
แก่นไม้หอม บทที่ 22 : หยี่แจ้ โอ่ยแจ้
โดย : กิ่งฉัตร
แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น
เช้าแรกหลังวันแต่งงานซิ่วเฮียงเข้าไปบ้านลานมะเกลือเพื่อยกน้ำชาให้กุ้ยเตียง แม้ฝ่ายหลังจะบอกว่าไม่จำเป็นไม่ใช่อะไรสลักสำคัญไม่ต้องมาคารวะน้ำชาก็ได้ แต่ซิ่วเฮียงกลับยืนยันหนักแน่นว่าหล่อนต้องการทำ กุ้ยเตียงที่เริ่มจับนิสัยซื่อตรงและเอาจริงเอาจังของแม่สาวร่างเล็กคนนี้ได้แล้วจึงไม่ขัดอะไรอีก
พิธีจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายในห้องทำงานของกุ้ยเตียง ไม่มีแขกเหรื่อ แต่หญิงสาวทั้งสองแต่งตัวงดงามเต็มที่ ซิ่วเฮียงสวมชุดใหม่ที่หล่อนตัดเองสีสันของเสื้อสดใสกว่าชุดเดิมๆ ที่เคยใส่ ผมตัดสั้นระใบหูเล็กๆ หน้าตาผ่องใส ส่วนกุ้ยเตียงสวมชุดกี่เพ้าสีดำปักลายโบตั๋นแดงแต้มทอง ผมที่เกล้าอย่างดีประดับด้วยดอกไม้แดงดอกใหญ่ฝีมือซิ่วเฮียง ท่าทางที่หล่อนนั่งรออยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ในห้องนั้นเหมือนกับภาพวาดที่งดงาม
หลังจากยกน้ำชาขึ้นจิบและวางลง กุ้ยเตียงอวยพรเพียงสั้นๆ ว่าให้ซิ่วเฮียงเข้ามาอยู่ร่วมในครอบครัวอย่างมีความสุข จากนั้นก็ส่งซองแดงค่อนข้างหนาให้ซิ่วเฮียงซองหนึ่ง ตามด้วยถุงผ้าสีแดงใบหนึ่ง ด้านในถุงคือสร้อยทองเส้นหนึ่งกับตุ้มหูทองคู่หนึ่ง หญิงสาวเปิดออกดูพอเห็นตุ้มหูลายดอกไม้คุ้นตาเพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่าก็นิ่งอึ้งไปอย่างคาดไม่ถึง
“ถ้าลื้อไม่ถูกใจ…”
“ไม่จ้ะ” ซิ่วเฮียงตอบเสียงสั่น หล่อนเงยหน้ามองอีกฝ่ายทั้งน้ำตา “เฮียงชอบมาก ชอบจริงๆ”
แม้จะรู้ว่าไม่ใช่คู่เดิมที่หล่อนเคยตัดใจขายไป แต่ซิ่วเฮียงรู้สึกเหมือนได้ของที่รักกลับคืน รู้สึกเหมือนได้รับพร และคำปลอบประโลมว่าครั้งนี้หล่อนตัดสินใจได้ไม่ผิด
“เฮียงจะรักษาไว้อย่างดี จะไม่ให้ห่างจากตัวเลยจ้ะ” หญิงสาวรีบให้คำมั่น
ท่าทางพยักหน้าถี่ๆ อย่างมุ่งมั่นของแม่สาวตัวเล็กทำให้กุ้ยเตียงขำไม่ได้ หล่อนว่า
“ชอบก็ดีแล้ว”
“จ้ะ ขอบใจเถ้าแก่เนี้ยมากเลยนะจ๊ะ”
“มาถึงขนาดนี้แล้วยังจะเรียกเถ้าแก่เนี้ยอยู่ได้ ต่อไปเรียกอั๊วว่าหยี่แจ้เถอะ” กุ้ยเตียงออกปากอย่างยิ้มแย้ม
“จ้ะ” ซิ่วเฮียงรับคำเสียงใส
จบพิธีคารวะน้ำชาอย่างเรียบง่าย ลูกสองคนของกุ้ยเตียงก็ถูกเรียกให้มาทำความเคารพอาอี้คนใหม่ อาไท่และอาย้งคุ้นเคยกับซิ่วเฮียงดี เคยพบหน้ากันหลายครั้งรู้จักดีว่าอาแจ้คนนี้ทำกับข้าวอร่อย ทำขนมก็อร่อย ทั้งคู่เรียกซิ่วเฮียงว่าเฮียงแจ้มาตลอด พอมารดาบอกให้เรียกอาอี้ เด็กทั้งสองคนพากันบ่นว่าทำไมต้องเปลี่ยนเป็นเรียกอี้ พวกเขาไม่คุ้น ทำไมเรียกเฮียงแจ้เหมือนเดิมไม่ได้
กุ้ยเตียงส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แต่ด้วยความเป็นคนที่ตามใจลูกค่อนข้างมาก หญิงสาวจึงไม่คิดบังคับลูกๆ อย่างจริงจังนัก ถ้าถนัดเรียกเฮียงแจ้ก็ให้เรียกแบบนี้ต่อไป ไม่มีอะไรเสียหาย ดังนั้นลูกๆ ทุกคนของกุ้ยเตียงจึงเรียกซิ่วเฮียงว่าเฮียงแจ้กันถ้วนหน้า
ออกจากบ้านลานมะเกลือ ซิ่วเฮียงแวะไปหาม้าและน้องๆ ที่เตรียมตัวเดินทางกลับสุพรรณ แม้หญิงสาวจะยังอยากให้ทุกคนอยู่กรุงเทพฯ ต่ออีกสักสองสามวัน แต่เซียมลั้งไม่ยอม หล่อนห่วงบ้านห่วงสามีและหลานเล็ก บอกว่าทิ้งบ้านมาช่วยงานแต่งหลายวันไม่รู้อากงกับหลานสองคนนั้นช่วยกันพังบ้านไปแล้วหรือยัง ต้องรีบกลับไปดู
หญิงสาวแย้งอะไรไม่ได้จำต้องปล่อยให้ม้าพาน้องๆ กลับ แต่ก่อนจะกลับส่วงเตรียมของให้ครอบครัวหล่อนนำกลับไปด้วยมากมาย ทั้งเสื้อผ้า ของใช้และขนม เรียกได้ว่าสามคนแม่ลูกต้องช่วยกันหิ้วขึ้นรถไฟจนตัวเอียง แถมก่อนรถจะออกซิ่วเฮียงยังส่งเงินให้ม้าปึกหนึ่งกำชับว่า
“ม้าเอาไว้ใช้นะ ถ้าขาดเหลืออะไรก็ให้อาเส่งเขียนจดหมายมาหรือให้ใครมาบอกเฮียงได้”
“ลื้อเก็บไว้เถอะ” เซียมลั้งไม่ยอมรับ “ม้ายังมีอีกอย่าง อย่าขอเงินเถ้าแก่เขามากนัก ม้าไม่อยากให้ผัวลื้อเขารู้สึกว่าลื้อแต่งให้เขาเพราะหวังเงินหวังทองจากเขา”
“เงินนี่เงินเฮียงเองม้า เฮียงขายดอกไม้ได้บวกกับค่าแรงที่สะสมไว้ เฮียงไม่ได้ใช้เงินของเถ้าแก่หรอกจ้ะ” หญิงสาวยังยัดเงินใส่ลงในกระเป๋าของมารดา
“ถึงงั้นก็เถอะ ลื้อก็ต้องมีเงินติดตัวไว้บ้าง เป็นเมียคนธรรมดาไม่มีเงินก็ลำบาก เป็นเมียเถ้าแก่ไม่มีเงินมันก็ดูไม่ดี เงินทองยังไงก็ต้องมีไว้”
“เฮียงยังมีจ้ะม้า เถ้าแก่เนี้ย…หยี่แจ้ใจดีให้มา เถ้าแก่ก็ให้ เฮียงพอมีใช้จ้ะ ม้าไม่ต้องห่วง”
หล่อนไม่ยอมให้มารดาต่อรอง รีบหันไปทางน้องสาวน้องชาย หยิบเงินติดกระเป๋าให้ทั้งสองคนคนละนิดละหน่อย
“เอาไปไว้ซื้อของซื้อขนมกินนะ”
ซิ่วเซียงยังเด็กรับเงินจากพี่สาวก็หน้าบานแฉ่ง สองสามปีก่อนหล่อนโกรธแจ้มาก เพราะแจ้ทำให้ถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อ พวกชาวบ้านก็ซุบซิบนินทา ในบ้านร้อนเหมือนไฟเตี่ยโกรธจนหน้าดำคร่ำเครียดไปหมด ม้าก็เอาแต่ร้องไห้ พอทุกอย่างเริ่มดีขึ้นคนเริ่มหันไปสนใจเรื่องอื่นลืมเรื่องแจ้หนีตามผู้ชายไป แจ้ก็อุ้มอาหั่งกลับบ้าน ซิ่วเซียงแค้นใจจนอยากร้องไห้ออกมาดังๆ แต่น่าแปลกที่แจ้ของหล่อนกลับนิ่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะมีเสียงซุบซิบนินทาหรือกลั่นแกล้งไม่รับดอกไม้ผ้าไปขาย แจ้ก็ยังยิ้มได้อย่างสงบ
พอแจ้นิ่งในบ้านที่นึกว่าจะระเบิดก็กลับสงบตามอย่างน่าประหลาด อีกอย่างอาหั่งก็น่าเอ็นดูเหลือเกิน ตัวอวบๆ ขาวๆ ยิ้มหน้าแป้นแล้น ซิ่วเซียงกลับจากโรงเรียนหลานชายก็เปิดแขนกว้างอ้อนให้อุ้มไปโน่นมานี่พร้อมคิกคักชอบอกชอบใจ แม้เสียงนินทาจะไม่หยุดลงแต่เหมือนถูกเสียงหัวเราะของหลานเล็กกลบไปได้มาก
จากนั้นแจ้ก็ตามเง็กซิมเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ไม่นานแจ้ก็พาเถ้าแก่ส่วงไปขอที่บ้าน รถยนต์ที่ว่าที่พี่เขยขับมาเสื้อผ้าดีๆ ข้าวของมากมายทำให้ซิ่วเซียงเชิดหน้าใส่คนที่เคยพูดดูถูกแจ้ไว้อย่างสะใจ ภูมิใจ แม้ความภูมิใจจะถดถอยไปเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าแจ้จะแต่งเข้าเป็นเมียคนที่สอง คนเริ่มเปรยอีกว่าแต่งแบบนี้เพื่อเป็นแรงงานให้เปล่าให้เถ้าแก่ แต่งเข้าไปแล้วคงถูกเมียใหญ่รังแกกดไว้จนโงหัวไม่ขึ้นแน่
พอได้ยิน ‘คำทำนาย’ แบบนี้ เซียมลั้งก็ก่ายหน้าผากนอนไม่หลับ
แรกๆ ซิ่วเซียงเองก็หวั่นไหวไปกับคำนินทาเหมือนกัน แต่พอมาถึงกรุงเทพฯ จริงๆ เด็กหญิงก็เปลี่ยนใจ เมียคนที่สองแล้วไงล่ะ ลูกบ้านไหนแต่งงานเลี้ยงแขกห้าโต๊ะแบบแจ้ของหล่อนบ้าง หล่อนกับม้าและเฮียเส่งลงมาช่วยงานก่อนวันแต่งสองสามวัน ทว่าช่วยงานที่ไหนกัน แจ้แทบไม่ให้ใครหยิบจับอะไรเลย มาถึงปุ๊บ…แจ้พาทุกคนไปซื้อเสื้อผ้าใหม่สวยๆ หลายชุด ซื้อฝากเตี่ยฝากอาหั่งด้วย จากนั้นก็พาไปเที่ยวเขาดินวนา เถ้าแก่ส่วงกับเมียแรกคนนั้นพาทุกคนไปกินข้าวร้านอาหารดีๆ อาหารอร่อยมาก เมียเถ้าแก่ก็สุภาพกับม้าหล่อนและทุกคนดี ท่าทางเข้ากับแจ้ได้ดี ไม่ได้ชักสีหน้าหรือแสดงท่ารังเกียจหรือชิงชังอะไร
กลับมาถึงห้องพักที่ทางเถ้าแก่เตรียมไว้ให้ม้าถึงกับน้ำตาซึมด้วยความโล่งใจ
ซิ่วเซียงเองก็ได้เรียนรู้ว่า คนเรามีปากที่จะพูดอะไรได้ทั้งนั้น และคนที่พูดมากส่วนมากไม่รู้จริง คนรู้จริงมักไม่พูด แจ้ของหล่อนเองก็บอกกับม้าว่า
‘ม้าอย่าไปสนใจคนอื่นเลยจ้ะ เขาไม่รู้จักเถ้าแก่กับเถ้าแก่เนี้ยเสียหน่อย ชื่ออะไรยังไม่รู้เลยมั้ง แล้วจะรู้ได้ไงว่าเฮียงแต่งไปแล้วจะเป็นยังไง เฮียงเองยังไม่รู้เลยแล้วคนอื่นจะรู้ดีกว่าเฮียงได้ไง’
เด็กหญิงฟังแล้วเห็นด้วยกับพี่สาวจับใจ สายตาที่มองแจ้ก็เปลี่ยนไปมากไม่หงุดหงิดนึกอยากโกรธอยากโทษแจ้ไปเสียทุกเรื่องเหมือนเดิม เฮียเส่งเองก็สอนว่า
“คนเราพลาดกันได้ทั้งนั้น ดูแจ้ไว้เป็นตัวอย่าง ดูว่าแจ้ทำผิดยังไงและแจ้ลุกขึ้นยืนอีกครั้งได้ยังไง แต่เซียงต้องจำไว้ด้วยว่า ไม่ใช่ทุกคนจะลุกขึ้นอีกครั้งได้เหมือนแจ้ ฉะนั้นจะทำอะไรต้องระวัง”
พี่ชายหล่อนก็ช่างสอนอย่างนี้ แถมยังซื่อตรงอย่างมาก แจ้ส่งเงินให้เฮียเส่งก็ไม่ยอมรับ ส่ายหน้าอย่างดื้อดึงท่าเดียว จนแจ้ต้องบอกว่า
“เส่งเก็บไว้เถอะ เผื่อม้าต้องการใช้เงินเร่งด่วนแล้วส่งข่าวให้แจ้ไม่ทัน ม้าจะได้มาเอาเงินจากเส่งก่อนได้”
นั่นแหละเฮียเส่งของหล่อนจึงยอมเก็บเงินเข้ากระเป๋า
ตอนที่รถไฟวิ่งออกจากชานชาลา ซิ่วเซียงโผล่หัวออกมาโบกมือให้ไหวๆ ยิ้มกว้างจนปากแทบจะจรดใบหู หล่อนเห็นแจ้โบกมือให้จนลับสายตาไป
ซิ่วเฮียงดูแลครอบครัวทางนี้ ส่วงก็ดูแลน้าเขยกับญาติที่มาร่วมงานอยู่เหมือนกัน เขาพาคนจากระยองไปชมโรงงานใหม่ที่สมุทรปราการ จั้กคุ้งเห็นหลานชายเจริญก้าวหน้าในการงานก็ดีใจหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เอ่ยชมล้วนแต่เลือกคำดีๆ ที่เป็นสิริมงคลหลายประโยคมาพูด ตบท้ายด้วยการบอกว่า
“แต่งเมียอีกคนก็ดี จะได้มีลูกชายเยอะๆ ไว้ช่วยงานลื้อ”
“ลูกสาวก็ดีนะอาเตี๋ย ผู้หญิงเดี๋ยวนี้เก่งๆ เยอะ ค้าขายเก่งๆ ก็มี” ส่วงค้านยิ้มๆ
“เก่งจริงแต่ก็ต้องไปทำให้บ้านผัว หาเงินให้ผัวใช่ไหมล่ะ จะเหมือนลูกชายได้ไง ลูกชายช่วยทำเงินเข้าบ้าน เฮงๆ รวยๆ ส่วนลูกสาว เดี๋ยวนี้เลี้ยงลูกคนหนึ่งเสียเงินเท่าไหร่รู้ไหม…” ชายสูงวัยลดเสียงลงเหมือนกระซิบกระซาบ “เขาว่าค่านั่นค่านี่กว่าจะเลี้ยงจนโตนี่เท่านี้เลยนะ…” จั้กคุ้งชูสามนิ้ว “สามหมื่นเลยนะ ขาดทุนนะนั่น”
“ได้ๆ” เถ้าแก่หนุ่มหัวเราะเสียงทุ้มนุ่มนวล “อั๊วจะพยายามมีลูกชายเยอะๆ จะได้ไม่ขาดทุน”
ญาติดองทางฝั่งระยองพักอยู่หลังงานแต่งงานสองสามวัน ตระเวณกินเที่ยวและพบปะเพื่อนฝูงเก่าๆ ที่เคยเกื้อกูลกันยามมาถึงแผ่นดินไทยใหม่ๆ จนหนำใจก่อนเดินทางกลับอย่างมีความสุข
งานแต่งนี้ที่ไม่ชื่นบานเห็นจะมีเพียงบ้านโบ๊เบ๊ของกุ้ยเตียง หลีมุ่ยไม่ได้มางานแต่สามารถเล่าให้พ่อแม่สามีฟังได้เป็นฉากๆ ว่าเถ้าแก่ส่วงจัดงานดีขนาดไหน ปากขยับขึ้นลงบรรยายว่า…เห็นว่าโต๊ะจีนไปจ้างมาจากนครปฐม โต๊ะนึงราคาร่วมพันเชียวนะ เห็นว่าอาส่วงทั้งยกทั้งซื้อข้าวของให้ครอบครัวแม่นั่นมากมายก่ายกอง หอบหิ้วกันกลับไปทางโน้นจนในบ้านว่างเปล่า
หล่อนพูดแต่เห็นว่า…เห็นว่า…แต่ไม่ได้เห็นจริงกับตาตัวเอง ฟังคนอื่นเล่ามาทั้งนั้น แต่ลีลาท่าทางของหญิงสาวชวนเชื่อมาก กระทั่งหมุยเจ็งอาม้าของกุ้ยเตียงต้องแวะมาเยี่ยมลูกสาวที่บ้านลานมะเกลือด้วยความร้อนใจ
กุ้ยเตียงเห็นสีหน้าเป็นห่วงของมารดาก็เข้าใจได้ หญิงสาวไม่พูดอะไรมากแต่ให้คนงานในบ้านไปตามซิ่วเฮียงมาหา หมุยเจ็งเห็นหน้าตาเรียบๆ ตามด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตัวของ ‘นังแม่ม่ายเจ้าเล่ห์’ ก็อึ้งไปก่อนหลุดปากว่า
“คนนี้นะหรือ”
จากนั้นก็ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์อะไร แค่ซักถามอะไรสองสามคำชวนคุยอย่างมีเมตตาเท่านั้น
ทว่าพอถึงบ้านหมุยเจ็งก็บ่นกับสามีว่า
“สะใภ้ใหญ่ของลื้อนี่ยังไง อายุขนาดนี้แล้วทำไมมองคนไม่เป็นแยกคนไม่ออก เทียบกับญาติอามุ่ยแล้วแม่เด็กนั่นดูหงิมๆ กว่ากันเยอะ ดีนะอาเตียงเรียกเด็กนั่นมาเจอก่อน ไม่งั้นคงหลงด่านังปีศาจจิ้งจอกกับอาส่วงอยู่อีกนาน”
อ่วงเส็งส่ายหน้าน้อยๆ เรื่องลูกสาวคนเดียวกับลูกเขยเขาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่ก็ห้ามไม่ได้ เถ้าแก่มีฐานะมีเมียสองเมียสามเป็นเรื่องปกติ ใครๆ ก็อยากขยายตระกูลให้ใหญ่โตแข็งแกร่ง อีกอย่างลูกสาวแต่งออกแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป ไปยุ่งวุ่นวายนักคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ไม่เหมือนลูกสะใภ้ที่แต่งเข้ามา…
คิดแล้วชายสูงวัยอยากจะส่ายหน้าให้หนักขึ้น ไม่ไหว…ไม่ไหว ตอนไปขอก็ดูแล้วว่าดี ขยันขันแข็งร่างกายแข็งแรงน่าจะมีลูกง่าย แล้วก็สมใจจริงหลีมุ่ยขยันทำงานแถมยังมีหลานชายให้หัวปีท้ายปีอย่างน่าชื่นใจ ทว่านิสัยอื่นที่มากับสะใภ้ใหญ่กลับชวนให้อึดอัดใจไม่น้อย นิสัยที่คิดเล็กคิดน้อยขี้อิจฉา ไม่รู้เกิดปีปี่เซี๊ยะหรืออย่างไรถึงได้อ้าปากกินกว้างๆ โลภในสินทรัพย์ผู้อื่นแต่ตระหนี่กับญาติพี่น้องของสามี แล้วยังนิสัยช่างยุยงนี่อีกล่ะ…
“ลื้อก็เตือนๆ อามุ่ยหน่อยแล้วกัน ส่วนเรื่องอาเตียงรอดูไปก่อน ถ้าอาส่วงหลงเมียใหม่จนรังแกลูกเมียใหญ่ อั๊วจะจัดการเอง”
ตัดสินใจแล้วสองสามีภรรยาสูงวัยก็ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวเถ้าแก่ส่วงอีก แต่ตัวยุยงทนได้เสียที่ไหนกัน พอเห็นแม่สามีถอย หลีมุ่ยก็ร้อนอกร้อนใจต้องแวะไปหาน้องสามีเพื่อเตือนให้ระวัง เตรียมหาทางกดซิ่วเฮียงไว้เพื่อไม่ให้ ‘ผัวหลงเมียใหม่’
กุ้ยเตียงได้แต่กลอกตา นึกในใจว่าพี่สะใภ้ของหล่อนไม่เคยจำอะไรได้นานๆ ครั้งก่อนถูกตอกกลับก็หน้าหงายไปครั้ง เดี๋ยวเดียวกลับมาวุ่นวายใหม่แล้ว ดีแต่ที่หล่อนยุม้าและสะใภ้คนอื่นๆ ในบ้านไม่ขึ้น ไม่งั้นหล่อนคงเหนื่อยใจมากกว่านี้
“ได้ข่าวว่าอาส่วงของลื้อให้เด็กนั่นเริ่มเรียนรู้คุมงานที่ลานมะเกลือหรือ”
“ใช่ อาส่วงเขาอยากไปคุมโรงงานที่สมุทรปราการเต็มตัว อั๊วก็ยุ่งเรื่องร้านที่สะพานหัน ให้เฮียงเรียนรู้งานที่ลานมะเกลือ อีกหน่อยจะได้ช่วยกันตรงนี้” หญิงสาวบอกอย่างใจเย็น
“คงไม่ได้ให้คุมเรื่องบัญชีด้วยหรอกนะ ถ้าจะมีอะไรรั่วไหลมันก็อยู่ตรงนี้แหละ ลื้อเป็นเมียอาส่วง ลื้ออย่าได้วางใจ ระวังจะหมดตัว แล้วนี่เห็นว่าเพิ่งแต่งได้ไม่เท่าไหร่อาส่วงก็ซื้อจักรใหม่ดีๆ ให้แล้วใช่ไหม”
กุ้ยเตียงอยากจะถอนใจออกมาดังๆ
“ซ้อนี่…รู้เยอะเนอะ”
“เราก็ต้องหูตากว้างขวางหน่อยสิ แล้วนี่อั๊วช่วยลื้อจับตามองให้นะ ลื้อน่ะใจเย็นเกินไปใจดีเกินไป อะไรๆ ก็ยอมตามใจผัว ตัวเราเองจะเสียใจทีหลังเอา”
“ก่อนซื้ออาส่วงบอกอั๊วแล้ว เฮียงเป็นคนขยัน ชอบเย็บผ้า ต่อไปเสื้อผ้าอาส่วงกับเด็กๆ ก็ให้เฮียงช่วยเย็บให้ ถ้างานที่โรงงานเร่งก็ยังช่วยเย็บที่บ้านได้ มีจักรไว้มีแต่ได้ไม่มีเสีย”
“อ้อ ไว้ใช้งานหรือ ใช้งานได้ก็ดี แต่อย่างที่อั๊วเตือนว่าอย่าไว้ใจ คนใกล้ตัวก็ไว้ใจไม่ได้ แม้แต่ผัวก็ไว้ใจไม่ได้เหมือนกัน…”
หญิงสาวเหม่อมองไปด้านนอกครู่หนึ่ง เสียงของหลีมุ่ยยังดังเข้าหูไม่ขาด สุดท้ายหล่อนก็เอ่ยขึ้นลอยๆ ว่า
“เน้ยเป็นยังไงบ้างล่ะ เห็นหลงจู๊ฮุ้งบอกว่าวันแต่งเน้ยมาที่ลานมะเกลือแต่ไม่เข้าไปในงาน”
“ฮ้า…” หลีมุ่ยที่กำลังสอนน้องสามีเรื่องมัดใจสามีอย่างชนิดน้ำไหลไฟดับสะดุดกึก ร้องลั่นก่อนถาม “นังนั่นมันจะมาทำไม อาเตียงลื้อคงไม่รู้ว่ามันสร้างปัญหาให้อั๊วขนาดไหน เที่ยวด้วยไปป่าวประกาศในหมู่ญาติว่าอั๊วหลอกให้มันมาเป็นคนงาน หาว่าอั๊วกับลื้อช่วยกันกดหัวมันไม่ให้แต่งให้อาส่วง บอกว่ากลัวมันจะได้ดีกว่าลื้อ นังผีเจาะปากนั่น!”
หญิงสาวจับบทด่าญาติผู้น้องต่อ ทำให้กุ้ยเตียงรู้ว่าตอนนี้เน้ยได้งานใหม่เป็นพนักงานขายเสื้อผ้าในห้างแห่งหนึ่งแล้ว หล่อนออกจากบ้านไปพักกับเพื่อนที่หอพักใกล้ๆ ที่ทำงานใหม่ งานใหม่ มีหน้ามีตาไม่น้อย แต่งหน้าแต่งตัวสวยไปทำงานทุกวัน เน้ยบอกกับญาติพี่น้องว่าถ้าไม่ใช่เพราะหลีมุ่ยถ่วงไว้เพื่อให้หล่อนไปเป็นเมียน้อยเถ้าแก่ส่วง ชีวิตหล่อนคงดีแบบนี้นานแล้ว
หลีมุ่ยฟังแล้วควันออกหู ตอนนั้นใครกันที่เป็นคนอ้อนวอนขอให้ช่วยดันให้เป็นเมียรองคนเขา ใครกันที่ร้องห่มร้องไห้วิ่งหาเตี่ยกับม้าหล่อนกดดันให้หล่อนช่วยส่งเสริม มาถึงตอนนี้กลายเป็นว่าหล่อนทำตัวเป็นนายหน้าหาผู้หญิงไปเป็นเมียสองเมียสามเถ้าแก่ไปได้ น่าแค้นใจนัก!
กุ้ยเตียงต้องทนฟังเสียงพี่สะใภ้บ่นเรื่องเน้ยไปอีกพักใหญ่ แต่หญิงสาวกลับรู้สึกว่าฟังเรื่องนี้ยังเบาหูเบาใจกว่าฟังหลีมุ่ยพร่ำเตือนเรื่องซิ่วเฮียงด้วยความ ‘หวังดี’ มาก
โชคดีที่อาซ้อของหล่อนแวะมาเตือนถี่ ๆ อยู่ไม่กี่เดือนก่อนเริ่มซาไป ตอนที่หล่อนพาลูกๆ ไปเยี่ยมเตี่ยกับม้าที่โบ๊เบ๊ได้ข่าวมาว่าบ้านเดิมของหลีมุ่ยนั้นมีปัญหา หลีสู่น้องชายคนเล็กของหล่อนถูกจับได้ว่าแอบมีแฟนเป็นสาวน้อยคนไทย หลีมุ่ยจึงไปช่วยม้าหล่อนออกโรงกีดกันความรักของน้องชายจนไม่มีเวลามายุ่งเรื่องครอบครัวน้องสาวสามีเท่าไหร่
ชีวิตหลีสู่วุ่นวาย แต่ชีวิตของกุ้ยเตียงสงบขึ้นมาก
หมุยเจ็งถามลูกสาวว่าซิ่วเฮียงแต่งเข้าบ้านมาสร้างปัญหาหรือความหนักใจอะไรให้บ้างหรือเปล่า หญิงสาวก็ตอบกลับไปตามตรงว่า
“ไม่มีนะม้า เฮียงขยันขันแข็งช่วยงานดี ต่อไปคงแบ่งเบาภาระอาส่วงได้บ้าง กับอั๊ว อีก็ดีไม่งอแงหรือเรียกร้องอะไร”
“ดีแล้ว ขอให้อยู่อย่างสงบเสงี่ยมแบบนี้ไปตลอดแล้วกัน อย่าได้ออกลายอะไรมา ลื้อจะได้ไม่ปวดหัว”
ซิ่วเฮียง…ตัวกลางของเรื่องราวแต่กลับไม่รู้กระแสคลื่นลมใดๆ หญิงสาวใช้ชีวิตหลังแต่งงานอย่างเรียบง่าย เช้าก็ตื่นไปลานมะเกลือเรียนรู้งานคุมคนคุมงานจากหลงจู๊ เง็กซิมและเหง็กลั้ง เรียนให้รู้เท่านั้นจากนั้นก็เรียนงานจากส่วง ดูแลเรื่องการผลิตดูแลการส่งออกไปขายตามหน้าร้านต่างๆ
ตกเย็นกลับบ้าน ถ้าวันไหนไม่ไปกินข้าวพร้อมหน้าที่บ้านลานมะเกลือ หล่อนก็กินอะไรง่ายๆ กับเง็กซิม คืนไหนส่วงไม่ได้มาค้างด้วยซิ่วเฮียงก็เปิดจักรเย็บผ้าหรือไม่ก็เย็บดอกไม้ผ้า แม้ทุกวันนี้ส่วงจะให้เงินเดือนหล่อนทุกเดือน และบางทีกุ้ยเตียงก็ให้บ้างเพื่อใช้ซื้อนั่นซื้อนี่เข้าบ้านทั้งสองหลัง แต่หญิงสาวก็ยังทำงานพิเศษเล็กๆ น้อยๆ หาเงินส่งกลับบ้านที่สุพรรณ
ชีวิตของซิ่วเฮียงถือว่าราบรื่นไม่น้อย ส่วงเป็นคนยุติธรรม ถึงมีสองบ้านก็ไม่มีปัญหาเรื่องบ้านใหญ่บ้านเล็ก เด็กสองคนในบ้านก็เข้ากับ ‘เฮียงแจ้’ ได้ดีไม่มีจุกจิกกวนใจอะไร
แต่งได้ประมาณสี่ห้าเดือนก็ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ แต่เช้าซิ่วเฮียงไปบ้านลานมะเกลือเพื่อโม่แป้งทำขนม อาไท่กับอาย้งไม่ได้ไปโรงเรียน หญิงสาวเลยให้เด็กทั้งสองช่วยกันอัดแป้งยัดไส้ใส่พิมพ์ไม้ทำขนมไหว้พระจันทร์ มีแป้งมีไส้ฟักก็อัดพิมพ์ทำขนมโก๋ลายดอกไม้ด้วย ขนมออกมา…แน่นอนว่าต้องบูดๆ เบี้ยวๆ เห็นไส้ล้นจากแป้ง แต่เด็กทั้งสองสนุกกันมาก
กุ้ยเตียงกลับเข้าบ้านในช่วงเย็น เข้าตัวบ้านทางประตูที่ติดกับศาลแป๊ะกง อย่างแรกที่ได้ยินคือเสียงหัวเราะเอะอะดังจากลานกว้างในตัวบ้าน หญิงสาวถามคนงานในบ้านว่า
“ทำไมเสียงดังกันจัง”
คนงานสาวยิ้มพร้อมตอบว่า
“เฮียงแจ้ให้เด็กๆ ช่วยกันจัดโต๊ะไหว้เจ้าค่ะ พอดีมีลูกคนงานสามสี่คนมาช่วยกันด้วยเลยสนุกกันใหญ่”
หญิงสาวเดินออกไปดู เห็นโต๊ะขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางลาน โต๊ะปูผ้าขาวจัดวางทั้งขนมและผลไม้ ซิ่วเฮียงสั่งต้นอ้อยมามัดข้างโต๊ะทำเป็นซุ้มโค้งๆ หล่อนเอาเศษผ้าสีสดมามัดต้นอ้อย เศษผ้าบางส่วนตัดเป็นริ้วๆ ให้เด็กๆ ช่วยกันแต่งต้นอ้อย
และเนื่องจากใช้แรงงานเด็กเล็กจึงต้องคุมกันอย่างดี แถมต้องระวังไม่ให้เด็กคนไหนที่อดใจไม่ไหวแอบหยิบขนมบนโต๊ะไปชิมด้วย เรียกว่าวุ่นวายกันไปหมด
กุ้ยเตียงมองเด็กคนนี้วิ่งเด็กคนนั้นหยิบเด็กอีกคนพยายามแกะๆ ผูกๆ ผ้า ทุกอย่างวุ่นวายแต่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินลูกสองคนของหล่อนหัวเราะเสียงดังเป็นพิเศษแล้ว…หัวใจหล่อนรู้สึกคันยิบๆ ประหลาด กวาดตามองไป…ครั้งแรกไม่เห็นอะไร แต่ครู่หนึ่งอาย้งวิ่งไปหาชูของในมือให้ผู้ใหญ่คนเดียวในกลุ่มเป็นเชิงอวดก่อนออกวิ่งหนี ซิ่วเฮียงร้องไอ๊หย่าแล้วไล่ตามไปรอบๆ โต๊ะอย่างแกล้งไล่เหมือนแมวหยอกหนู มองแล้วเหมือนเด็กโตวิ่งไล่เด็กเล็กไม่มีผิด เด็กคนอื่นๆ ก็พากันเสียงเชียร์ เฮียงแจ้ๆ กันอย่างสนุกสนาน
หญิงสาวที่เฝ้ามองเหยียดริมฝีปากออกเล็กน้อย ไม่รู้ว่าหมั่นไส้หรืออะไรถึงออกปากว่า
“เฮียงแจ้ที่ไหนกัน โอ่ยแจ้* ชัด ๆ”
เชิงอรรถ :
*โอ่ยแจ้ ความหมายคือ พี่เตี้ย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 44 : ฝันสลาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 43 : รอยร้าว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 42 : สัญญา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 41 : อามาลัย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 40 : พบหน้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 39 : ลูกไม่มีพ่อ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 38 : หมากฝรั่งบุหรี่
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 37 : พิราบขาว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 36 : คนนอก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 35 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 2)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 34 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 1)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 33 : คดในข้องอในกระดูก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 32 : สัญญาที่ไม่เป็นธรรม?
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 31 : แม่ม่ายลูกกำพร้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 30 : ฟ้าถล่ม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 29 : ลูกชายลูกชาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 28 : ไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 27 : เด็กน้อยของซิ่วเฮียง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 26 : สันดานคนยากจะเปลี่ยน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 25: รถจี๊ปสีเขียว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 24 : หวังดีเกินไป รักเกินไป
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 23 : เรื่องที่เข้ากันได้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 22 : หยี่แจ้ โอ่ยแจ้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 21 : แต่งงาน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 20 : สู่ขอ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 19 : ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 18 : เห็นขี้ดีกว่าไส้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 17 : กระต่ายก็กัดเป็น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 16 : เลิกกับผัวแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 15 : ปุ๋ยดีไม่ควรปล่อยให้ไหลลงนาผู้อื่น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 14 : ลานมะเกลือ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 13 : ศาลองค์แป๊ะกง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 12 : เข้ากรุง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 11 : ส้วมที่แตกแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 10 : บ้าน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 9 : หันหลังกลับ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 8 : พยอม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 7 : หมดสิ้น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 6 : หาญ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 5 : วาสนา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 4 : ดอกไม้ผ้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 3 : ตุ้มหูทอง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 2 : แม่ผัว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 1 : ซิ่วเฮียง