะพยายามเข้ามาทำงานในกรุงทำไม แต่ค่าแรงดีค่าใช้จ่ายก็สูงตาม เป็นเรื่องธรรมดา”
“เฮียงโชคดีได้อยู่กับเง็กซิ่มเลยสบาย”
เง็กซิมหัวเราะ บ่นว่า
“ขี้ประจบเสียจริง”
ซิ่วเฮียงยิ้มรื่น หญิงสาวรื้อของจากกระเป๋ามาเก็บแขวนให้เรียบร้อย นอกจากเสื้อผ้าแล้วยังมีผ้าชิ้นสีขาวกับสีแดงสดพร้อมกับอุปกรณ์หลายอย่าง หล่อนบอกกับแม่บุญธรรมว่า
“เฮียงกลัวว่าเงินค่าแรงจะไม่พอส่งอาเส่งอาเซียงเรียน เลยกะว่าจะเย็บดอกไม้ผ้าขาย”
“ที่กรุงเทพฯไม่เหมือนสุพรรณหรือมหาชัยนะเฮียง ดอกไม้ผ้ามีขายเยอะแยะไปราคาถูก ๆ ก็มี ฝีมือเฮียงเง็กซิมรู้ว่าดี แต่ขายของในกรุงเทพฯ มันต้องดูทำเล ดูว่ามีเส้นสายพอจะฝากวางที่ไหนได้บ้างไหมด้วย” เง็กซิมเตือนไว้ก่อนไม่อยากให้ซิ่วเฮียงตั้งความหวังไว้สูงเกิน
“จ้ะ เฮียงก็แค่ลองทำดู ถ้าขายได้ก็ดีขายไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
ผู้สูงวัยกว่าถอนใจนิดหนึ่ง แม้จะกังวลแต่ก็ยอมแนะนำว่า
“ลองไปขอเถ้าแก่เนี้ยดูสิ ร้านที่สะพานหันน่าจะพอเอาดอกไม้เฮียงไปลงได้”
“เฮียงคิดอยู่เหมือนกันจ้ะ ไม่อยากกวนเถ้าแก่เนี้ย แต่…ถ้าไม่ด้านไปขอ ม้ากับน้องก็ลำบาก”
คืนนั้นซิ่วเฮียงเย็บกุหลาบแดงดอกใหญ่ ตั้งใจเย็บให้สวยที่สุด วันรุ่งขึ้นก็เอากุหลาบกับข้าวสารไปกดกริ่งบ้านลานมะเกลือ โชคดีที่กุ้ยเตียงไม่ได้ตามสามีไปงานเลี้ยงของสมาคมต่าง ๆ หล่อนจึงรับแขกด้วยความแปลกใจ
“ทำไมกลับมาเร็วล่ะ ลานมะเกลือยังไม่เปิดไม่ใช่หรือ อีกสองวันถึงจะเริ่มทำงาน”
ซิ่วเฮียงมอบของฝากให้ อึกอักเล็กน้อยก่อนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เถ้าแก่เนี้ยฟังอย่างตรงไปตรงมา
“เฮียงอยากจะทำดอกไม้ฝากขายที่ร้านจ้ะ ขอแค่ทุนกับค่าแรงนิดหน่อย ราคาขายเถ้าแก่เนี้ยตั้งได้เลยจ้ะ เฮียงไม่เอากำไร”
กุ้ยเตียงมองดอกไม้ผ้าในมือยิ้ม ๆ ถามว่า
“จะค้าขายไม่คิดเอากำไรจะขายไปทำไมให้เหนื่อย”
แม่ค้าไม่คิดกำไรชะงักก่อนตอบตามตรง
“เฮียงเกรงใจเถ้าแก่เนี้ยจ้ะ อยากให้เถ้าแก่เนี้ยช่วยวางของให้ด้วย ให้เถ้าแก่เนี้ยได้กำไรเยอะ ๆ เฮียงเอาค่าแรงพอ”
เถ้าแก่เนี้ยหัวเราะชอบใจ
“ลื้อนี่ตรงไปตรงมาดีนะ เอาเถอะอั๊วจะช่วย แต่งานลื้อฝีมือต้องไม่ตก ร้านอั๊วสินค้าไม่ดีไม่วางขายให้เสียชื่อเข้าใจไหม งานที่ลานมะเกลือก็ต้องไม่ตกเช่นกัน”
ซิ่วเฮียงพยักหน้าระรัวด้วยความดีใจ
“จ้ะ ไม่ตกจ้ะ ไม่ว่างานไหนเฮียงทำเต็มที่แน่นอนจ้ะ ขอบใจเถ้าแก่เนี้ยมากนะจ๊ะ”
“แล้วนี่จะเริ่มส่งของให้ขายได้เมื่อไหร่”
“เฮียงจะทยอยทำจ้ะ ทำให้ได้สักยี่สิบดอกก่อนค่อยเอาฝากขาย มีทั้งดอกเล็กดอกใหญ่ เดี๋ยวเฮียงจะจดให้ว่าเฮียงส่งให้เถ้าแก่เนี้ยเท่าไหร่นะจ๊ะ ส่วนจะขายเท่าไหร่เถ้าแก่เนี้ยตั้งราคาได้เลย”
“ไม่กลัวว่าอั๊วจะตั้งราคาสูง ๆ จนของลื้อขายไม่ได้หรือ” กุ้ยเตียงถามยิ้ม ๆ
“ไม่จ้ะ เถ้าแก่เนี้ยค้าขายเก่ง ต้องรู้แน่ว่าดอกไม้แบบนี้ต้นทุนมาเท่านี้ขายเท่าไหร่ถึงจะดีที่สุดจ้ะ”
“ปากหวานเหมือนกันนะ เอาเถอะเดี๋ยวจะดูให้” หญิงสาววางดอกไม้ในมือลง เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักข้างตัวพร้อมเอ่ยว่า “ลื้อมีทุนไหม เดือดร้อนเรื่องเงินส่งให้ทางบ้านหรือเปล่า อั๊วพอมีให้ยืมได้บ้างไว้พอขายของได้ค่อยมาคืน”
“ไม่ต้องจ้ะไม่ต้อง” ซิ่วเฮียงโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน “เฮียงพอมี ที่บ้านก็ยังพออยู่ได้อีกสักระยะ เพียงแต่หาเงินได้ก็ต้องหาไว้ก่อน ไม่ประมาท”
ซิ่วเฮียงมีบทเรียนมามาก นึกว่ามีเงินเก็บพออยู่ได้ไปหลายเดือนเงินก็ถูกวาสนาขโมยไปหมด กลับไปบ้านนึกว่าจะไปฉลองกับเตี่ยกับม้ากับลูกชายและน้อง ๆ สบาย ๆ แต่สุดท้ายกลับต้องควักเงินเก็บทั้งหมดส่งให้มารดาไป
ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนอย่างที่เง็กซิ่มว่า หล่อนขยันอีกสักนิดหาเงินเพิ่มอีกสักหน่อยไว้ดีกว่าอยู่เปล่า ๆ
ซิ่วเฮียงออกจากบ้านลานมะเกลืออย่างมีความสุขเปี่ยมไปด้วยพลังการทำงาน ตั้งใจว่าสองวันก่อนลานมะเกลือเปิด หล่อนจะเย็บดอกไม้ให้ได้เยอะ ๆ จะได้มีวางขายหน้าร้าน เถ้าแก่เนี้ยไม่รับประกันว่าจะขายได้ แต่หญิงสาวไม่ห่วงเรื่องนั้น ขายได้หรือไม่ได้ก็ต้องลองดูก่อนไม่ใช่หรือ อีกอย่างดอกไม้ผ้าไม่เน่าไม่เสีย ขายไม่ได้ก็เก็บกลับมารอไปขายตามตลาดนัดหรือฝากใครก็ได้ ตอนนี้…สิ่งเดียวที่ต้องทำคือลงมือทำ
ทำ ทำ ทำ
กุ้ยเตียงมองร่างเล็ก ๆ แต่แผ่นหลังตั้งตรง หน้าเชิดเดินเร็ว ๆ กลับออกไปเหมือนเตรียมตัวไปพิชิตแผ่นฟ้าของซิ่วเฮียงแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้ม สายตาอาส่วงดีเหมือนเดิม
ผู้หญิงคนนี้…น่าสนใจ
เชิงอรรถ :
(1) People Park แหล่งรวมสินค้าและอาหารแห้งจากจีนของสิงคโปร์ เรือส่วนใหญ่มักแวะเทียบท่าที่สิงคโปร์ก่อนเข้าไทย บรรดาลูกเรือจึงมักซื้อสินค้าต่าง ๆ มาปล่อยขายในราคาที่ถูกกว่าห้างร้านสั่งมาขายโดยตรง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 44 : ฝันสลาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 43 : รอยร้าว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 42 : สัญญา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 41 : อามาลัย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 40 : พบหน้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 39 : ลูกไม่มีพ่อ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 38 : หมากฝรั่งบุหรี่
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 37 : พิราบขาว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 36 : คนนอก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 35 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 2)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 34 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 1)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 33 : คดในข้องอในกระดูก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 32 : สัญญาที่ไม่เป็นธรรม?
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 31 : แม่ม่ายลูกกำพร้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 30 : ฟ้าถล่ม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 29 : ลูกชายลูกชาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 28 : ไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 27 : เด็กน้อยของซิ่วเฮียง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 26 : สันดานคนยากจะเปลี่ยน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 25: รถจี๊ปสีเขียว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 24 : หวังดีเกินไป รักเกินไป
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 23 : เรื่องที่เข้ากันได้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 22 : หยี่แจ้ โอ่ยแจ้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 21 : แต่งงาน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 20 : สู่ขอ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 19 : ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 18 : เห็นขี้ดีกว่าไส้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 17 : กระต่ายก็กัดเป็น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 16 : เลิกกับผัวแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 15 : ปุ๋ยดีไม่ควรปล่อยให้ไหลลงนาผู้อื่น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 14 : ลานมะเกลือ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 13 : ศาลองค์แป๊ะกง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 12 : เข้ากรุง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 11 : ส้วมที่แตกแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 10 : บ้าน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 9 : หันหลังกลับ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 8 : พยอม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 7 : หมดสิ้น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 6 : หาญ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 5 : วาสนา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 4 : ดอกไม้ผ้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 3 : ตุ้มหูทอง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 2 : แม่ผัว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 1 : ซิ่วเฮียง