หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (3)
โดย : สิตา
หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co
หญิงสาวกะพริบตาปริบ จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่ตอนฝ่ามือเขาผละจากนำพาความอบอุ่นไกลห่างไปด้วย ใจเธอพลันว่างโหวงทนแทบไม่ไหว
คำพูดว่าร้ายของเทวิกาประหนึ่งหนอนชอนไชบนผิวเน่าเฟะ เปิดเปลือยบาดแผลที่พยายามหลบเลี่ยง หัวใจเจ็บปวดคล้ายที่ไหลเวียนอยู่ในนั้นมีเพียงน้ำตา แล้วเจคก็ไม่รีรอสักวินาทีที่จะพุ่งมากุมมือเธอไว้
เหมือนเช่นตอนนี้
“อิง…ผมอยากปกป้องดูแลคุณด้วยฐานะของผู้ชายคนหนึ่ง ให้โอกาสผมได้ไหม”
หญิงสาวก้มลงยังฝ่ามือหนาใหญ่ซึ่งยื่นมาตรงหน้า เจคทิ้งเสื้อสูทและเนกไทไว้หลังรถ พับแขนเสื้อสองข้างขึ้นเหนือข้อศอก วิมลินจึงเห็นรอยแดงรูปนิ้วจางๆ ตรงท่อนแขนเหนือข้อมือของเขาชัดเจน เธอจำได้ทันที มันเกิดจากตอนที่เธอโต้เถียงกับเทวิกาแล้วเผลอบีบแขนเขาด้วยแรงอารมณ์ ปกติแค่กำลังผู้หญิงไม่ควรทำให้เกิดรอยเช่นนี้ ตอนนั้นเธอคงโกรธจนหน้ามืด เขาน่าจะเจ็บแต่กลับไม่บ่นสักคำ
ทำไมกันนะ แม้ตั้งใจถอยห่างจากเจคสักเท่าไร รู้ตัวอีกครากลับกลายเป็นเขาเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกครั้ง ชายหนุ่มเหมือนวัวดื้อที่เอาแต่วิ่งชนครั้งแล้วครั้งเล่าจนกำแพงแข็งแกร่งยังพังทลาย
และหัวใจเธอ…มันใช่กำแพงเสียที่ไหนกัน
สายตาวิมลินยังจับตรึงอยู่ที่มือชายหนุ่ม เธอรู้…รู้จนถึงก้นบึ้งเลยว่าฝ่ามือนี้จะไม่มีวันถอยกลับ แม้เพียรปฏิเสธสักกี่ครั้ง พยายามผลักไสสักกี่หน ไม่ว่าจะกำลังเผชิญหน้าหรือหันหลังให้ ก็ยังคงรอคอยอยู่ที่เดิมเสมอ ดั่งภาพซ้อนทับจากสมัยเด็กที่พี่แคนมักยื่นมือมาหาเช่นเดียวกัน คอยดึงจากพื้นเวลาหกล้ม ดันเธอปีนขึ้นต้นไม้ ตบหัวปลอบประโลมยามร้องไห้
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่มือนั้นหายไปโดยไม่ทันตระหนัก วิมลินค่อยๆ เรียนรู้ที่จะใช้สองขายืนหยัดเป็นหลักให้แม่ยึด ใช้สองขาวิ่งไล่ตามแผ่นหลังของพ่อ ใช้สองขาประคองตัวเองไว้ในงานศพท่านทั้งสอง จนกระทั่งเจคปรากฏกายขึ้น…ยื่นมือออกมาหาเธออีกครั้ง
ความโหยหาเอ่อท้นขึ้นมา…ยิ่งกว่าความกระหายยามขาดน้ำกลางทะเลทรายหลายร้อยเท่า ลึกล้ำจนแม้รู้ทั้งรู้ว่าเบื้องหน้าคือบ่อยาพิษ…ก็ยังพร้อมกระโดดลงไป
รู้สึกตัวอีกครั้ง นิ้วของหญิงสาวก็สอดอยู่ในอุ้งมือหนาใหญ่นั่นแล้ว วิบหนึ่ง ความหลากใจพาดผ่านแววตาเจคก่อนวูบหายดุจน้ำป่าเชี่ยวกราก ประกายพร่างระยับผุดแทนที่จนคนมองตาพร่า วิมลินปล่อยให้เขาดึงตัวออกจากห้องโดยสาร ชายหนุ่มหัวเราะในคอเมื่อตระหนักว่าเธอตั้งใจทิ้งรองเท้าไว้ในรถ เตะรองเท้าหนังตัวเองไปคนละทางและถอดถุงเท้า จูงเธอผ่านประตูหน้าทะลุประตูหลังถึงสวนหย่อมที่เขาชอบเดินเล่นบ่อยๆ
แถวนี้ไม่มีโคมไฟอัตโนมัติ เจคเองก็ไม่แตะต้องสวิตช์ไฟ อาศัยเพียงแสงจันทร์เพ็ญนำทางไปกลางสนาม สัมผัสของหญ้าใต้ฝ่าเท้าชวนให้ใจสงบอย่างประหลาด พวกเขาจับมือแขนไขว้กันจนท้องแขนแนบชิด ท่ามกลางอากาศร้อนอ้าวแต่ไออุ่นจากเขากลับไม่ทำให้อึดอัด
วิมลินไม่เคยคิด ในชีวิตจะเจอสักครั้งที่ใส่ชุดราตรีเดินเท้าเปล่ากลางสวน โดยมีชายหนุ่มเท้าเปล่าเปลือยเช่นกันอยู่เคียงข้าง ปล่อยชุดเปื้อนดินเปียกน้ำค้างโดยไม่สนสายตาใคร บางทีถ้าสนามทอดยาวไปเรื่อยๆ กลางคืนเนิ่นนานจนกลางวันไม่มีทางมาถึง ให้พวกเขาเดินเล่นอย่างไร้ที่สิ้นสุดก็คงดี
วิมลินรั้งสายตายังเสี้ยวหน้าคมเข้ม รำพึงแผ่วเบา “ที่เทวิกาเคยวางยาพี่แคน เรื่องจริงหรือ” เธอเลิกเอ่ยถึงผู้หญิงคนนั้นแบบให้เกียรติอีกต่อไป
ฝีเท้าสม่ำเสมอพลันช้าลงนิดหนึ่ง “ครับ”
“แปลกนะ ถ้าถูกวางยาทำไมหมอตรวจไม่เจอ”
“หมอคงไม่ทันคิดจะมีใครอยากวางยาเด็กมั้ง ของพวกนี้ถ้าไม่ตั้งใจตรวจหาไม่เจอหรอก หมอเลยมองเหมือนอาการอาหารเป็นพิษ ทางนั้นคงตั้งใจวางยาทีละนิดกะปริมาณให้น้อยที่สุดเท่าที่จะออกฤทธิ์ถึงตาย แล้วหมาดันมารับเคราะห์พอดี”
วิมลินหลับตาเก็บงำความหดหู่ไว้ ไออุ่นจากเขาซึมซาบเข้ามาราวจะปลอบประโลม หญิงสาวพลันลืมตาขึ้นอีกครั้ง “ถ้างั้นที่แม่ฉันทำลงไปนั่นล่ะ…จริงไหม”
มือที่กุมมือเธอไว้บีบแน่นกว่าเดิม เดินอีกสองสามก้าวก็ถึงม้านั่งยาวริมขอบสนาม พวกเขาหย่อนตัวลงพร้อมกัน
“ผมไม่รู้หรอกมันจริงไหม เพราะแม่ผกาก็ไม่รู้ หรืออาจรู้แต่ไม่เล่าให้แคนฟัง” ตำแหน่งที่เจคนั่งอยู่ใต้ร่มไม้พอดี เงาต้นมะฮอกกานีใบใหญ่จึงบังแสงจันทร์จนยากมองสีหน้าเขา มีเพียงน้ำเสียงเรียบเรื่อยราวลอยมาจากที่ไกลแสนไกล “แต่คนที่ตอบคำถามนี้ได้ควรเป็นคุณมากกว่านะ”
ตรงที่วิมลินนั่งห่างจากเงาไม้ หญิงสาวจึงสามารถเงยหน้ามองดวงเดือนสุกปลั่งเต็มสองตา “ทำไมคิดอย่างงั้นล่ะ”
“ปฏิกิริยาคุณตอนโต้ตอบใส่เทวิกา มันไม่ใช่อาการช็อกตกใจกับข่าวร้ายเลย แต่เหมือน…กำลังเจ็บปวดเสียมากกว่า อีกอย่างคุณยอมแพ้เร็วเกินไป ถ้าคนที่รักโดนใส่ร้ายเป็นผมคงขอเถียงจนตาย ไม่ยอมรับมันง่ายดายแบบนั้นหรอก” เขาผ่อนลมหายใจขณะเสริมว่า “คุณรู้เรื่องที่แม่ตัวเองทำกับแม่ผกาอยู่แล้วใช่ไหม”
แสงจันทร์เจิดจ้าราวจะอาบทั้งตัววิมลินเอาไว้ ยิ่งพระจันทร์งดงามเท่าไร เธอยิ่งรู้สึกว่าตัวเองอัปลักษณ์ขึ้นเท่านั้น “คุณจะโกรธไหมถ้าฉันมีความลับเก็บซ่อนไว้”
“รู้หรือเปล่า…ทุกคนล้วนมีความลับกันทั้งนั้นแหละ” ลมพัดจนใบไม้ขยับไหวก่อเงาบิดเบี้ยวบนหน้าเขา วิมลินกลับมองผ่านด้วยมัวแต่พะวงในความคิด
“ที่แม่เคยคุยกับเทวิกาจะกันป้าผกาและพี่แคนจากบ้านบุหรงกาญจน์ ฉันไม่รู้เรื่องนั้นเลยจริงๆ ค่ะ แต่รู้เรื่องอื่น…” เธอก้มดูมือตัวเอง ควานหาราวจะค้นพบคราบแปดเปื้อนที่ประทับอยู่บนนั้น “ตอนฉันเรียนสักมอสี่ ออกมาอยู่กับแม่ตามลำพังแล้ว ฉันคิดถึงพี่แคน รู้สึกมาตลอดว่าเขาไม่ได้รับความยุติธรรม แต่ตอนนั้นฉันยังเด็กทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เลยตัดสินใจพูดกับแม่ ขอร้องให้ท่านช่วยหาทางคุยกับพ่อหรืออะไรก็ได้เพื่อพาตัวป้าผกาและพี่แคนกลับบ้าน”
เจคหรี่ตา เขาพอรู้วิมลินเคยพยายามพาเจคกลับบ้านหลายครั้ง แต่ไม่คิดเลยเธอจะเริ่มจริงจังตั้งแต่เพิ่งอยู่มัธยม “แล้วทำไมเลือกเวลานั้นลงมือทำล่ะ”
เธอส่ายหน้าหัวเราะ “ช่วงวัยรุ่นนี่คะ เพิ่งสลัดชุดคอซองทิ้งก็คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว โตพอจะทำได้ทุกอย่าง ปีนั้นแม่เตรียมจัดงานวันเกิดให้เหมือนเคยเลยส่งภาพเค้กมาให้เลือก ฉันเปิดไปเจอภาพเค้กขอนไม้แบบที่ป้าผกาเคยอบในงานวันเกิดครั้งสุดท้ายกับพวกเขา มัน…” วิมลินหันหน้าหนี ปัดนิ้วเกลี่ยหยดน้ำจากหางตาเร็วๆ “ฉันก็แค่อยากกินเค้กกับพี่แคนอีกครั้งเท่านั้นเอง”
ต้องการทวงคืนมา บางคนและบางสิ่ง…ที่หล่นหายในกระแสกาลเวลาเชี่ยวกราก
เจคดึงมือเธอวางพาดบนตักตัวเอง ตบเบาๆ แทนการปลอบประโลม “ผมพอเดาออก แม่คุณคงไม่ยอมช่วยใช่ไหม แน่ละ…ก็ตอนนั้นคุณกลายเป็นทายาทเพียงคนเดียวตามที่เธอหวัง จะเอาคนอื่นกลับมาวุ่นวายทำไมอีก คุณไม่ต้องเล่าแล้ว…ผมเข้าใจ”
“แม่ปฏิเสธจริงๆ ค่ะ ยกเหตุผลร้อยแปดมาอ้างแต่ฉันไม่เปลี่ยนใจ ในความคิดฉันทายาทของพ่อควรเป็นพี่แคนเท่านั้น เลยยื่นคำขาดกับแม่ บอกถ้าไม่ช่วยฉันจะคุยกับพ่อเอง ขอสละสิทธิ์ทายาทเพื่อให้พี่แคนกลับมา” ยิ้มเย็นเยียบผุดยังริมฝีปาก “ย้อนคิดทีไรก็ขำ ฉันตอนนั้นช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน”
เจคทอดสายตามองโดยไม่เอ่ยคำ ถ้าเธออยากเล่าเขาก็พร้อมจะเป็นฝ่ายรับฟัง
“พอฉันหลุดปากสีหน้าแม่เปลี่ยนทันทีเลย” เธอใช้มือที่ว่างลูบแขนซึ่งขนลุกชัน “คุณไม่เห็นอย่างที่ฉันเห็น แววตาของแม่ตอนนั้นมัน…มันน่ากลัวมาก ฉันไม่เคยเจอแม่เป็นแบบนี้มาก่อน…และไม่อยากเจอเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว”
นิ้วมือหญิงสาวที่เขาเกาะกุมไว้สั่นระริก เธอหลับตาคล้ายไม่เหลือเรี่ยวแรงเผชิญหน้าใคร “แล้วแม่ก็เล่าสิ่งที่ท่านทำกับป้าผกาให้ฟัง แต่มันเป็นคนละอย่างกับของเทวิกา มันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ป้าผกาคบชู้”
แผ่นหลังกว้างของเจคเกร็งเขม็งทันควัน เขาเลียริมฝีปาก ค่อยๆ พูดอย่างระมัดระวัง “น้าวาดบอกอะไรคุณ”
หญิงสาวเลิกเปลือกตาขึ้น จ้องไปยังอากาศราวจะใช้สายตาเลื่อนลอยคว้าจับบางสิ่งจากความเวิ้งว้างเบื้องหน้า
วิมลินในชุดนักเรียนมัธยมปลายใหม่เอี่ยม ยืนกระสับกระส่ายหน้าโทรทัศน์จอยักษ์ซึ่งฝังในผนังคอนโดนิเนียม ด้านข้างเป็นประตูเลื่อนกระจกกว้างเต็มผนัง บนชั้นสามสิบห้าของห้องในอาคารชุดแห่งนี้มองออกไปเห็นทิวทัศน์ยามหัวค่ำของกรุงเทพฯ จากมุมสูง แสงไฟหลากสีสันบนทั่วทุกตึกราวดวงไฟประดับประดาในงานเทศกาลชวนรื่นเริง
แต่บรรยากาศระหว่างเธอกับแม่กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
วาดจันทร์สวมชุดอยู่บ้านเป็นเสื้อคอปาดกางเกงผ้าฝ้ายห้าส่วน แต่งหน้าเบาบางแต่ยิ่งขับเน้นประกายเย้ายวนในดวงตา ทว่าเวลานี้ถูกกลบกลืนด้วยเงาหมอกอึมครึม
‘คิดพิเรนทร์อะไรล่ะอิง จนป่านนี้จะรื้อฟื้นเรื่องพี่ผกากับแคนทำไม’
วิมลินเม้มริมฝีปาก สมัยที่เพิ่งเกิดเรื่องเธอยังเด็กมาก หลังหายตกใจที่จู่ๆ พี่ชายคนสนิทจากไปอย่างกะทันหันเสียยิ่งกว่าตอนเขาเข้าบ้าน วิมลินก็พยายามถามหาเหตุผลตามประสาเด็ก ไม่ใช่ความอยากรู้อยากเห็นอะไรเลย แค่ต้องการทราบเมื่อไรพี่แคนจะกลับมาเท่านั้น ให้ตายเด็กสาวก็ไม่มีวันเชื่อว่าพี่แคนจะทิ้งเธอไปง่ายดายแบบนี้ แต่ทุกคนล้วนตอบเหมือนกันราวแผ่นเสียงตกร่อง…ไม่ใช่ธุระของเด็ก!
จวบจนเด็กสาวค่อยๆ เติบโตขึ้น ซึมซาบและทำความรู้จักโลกของผู้ใหญ่ไปทีละน้อย เธอกลับไม่เข้าใจมันยิ่งกว่าเดิม ทว่าแม้จะหอบความไม่เข้าใจพุ่งเข้าใส่สักกี่ครั้ง กำแพงสูงตระหง่านก็ผลักเธอล้มคว่ำเสียทุกคราว พอเงยหน้าขึ้น บนกำแพงจะมีข้อความแค่ประโยคเดียว
ไม่ใช่ธุระของเด็ก!
วิมลินต้องเก็บกดความโกรธเกรี้ยวเอาไว้ รอจนถึงเวลาที่จะไม่มีใครสามารถพูดคำนั้นใส่เธอได้อีก!
‘อิงอยากรื้อฟื้นเรื่องในอดีตเพราะมันไม่ควรจบแบบนั้นต่างหากล่ะคะ’ สาวน้อยเดินไปยอบตัวคุกเข่าข้างมารดา วางมือเกาะตักเธอ ‘ใช้ชีวิตนอกบ้านต้องลำบากขนาดไหน ป้าผกาคงได้รับบทเรียนเพียงพอแล้ว พาพวกเขากลับมาเถอะค่ะ ถ้าแม่ยอมพูดกับพ่อน่าจะช่วยอะไรได้’
วาดจันทร์นวดหัวคิ้วยับย่น ‘หลังเข้ามอต้นอิงก็เลิกพูดเรื่องนี้จนแม่นึกว่าลืมไปแล้ว ทำไมจู่ๆ เอากลับมาย้ำอีกล่ะ พอเถอะ…แม่ไม่ขอยุ่ง’
วิมลินกำหมัดแน่น คุยมาครึ่งค่อนวันตั้งแต่เธอกลับจากโรงเรียนแม่ยังยืนกรานเช่นเดิม ทว่าเธอก็ไม่ใช้เด็กน้อยที่ได้แต่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเพียงอย่างเดียวอีกแล้ว
‘ช่างเถอะค่ะ ถ้าแม่ไม่ยุ่งอิงจะไปพูดกับพ่อเอง ขอแค่อิงไม่รับตำแหน่งทายาทพ่อก็ต้องพาพี่แคนกลับมา!’ กล่าวจบวิมลินพลันลุกพรวด ตอนนี้เพิ่งหัวค่ำเธอมีเวลาพอจะเดินทางไปหาบิดาที่บ้านเขา
แต่แล้วสาวน้อยก็ไม่อาจกระทำตามใจคิดได้
วิมลินก้มมองมือมารดาที่ยื้อยุดแขนเธอไว้ บีบแน่นจนเธอเผลอนิ่วหน้า วาดจันทร์กระชากบุตรสาวล้มใส่โซฟาที่นั่งอยู่ ตะปบไหล่อีกฝ่ายไว้พลางตวาดลั่น
‘อิง! พูดพล่อยๆ อะไรออกมารู้ตัวไหม’
สาวน้อยผวาเฮือก ใบหน้าวาดจันทร์คล้ายมีเงาทะมึนปกคลุมไว้ชั้นหนึ่ง แต่เปลวเพลิงในแววตากลับถลึงจ้องทะลุออกมาได้ เหมือนแม่กำลังมองผ่านเธอไปเผชิญหน้าใครบางคนด้วยความรังเกียจเคียดแค้น คนที่อยากกระชากหัวใจมาขยี้แหลกคามือ!
วิมลินขนลุกซู่ ถดตัวหนีห่าง ‘แม่…แม่เป็นอะไรไป’
เสียงสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวทำให้วาดจันทร์ได้สติ เธอรีบปล่อยมือจากบุตรสาว เปลวเพลิงที่เคยปะทุอยู่ในแววตาวิบหายราวอากาศธาตุ พุ่งเข้ากอดบุตรสาวพลางกล่าวละล่ำละลัก
‘อิง แม่ขอโทษ…ขอโทษ!’
หัวใจสาวน้อยเต้นกระหน่ำเป็นนานกว่ากายจะหายสั่น พยายามขืนตัวออกจากอกมารดา วาดจันทร์จึงเปลี่ยนมาลูบหัวอีกฝ่าย จูบกระหม่อมอย่างสำนึกผิด
‘แม่ไม่ได้ตั้งใจนะอิง แม่แค่…แค่เครียดมากไปหน่อย’
คำแก้ตัวส่งๆ ย่อมหลอกวิมลินไม่ได้ สาวน้อยนึกทบทวนอากัปกิริยาที่วาดจันทร์เคยใช้เวลาพยายามหลบเลี่ยงคำถามเธอต่อเรื่องของผกากับพี่แคน พริบตานั้นเองคำอธิบายแบบหนึ่งก็พุ่งเข้ามาปานสายฟ้าฟาดใส่หน้า เหยียบหัวใจวิมลินและย่ำมันไว้แทบเท้า ดั่งคำเตือนครั้งสุดท้ายว่าอย่าริอ่านเปิดประตูต้องห้ามบานนั้นเด็ดขาด!
แต่หัวใจกลับไม่ยอมรับฟัง มันบังคับให้ลิ้นตั้งคำถามก่อนสมองจะทันห้ามปรามเสียด้วยซ้ำ
‘ที่ป้าผกากับพี่แคนต้องออกจากบ้าน เพราะแม่แอบทำอะไรบางอย่างใช่ไหมคะ’
แทงทีเดียวได้เลือด วาดจันทร์สะท้านเฮือก รีบปฏิเสธปากสั่น ‘ไม่นะ…ไม่ใช่’
วิมลินหน้าซีด มือที่เกาะแขนวาดจันทร์ไว้ผล็อยตก ‘แม่คะ อย่าโกหกอีกเลยค่ะ’
แต่วาดจันทร์ยังคงยืนกระต่ายขาเดียว อ้างสารพัดเหตุผลที่ฟังไม่เข้าท่าสักอย่าง สุดท้ายสาวน้อยจึงตัดสินใจยื่นคำขาด ‘ถ้าแม่ไม่ยอมสารภาพ อิงจะไปพูดกับพ่อเอง!’
‘แม่ไม่ให้ไป!’ วาดจันทร์กรีดร้อง
‘แล้วแม่จะทำยังไงล่ะคะ จะลองขังอิงไว้ไม่ให้ไปหาพ่อก็ได้ แต่คิดว่าวันนี้ทำได้แล้วจะทำได้ไปตลอดชีวิตงั้นหรือคะ’ สาวน้อยคว้ามือบุพการีมากุมแน่น จ้องลึกเข้าไปในแววตาหวาดหวั่นของอีกฝ่าย ‘บอกอิงมาเถอะค่ะ ถ้ามีอะไรผิดพลาดเราจะได้ช่วยกันแก้ไข’
วาดจันทร์ลังเลอยู่เป็นนาน แต่ทนคำรบเร้าทั้งปลอบทั้งขู่ของบุตรสาวไม่ได้จึงยอมสารภาพในที่สุด
‘สมัยตอนพ่อเราควานหาตัวผู้หญิงที่ลอบคบคนนอกบ้านนั่นน่ะ แต่อย่างไรก็หาไม่เจอสักที ผกาจำใจไปสารภาพความจริงกับพ่อเราก็เพราะแม่เอง!’
วิมลินรับฟังจนหูอื้ออึง รู้สึกราวแสงในห้องมืดดับลงทันใด ‘ว่าไงนะคะ! เรื่องมันเป็นมายังไงอิงงงไปหมดแล้ว’
วาดจันทร์อ้ำอึ้ง ก่อนหลุดปากเสียงแหบ ‘หลักฐานที่พ่อเราจะใช้มัดตัวผู้หญิงคนนั้นก็คือกุญแจประตูหลังบ้านที่หายไป เผอิญแม่เคยเจอผกาใช้กุญแจดอกนั้นไขประตูหลังบ้านตอนดึกมาก่อน คราวแรกก็ยังไม่เอะใจอะไรแต่ป้าโฉมน่ะสิ’ วาดจันทร์อ้างถึงอดีตหัวหน้าแม่บ้าน ‘แกเอาแต่ถามคนอื่นเรื่องกุญแจจนแม่ชักสงสัย ตะล่อมซักไซ้จนรู้ต้นสายปลายเหตุ พอเอาทุกอย่างมาจับคู่กันก็คิดออกเลยไปเค้นถามผกา ขู่ให้เธอสารภาพความจริงไม่งั้นแม่จะฟ้องคุณศลเอง อิงต้องเข้าใจแม่นะ ถึงอย่างไรผกาก็หนีความผิดไม่พ้นหรอก’
สาวน้อยสูดลมหายใจลึกจนปอดเจ็บแปลบ หนีไม่พ้นอย่างนั้นหรือ…ไม่จริงเลยสักนิด แค่กุญแจดอกนิดเดียวจะทำลายหรือซ่อนให้มิดชิดย่อมง่ายดาย เพียงเอาไปวางไกลหูไกลตาแม้มีคนเจอก็สาวถึงตัวเจ้าของไม่ได้แล้ว แม่เองทราบแก่ใจถึงรีบข่มขู่ผกา ป้องกันอีกฝ่ายทำลายหลักฐานไปเสียก่อน!
‘แม่อย่าโกหกอิงอีกเลยค่ะ ถ้าแม่คิดจะช่วยป้าผกาก็มีวิธีตั้งร้อยแปด ป้าผกาไม่เหมือนคุณวิ แกดีกับเราสองแม่ลูกมาตลอดแต่แม่ยังคิดจะเอาผิดแก…เพราะอะไรกันคะ’
วาดจันทร์เบือนหน้าหลบสายตาบุตรสาว ไหล่สองข้างสั่นสะท้านจนต้องยกมือกดไว้ ‘แม่เพิ่งรู้ทีหลัง คุณวิแท้งและมีลูกไม่ได้อีก ฉะนั้นถ้าแคนเกิดปัญหาอิงก็อาจกลายเป็นทายาทเพียงคนเดียวของพ่อ’
ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายอีกแล้ว คำพูดมารดาดั่งมีดเสียบทะลุหัวใจเธอจนมิดด้าม นึกอยากกรีดร้องแต่ในอกมันจุกไปหมด วิมลินตั้งสติอยู่เป็นนานกว่าจะหลุดเสียงสั่นเครือออกมาได้
‘แม่ถึงกลัวที่จะให้ป้าผกากับพี่แคนกลับบ้านใช่ไหมคะ’
‘ถ้าคุณศลยอมรับแคนในฐานะทายาท เขาไม่ปล่อยเราสองแม่ลูกไว้แน่ แค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น’
‘ไม่จริงค่ะ’ สาวน้อยค้านเสียงหลง ‘พี่แคนไม่มีวันทำอย่างนั้นกับพวกเรา’
‘อิงแน่ใจได้อย่างไร แม่ไม่มีวันยอมเสี่ยงให้อิงเป็นอันตรายหรอก’ เธอคว้ามือลูกสาวมาบีบแน่น ‘เพราะงั้นล้มเลิกความคิดซะ อย่าให้พวกเขากลับมา’
ขมับร้าวระบมราวกับมีคีมยักษ์กดหนีบไว้ วิมลินพะอืดพะอมแทบอาเจียน ‘แต่พวกเขาลำบากเพราะเรานะคะแม่ เราควรรับผิดชอบ…’
คำพูดหยุดค้างกลางคันเมื่อภาพมารดาทาบทับลงมาในคลองจักษุ แม่กำลังตัวสั่นด้วยความหวาดผวา พูดเสียงพร่า
‘ไม่ได้นะอิง พวกเราจะแย่กันหมดเพราะฉะนั้นห้ามทำ…ห้ามเด็ดขาด!’
วิมลินในชุดนักเรียนมัธยมกุมมืออีกฝ่ายอยู่ แต่เธอคงแสดงความลังเลเด่นชัดเกินไป วาดจันทร์จึงยื่นหน้าประชิดจนรับรู้ถึงลมหายใจร้อนลวก ตรงข้ามกับฝ่ามือเย็นเฉียบที่เธอเกาะกุมไว้
‘อิง! สัญญากับแม่สิ’
เธอย่อมไม่อยากขัดใจมารดา ทว่าริมฝีปากกลับหนักอึ้งราวมีหินถ่วงรั้ง เธอควรจะตอบว่าบุพการีอย่างไรดี…ตอบว่า…
วาดจันทร์ผวาเข้ากอดบุตรสาว กระซิบเสียงสั่นเครือข้างหู ‘แม่รักลูกนะอิง แล้วอิงล่ะ…รักแม่ไหม’
สาวน้อยตัวแข็งทื่อ เธอไม่คิดว่าพี่แคนจะมีวันทำร้ายมารดา แต่อีกใจก็กลัว ถ้าเธอตัดสินใจผิดจนส่งผลเลวร้ายมาถึงแม่ล่ะ แค่คิด…เหงื่อพลันผุดซึมจนตัวเย็นเฉียบ
วิมลินซบหน้ากับไหล่วาดจันทร์ ปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น
แต่แม้จะร้องไห้จนคอเป็นผง คนที่จากไปไกลแสนไกล…ก็คงไม่มีวันได้ยินเสียงใดอีกแล้ว
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 15 : สิ่งที่ซ่อนไว้ในความลับ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 15 : สิ่งที่ซ่อนไว้ในความลับ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 13 : เหตุพลิกผัน (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 13 : เหตุพลิกผัน (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 12 : เปิดใจ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 12 : เปิดใจ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (4)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (1)