หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (3)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (3)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

วิมลินเพิ่งก้าวเข้าบริเวณงานเจคก็รี่มาหาทันที “คุณหายไปไหน ผมเกือบไปตามแล้วนะกลัวคุณวิทำอะไรไม่ดี”

หญิงสาวบรรจงถอนหายใจให้เห็นจะจะ “ฉันบอกตั้งไม่รู้กี่ครั้งว่าดูแลตัวเองได้ อย่างตอนที่ลุงเสริฐเรียกคุยแล้วอาสุมาแทรกนั่นก็เหมือนกัน คุณออกหน้าแทนฉันเพื่อให้อาสุโกรธคุณคนเดียวใช่ไหม” เธอขมวดคิ้ว “เลิกเป็นห่วงเสียทีเถอะค่ะ”

แทนที่จะขุ่นเคืองเหมือนเคย คราวนี้เจคกลับยิ้มกึ่งๆ ระอา “คุณนี่น้า ทีลุงเสริฐกับอาสุใช้คุณบังหน้ารับเคราะห์แทน คุณดันไม่โมโหแถมยอมรับหน้าชื่นตาบาน ส่วนผมพยายามปกป้องแท้ๆ คุณกลับต่อว่าอยู่นั่นแหละ ไม่ยุติธรรม!”

ผู้ชายตัวโตทำหน้ามุ่ยบุ้ยปากราวถูกรังแกไร้ทางสู้ วิมลินทั้งโกรธทั้งขำ จะปะทะคารมต่อก็กลัวจะเข้าตัวจึงเสไปเอ่ยว่า “ฉันหิวน้ำแล้วค่ะ”

เจคเลยเดินไปบาร์เครื่องดื่มทันที ปล่อยหญิงสาวไว้กับความสงบสุขชั่วคราว วิมลินยืนแถวนั้นสักพักก็เจอชานนท์อีกครั้ง หนุ่มใหญ่ทักอย่างอารมณ์ดี

“คืนนี้ลุงเพิ่งจะได้คุยกับอิงจริงจังนะ”

หญิงสาวยิ้มตอบ “งานจัดดีเช่นเคยเลยนะคะ”

“ก็เหมือนทุกครั้งนั่นแหละ อย่าลืมแวะชิมค็อกเทลนะ เจ้านี้ลุงเลือกเอง” เขาหันมองรอบ “ว่าแต่เจคล่ะ”

“ไปหยิบเครื่องดื่มให้อิงค่ะ”

ชานนท์หันไปทางบาร์เครื่องดื่ม รำพึงราวพูดกับตัวเอง “ตอนเจอเจคยังไม่ทันคิดอะไร แต่พอมองไกลๆ แบบนี้หุ่นเขาเหมือนเจ้าศลพ่อเราเลยนะเนี่ย”

วิมลินก็กำลังมองเจคเช่นกัน สำรวจแผ่นหลังกว้างเอวสอบ ความสูงที่โดดเด่นเหนือใครนั่นแล้วก็ใจหาย คล้ายกันจริงๆ แหละ กระทั่งวันนี้ตอนเธอเดินลงบันไดแล้วพบเห็นเค้าโครงเงานั่น แวบแรกยังเผลอนึกว่าพ่อยืนอยู่ตรงนั้นจนเกือบพลัดตกบันได

ชานนท์ชวนคุยต่อ “แต่ดีแล้วละที่เจคเหมือนแค่นั้น ไม่ได้สืบทอดนิสัยเจ้าศลมาด้วย”

“คะ?”

หนุ่มใหญ่เพิ่งรู้สึกตัว รีบโบกไม้โบกมือเป็นเชิงขอโทษ “พูดแบบนี้ต่อหน้าลูกสาวเขาคงไม่เหมาะ แต่เจ้าศลมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่ เห็นแก่ตัวเจ้าเล่ห์ละที่หนึ่ง บางครั้งทำลุงโกรธแทบบ้าแต่ดันเกลียดมันไม่ลงสักที เรียกว่ายังไงนะ…มีเสน่ห์ใช่ไหม แต่เป็นเสน่ห์ที่โคตรน่ากลัว เจคไม่เหมือนพ่อตรงนี้แหละดีแล้ว”

วิมลินไม่รู้ควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ ลูกชายกำมะลออย่างเจคจะเอาอะไรไปเหมือนโกศล แต่วัวสันหวะอย่างเธอก็น้ำท่วมปาก โขคดีจังหวะนั้นพนักงานผู้ควบคุมงานเดินมาแจ้งกับชานนท์ว่า

“ท่านครับอีกสิบห้านาทีเริ่มขึ้นเวทีกล่าวต้อนรับแขก เรียนเชิญที่หลังเวทีนะครับ”

หนุ่มใหญ่พยักหน้า เอ่ยกับวิมลิน “สักเดี๋ยวอิงพาเจคตามลุงไปนะ เห็นว่าจะมีประกาศอะไรกันด้วยใช่ไหม คุณวิแกขออุบรายละเอียดไว้ก่อน”

หญิงสาวผงกศีรษะรับ เมื่อชานนท์ไปเจคก็กลับมาพอดี ในมือถือน้ำผลไม้ให้วิมลิน “ผมเห็นแวบๆ คุยกับคุณชานนท์หรือ”

“เราต้องขึ้นเวทีแล้วค่ะเตรียมตัวด้วย” เธอตอบพลางล้วงในกระเป๋าถือ หมายหยิบโทรศัพท์มาตรวจสอบการติดต่อเพราะสักพักคงไม่มีเวลาอีกนาน “อ้าว ทำไมโทรศัพท์ไม่อยู่ในกระเป๋า”

ลองย้อนคิด วันนี้เจคทำหน้าที่สารถีขับพามาถึงที่นี่ ระหว่างทางหญิงสาวคุยโทรศัพท์กับประเสริฐทบทวนรายละเอียดกันอีกเที่ยว แล้วเจคชวนคุยต่อจึงเผลอลืมโทรศัพท์ไว้บนเบาะ

“รอแป๊บนะคะ จะไปเอาโทรศัพท์ที่รถ”

“รอขึ้นเวทีก่อนเถอะเดี๋ยวไม่ทัน ถ้ามีอะไรด่วนใช้เครื่องผมสำรอง” เขาล้วงกระเป๋ากางเกง แต่พอจ้องเครื่องมือสื่อสารของตัวเองก็เลิกคิ้ว “หน้าจอไม่ติดได้ยังไง อ๋อ แบตหมด”

คนฟังทำหน้าละเหี่ย “สะเพร่าจัง ฉันไปเอาโทรศัพท์ดีกว่า”

“บอกแล้วกลัวไม่ทันเพราะที่จอดรถอยู่ตั้งไกล แค่เรื่องเล็กน้อยเองน่า” ชายหนุ่มกล่อมพลางนำหญิงสาวเดินไปบาร์เครื่องดื่มเพื่อขอความช่วยเหลือชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์ ด้วยตอนมาเอาเครื่องดื่มแอบเห็นพวกพนักงานนำเครื่องของตนเสียบสายไฟใต้เคาน์เตอร์ โชคดีมีรุ่นตรงกันพอดี เจคทำท่าปัดสองมือพร้อมยักคิ้วให้หญิงสาว

“เป็นไงล่ะ ลงเวทีกลับมาก็มีโทรศัพท์ใช้แล้ว”

ในช่วงเวลาเดียวกัน บนถนนที่วิ่งตรงสู่ชานเมืองของกรุงเทพฯ ภวัตมือกำพวงมาลัยบังคับรถ ปากก็ถามปวินท์ผู้นั่งข้าง

“พี่ปริ้นแน่ใจนะว่าเรื่องจริง”

“จริงสิเว้ย!” ปวินท์กระชากเสียง “คุณวิแกหลอกเจคกับอิงไปขึ้นเวทีสมาคมเพื่อหักหน้า เธอไม่คิดจะรอมชอมอะไรกับเรามาตั้งแต่ต้นแล้ว!”

อันที่จริงปวินท์ไม่ควรรู้เรื่องพวกนี้เพราะประเสริฐตั้งใจปกปิดตามแผนที่เตรียมไว้ เขาจึงชวนภรรยาไปต่างจังหวัดด้วยเพื่อกันเธอปากโป้ง แต่เผอิญเมื่อเช้าปวินท์โทรศัพท์หาแม่ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ แม่เขาดันหลุดปากบอกเทวิกาเคยไปกินข้าวเย็นกับประเสริฐเหมือนที่เคยเล่าให้สุขุมาลฟัง ปวินท์ไม่ชอบขี้หน้าเทวิกามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จึงยิ่งสะกิดใจเลยวิ่งวุ่นสืบข้อมูลตลอดทั้งวันจนเพิ่งได้เบาะแสเมื่อครู่นี้เอง

งานใหญ่ที่เทวิกาไปติดต่อไว้ล่มไม่เป็นท่าจริงๆ พี่ชายเธอที่เพิ่งขึ้นเป็นประธานบริษัทแทนพ่อจึงบีบให้เธอกลับมาคืนดีกับบุหรงกาญจน์ก็เรื่องจริง แต่เทวิกากลับคิดจะใช้งานสังสรรค์ของสมาคม ขึ้นเวทีไปบอกปฏิเสธการร่วมมือเพื่อหักหน้าบุหรงกาญจน์ท่ามกลางสายตาผู้คน…นั่นจริงเสียยิ่งกว่าจริง!

ครั้นทุกอย่างแน่ชัดปวินท์เลยพยายามติดต่อทุกคน แต่ที่รับสายกลับมีภวัตแค่คนเดียว

“คุณวิเธอจะทำงั้นทำไม” ภวัตตั้งข้อสังเกต “สูญผลประโยชน์ทุกทางแลกแค่ความสะใจชั่ววูบ ใครจะเสียสติขนาดนั้น”

ปวินท์หวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนโกศลบอกเลิกเทวิกาต่อหน้าเขา ภาพเทวิการ้องห่มร้องไห้สาปแช่งโกศลกับครอบครัวบุหรงกาญจน์แทบไม่เหลือชิ้นดี เลยส่งเสียงเชอะออกมาคราหนึ่ง

“ใช่ใครจะเสียสติขนาดนั้น เพราะความคิดแบบคนปกตินี่ไงถึงโดนคุณวิหลอกจนหัวปั่น เชื่อเถอะ คนอย่างนั้นยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเอาคืนอาศล…ไม่สิตอนนี้ต้องเป็นเอาคืนอิงกับเจค ขอแค่ทำให้เจ็บใจได้เธอยินดีสละทุกอย่างนั่นแหละ”

“อย่าเพิ่งเครียดน่า อย่างมากก็แค่เสียหน้านิดหน่อย”

“แกอยู่แต่ฝ่ายกฎหมายเลยไม่รู้อะไร งานนี้เขาเชิญนักธุรกิจจากอินโดร่วมด้วย บุหรงกาญจน์กำลังเสนอสินค้าให้พวกนี้แข่งกับอีกเจ้าอยู่ สูสีกันน่าดู แล้วลองคิดภาพดูสิ ว่าที่ประธานของเราขึ้นเวทีไปแบบโก้ๆ จากนั้นโดนปฏิเสธใส่ซะหน้าแหก พวกนั้นจะมองเรายังไง…ก็มองเป็นไก่อ่อนดีๆ นี่เอง ใครจะอยากเจรจาธุรกิจกับพวกไก่อ่อน”

ภวัตครางอ๋อย “คุณวิวางแผนไว้ขนาดนี้เลยหรือ เจ้าเล่ห์เป็นบ้า”

ปวินท์ชกหมัดกับฝ่ามือ “พูดก็พูดเถอะ คนเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบนั้นยอมร่างแหลกแต่ไม่มีวันหวนมาคืนดีกับบุหรงกาญจน์หรอก ถ้าเธอหักหน้าพวกเราต่อหน้าประชาชีเท่ากับปิดตายการรอมชอมแบบถาวร ถึงพี่ชายเธออยากคืนดีเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้อีกแล้ว เข้าทางเธอทุกอย่าง”

ภวัตนิ่งคิดก่อนถอนหายใจ “ติดต่ออิงกับเจคได้ยัง”

“ไม่ได้โว้ย คนหนึ่งโทรไปยังไงก็ไม่รับสาย อีกคนดันปิดเครื่องซะนี่ ปิดทำไมวะ” ปวินท์บ่นไปด่าไปด้วยความเครียด “ไอ้ฉันชะล่าใจเกิน มัวแต่วิ่งสืบข้อมูลขาขวิดลืมติดต่อพวกนั้นไว้แต่เนิ่นๆ”

“แล้วคนอื่นล่ะ เขาอาจมีทางเลือกให้เรานะ”

“อาสุกับลูกปลานั่งเครื่องอยู่ ส่วนพ่อปิดโทรศัพท์เพราะคุยงาน ฉันโทรหาแม่แม่ก็จนปัญญา บอกพ่อไปคุยกับคู่ค้าที่ร้านอาหารนอกโรงแรมไม่รู้ตรงไหน”

“เลยติดต่อใครไม่ได้สักคน” ภวัตสรุป

“มันความผิดฉันรึไงเฮอะ พวกเราถึงต้องรีบบึ่งไปงานสมาคมกันตาเหลือกอยู่นี่ไง ทำไมไปจัดซะนอกเมืองขนาดนี้วะ ขอให้ทันก่อนคุณวิจะลงมือทำอะไรด้วยเถอะ”

ภวัตไม่ตอบคำ แต่เพิ่มแรงยังปลายเท้ากดคันเร่งให้หนักขึ้นอีก

 



Don`t copy text!