หน้ากากมยุเรศ บทที่ 13 : เหตุพลิกผัน (1)
โดย : สิตา
หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co
“เชิญชมนักธุรกิจหนุ่มดาวเด่นแสดงความสนิทสนมถึง ‘เนื้อ’ ถึง ‘ตัว’ กับน้องสาว”
เจคอ่านข้อความที่แสดงบนหน้าจอโทรศัพท์เคลื่อนที่ของโปรดปราน พริบตานั้นพลันเย็นสันหลังวาบ หรือเขาย่ามใจเกินไป เผลอแสดงความสนิทสนมกับวิมลินจนมีคนสงสัยเข้าแล้ว!
แต่ครั้นเห็นท่าทางเยือกเย็นของวิมลินอารมณ์จึงสงบลง นั่นสิ ของพรรค์นี้หากไม่ถูกจับได้ซึ่งหน้าขอแค่ยืนกระต่ายขาเดียวก็จบ และเมื่อสติกลับมาความหวาดหวั่นก็แปรเป็นเพลิงปะทุในดวงตา ใครมันกล้าล่วงเกินวิมลินขนาดนี้!
โปรดปรานกระวนกระวายผุดลุกผุดนั่ง “เพื่อนลูกปลาเพิ่งส่งให้ดู เหมือนจะลือกันมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว”
ภายในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ของบ้านพักตากอากาศ ผู้มาพักผ่อนต่างรวมตัวอยู่ครบ กระจัดกระจายกันบนโซฟาไม้เสริมเบาะนั่ง หรือไม่ก็ยืนตามมุมห้องบ้างหลังเก้าอี้บ้าง แต่ทุกคนล้วนแสดงสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนกันหมด
ประเสริฐเท้าเอวอยู่ข้างตู้ไม้สักวางแจกันดอกไม้ตกแต่ง บ่นบ้าราวแผ่นเสียงตกร่อง “นี่มันเรื่องห่-อะไรวะ!”
วิมลินรับโทรศัพท์ต่อจากมือเจค ภาพซึ่งอยู่ใต้ตัวอักษรเหล่านั้นล้วนมีแต่เธอกับพี่ชายกำมะลอปรากฏกายตามงานเลี้ยงสังสรรค์หลายสถานที่ คนที่เอาภาพมาลงก็ช่างตาถึง คัดเลือกแต่รูปที่ส่อความชิดเชื้อระหว่างเพศตรงข้ามแบบเกินพอดี ทว่าหญิงสาวผู้เป็นตัวแสดงในรูปทราบแก่ใจ มันเกิดจากมุมกล้องแทบทั้งนั้น เมื่อชี้แจงแบบนี้คนที่เหลือย่อมยอมรับโดยดี
แน่นอน นั่นเพราะไม่มีใครระแคะระคายสักนิดว่าเธอกับเจคไม่ใช่พี่น้องกัน
ถัดจากรูปถ่ายก็เป็นข้อความบรรยายสั้นๆ ไม่ได้ลงรายละเอียดโจ่งแจ้ง เพียงใช้คำพูดแบบมีลับลมคมในให้ผู้อ่านไปจับแพะชนแกะเอาเอง แต่แค่นั้นก็มากเกินจะพอ วิมลินรู้ตั้งแต่ภวัตทนายประจำบริษัทยังไม่ออกความเห็นด้วยซ้ำ ของพรรค์นี้ถึงฟ้องร้องสำเร็จชื่อเสียงที่เสียหายก็เรียกคืนไม่ได้ เจตนาของคนเบื้องหลังสมประสงค์เรียบร้อยตั้งแต่มีคนเริ่มอ่านมันแล้ว
“กระแสข่าวตอนนี้เป็นยังไง” สุขุมาลถามขึ้น
“ในอินเทอร์เน็ตแชร์กันให้ควั่กเลยค่ะ” โปรดปรานตอบ
ประเสริฐส่งเสียงเหมือนหมูถูกเชือด ทางด้านปวินท์กลับเปรยขึ้นลอยๆ “ข่าวลืองี่เง่าไร้มูลความจริงแบบนี้ ใครมันอุตริคิดขึ้นมา”
โปรดปรานสะดุ้งร้อนตัว ภวัตรีบส่งสายตาปรามปวินท์ถึงยอมหุบปาก ก่อนหน้าที่จะเข้ามาพูดคุยในห้องนั่งเล่น พี่ชายทั้งสองแอบดึงตัวโปรดปรานไปคาดคั้นมาเรียบร้อย น้องสาวยืนกระต่ายขาเดียวไม่รู้เรื่อง
“ลูกปลาเลิกคิดไปตั้งนานแล้วนะคะ ยังหัวเราะเยาะตัวเองด้วยซ้ำที่เคยระแวงไม่เข้าเรื่อง อีกอย่างพี่อิงก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในงานแฟชั่นโชว์ ลูกปลาจะใส่ร้ายเธอทำไม”
ถูกเลี้ยงด้วยกันมาแต่เด็ก ถ้าน้องสาวโกหกมีหรือพวกเขาจะดูไม่รู้ พี่ชายทั้งสองจึงยอมเชื่อในที่สุด ภวัตกลัวปวินท์จะเผลอหลุดปากจนโปรดปรานเกิดเรื่อง เลยหันเหหัวข้อสนทนา
“เราคงต้องวางแผนครับ จากนี้จะทำอะไรกันต่อ”
“รีบกลับกรุงเทพไปหาทางแก้ข่าวก่อนเลย” สุขุมาลเสนอทันที ประเสริฐก็เสริมว่า
“แล้วหาตัวต้นตอที่มันปล่อยเรื่องเหลวไหลนี้มา พวกเราไม่ยอมถูกรังแกหรอก!”
“ลูกปลาให้พวกเพื่อนลองสืบหาดูแล้วค่ะ หลายคนเชี่ยวเรื่องขุดคุ้ยดี” โปรดปรานรีบรายงาน “แต่ไม่มีร่องรอยอะไรเลย คนปล่อยข่าวปิดร่องรอยมิดชิดมาก”
วิมลินเหยียดริมฝีปากนิดหนึ่ง “แบบนี้ไม่ยิ่งเปิดเผยหรือว่าต้นตอข่าวคือใคร”
ประเสริฐตบเข่าฉาด “หมายถึงคุณ…เอ้ย เทวิกาใช่ไหม เรื่องกลบเลื่อนร่องรอยพรรค์นี้เธอเก่งนักละ แล้วยังเป็นพวกแค้นแบบกัดไม่ปล่อย ต้องใช่เธอแน่ๆ”
ทุกคนในห้องล้วนเห็นด้วย สุขุมาลขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “งานนี้ต้องเอาคืน อย่าคิดจะลูบคมง่ายๆ”
มีเสียงสนับสนุนเซ็งแซ่ หลายคนเริ่มออกความเห็นวิธีเอาคืนกันเมามัน วิมลินนิ่งฟังเงียบๆ มีเพียงประกายคมกริบฉาบผ่านดวงตา แต่ไม่ทันพินิจให้ชัดเปลือกตาเธอก็หลุบต่ำราวตกอยู่ในภวังค์ความคิด จนกระทั่งโปรดปรานหันมาถาม
“พี่อิงคิดยังไงกับแผนพวกนี้คะ”
หญิงสาวลืมตาขึ้นอีกครั้ง ประกายคมกริบเลือนลับราวกับไม่เคยเกิดขึ้น “พี่ไม่เห็นด้วย”
“คะ!” โปรดปรานร้องเสียงหลง “พี่อิงไม่อยากแก้แค้นเหรอคะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น แค่ขอให้ชะลอไปก่อน อย่างน้อยก็หลังแฟชั่นโชว์จบ” รอจนทุกคนซึมซับความคิดตนได้ค่อยแจกแจงต่อ “สำหรับบุหรงกาญจน์ตอนนี้งานแฟชั่นโชว์สำคัญมากที่สุด การแก้แค้นคุณวิอาจทำให้ทางนั้นเอาคืน แก้แค้นกันไปมาถ้าลุกลามจนมีปัญหากับงานแฟชั่นโชว์พวกเราจะลำบาก”
ทุกคนนิ่งอึ้งกับเหตุผลเธอ โดยเฉพาะเจค เขาขมวดคิ้วแน่นทำท่าเหมือนจะเอื้อนเอ่ยบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับเบือนหน้าไปทางอื่น กลายเป็นปวินท์ที่พูดขึ้นว่า
“พี่เห็นด้วยนะ อิงมีเหตุผลแล้วก็คิดรอบคอบดีมาก”
ประเสริฐพยักหน้าช้าๆ ก่อนสรุป “งั้นพวกเราก็แค่ทำการแก้ข่าวไปก่อน อย่างอื่นไว้ว่ากันทีหลัง”
ที่ประชุมเฉพาะกิจมีมติตรงกัน หลังจากนั้นเมื่อดูเวลาเห็นว่าใกล้เช้าแล้ว ถึงจะพักผ่อนก็คงไม่มีใครข่มตาหลับ ปวินท์จึงเสนอให้กลับกรุงเทพฯ เลย จะได้มีเวลาเตรียมการที่บริษัทสำหรับวิธีแก้ข่าว
ขามาพวกเขาใช้รถกันสามคัน ปวินท์ขับรถซูเปอร์คาร์ของตัวเองมาตามลำพัง เวลานี้เลยแล่นฉิวกลับก่อนใคร ส่วนเจคเช่ารถขับเคลื่อนสี่ล้อนั่งกับวิมลินแค่สองคน ออกจากบ้านพักตากอากาศเป็นรายถัดมา พวกที่เหลือมาพร้อมกันด้วยรถตู้คันเดียว จึงเสียเวลาเก็บของและออกทีหลังคนอื่น
ช่วงเช้ามืด ดวงดาวนับล้านเมื่อคืนกลืนหายไปในท้องฟ้าสีเทาขมุกขมัว วิมลินเหม่อมองผ่านหน้าต่างรถอย่างเสียดาย ชายหนุ่มผู้เป็นสารถีเอ่ยถามลอยๆ
“เรื่องเทวิกาน่ะ จะปล่อยไปง่ายๆ แบบนี้จริงเหรอ”
หญิงสาวผินหน้ากลับมา “ถามแบบนี้คุณโกรธเธอเหรอคะ”
มือที่กำพวงมาลัยบีบแน่นขึ้น “โกรธสิ ลองคิดดูนะ ในสายตาคนภายนอกพวกเราเป็นพี่น้องกันแท้ๆ กุข่าวลือใส่ร้ายคนหน้าตาเฉย ผมทนไม่ไหว”
“แต่ถ้าพยายามมองอย่างเป็นธรรม เรายังไม่แน่ใจว่าเธอใช่ต้นตอข่าวลือไหม”
คนฟังเหยียดริมฝีปาก “ตอนพูดๆ กันผมเอะใจท่าทีที่คุณปริ้นมีกับลูกปลา ก่อนเขากลับเลยแกล้งไปเลียบเคียงถามเขาก็ยอมสารภาพ ลูกปลาเคยคิดว่าคุณกับผมแอบคบกันแต่ล้มเลิกความคิดทีหลัง ถึงยังงั้นก็เคยเผลอเล่าให้พวกเพื่อนสาวๆ ของเธอฟัง เพื่อนลูกปลาน่ะมีใครบ้างพอจะนึกออกไหม”
ชื่อหนึ่งเด้งขึ้นในหัวทันที “หมายถึงแชมเปญหรือคะ”
“ใช่ จำงานแต่งงานลูกสาวคุณชานนท์ได้ไหม พวกเราเจอแชมเปญ หลังจากนั้นผมก็เห็นเธอแอบมาป้วนเปี้ยนแถวข้างเราบ่อยๆ แต่ดันไม่เอะใจ” เขากัดฟันกรอด “ลองสังเกตภาพที่ลงในข่าวสิ ส่วนใหญ่มาจากงานเลี้ยงเดียวกันทั้งนั้น มุมกล้องก็ดูแปลกๆ แชมเปญอาจเคยเอาข่าวลือจากปากลูกปลาไปบอกเทวิกาแล้วพยายามหาทางกลั่นแกล้งเราเพื่อเอาใจเธอ ก็เทวิกาอุตส่าห์รับเป็นนางแบบนี่นะ”
จิกซอว์ทุกชิ้นลงตัวพอดี วิมลินพยักหน้าเห็นด้วย “แต่ถ้ามองอีกแง่ ข่าวที่เธอกุขึ้นมาก็ใช่จะไร้ประโยชน์”
คนฟังเลิกคิ้วสูง วิมลินจึงอธิบายต่อ “ในเมื่อเราพยายามหาข้ออ้างเหมาะสมให้คุณปลีกตัวจากบุหรงกาญจน์อยู่แล้ว มันก็มาได้จังหวะพอดี คุณแค่ตามน้ำทำเป็นกังวลกับมันให้มาก รังเกียจที่มีคนใช้วิธีแบบนี้ได้หน้าตาเฉย เสริมน้ำหนักเหตุผลว่าทำไมคุณถึงรู้สึกตัวเองไม่เหมาะกับที่นี่เลย”
แม้ในช่วงเวลาเลวร้ายเธอก็ยังสามารถควานหาประโยชน์จากมัน ผู้หญิงคนนี้ทำเจคทึ่งได้เสมอ ถึงกระนั้นไฟโกรธเขาก็ยังไม่มอดดับ
“แต่เนื้อข่าวมันน่าเกลียดเกินไป ผมเป็นผู้ชายน่ะช่างเถอะ คุณสิเสียชื่อเสียงมาก” เขาทุบพวงมาลัยระบายอารมณ์ เธอกลับยกยิ้มจนเจคหน้ามุ่ย “ขำทำไม ถามจริงๆ นะคุณไม่โกรธบ้างหรือ”
“มีคุณโกรธแทนให้หมดแล้วนี่คะ” คำแซวยิ่งทำเขาหน้าบูดขึ้น จนวิมลินต้องคว้ามือข้างที่ทุบพวงมาลัยมาช่วยนวดตรงที่เจ็บ ถึงคลายหัวคิ้วขมวดมุ่นลงได้บ้าง “โอเคๆ ไม่แกล้งแล้ว เอาจริงๆ นะ ที่เทวิกาทำครั้งนี้สำหรับฉันมันน่าสมเพชซะมากกว่า”
“ไม่โกรธแต่สมเพชเนี่ยนะ”
“ลองคิดดูสิ แผนคราวนี้ต่างจากก่อนๆ ลิบลับ เพราะมันแทบไม่สร้างความเสียหายกับธุรกิจของเราเลย คนอาจเมาท์กันสนุกปากแต่ไม่มีใครเชื่อจริงจังหรอกค่ะ แก้ข่าวง่ายจะตาย หากเรานิ่งไม่เต้นไปตามที่เทวิกาต้องการ ฝ่ายเธอต่างหากที่จะอกแตกตาย”
เขาช่างขี้ลืมเสียจริง ขอแค่ไม่โดนกระทบถูกจุดอ่อนเสียอย่าง ผู้หญิงของเขาก็ใจเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งอีก ชายหนุ่มหลุดปากชมวิมลินแค่ยักไหล่รับ
“ฉันว่าเทวิกาไม่เหลืออะไรในมือแล้วถึงได้แต่ใช้แผนขี้ขลาดแบบนี้ จะเหยียบซ้ำคนที่จมดินเพื่ออะไรกัน นอกจากเสียเวลารองเท้ายังเปื้อนเลือดอีก”
เจคพลันหนาวเยือกแทนเทวิกา เพราะในสายตาวิมลิน เทวิกาไม่เหลือค่าพอจะยกขึ้นเป็นศัตรูเสียด้วยซ้ำ!
การแก้ข่าวเริ่มขึ้นทันทีเมื่อทุกคนกลับถึงกรุงเทพฯ ด้วยทีมงานมืออาชีพที่บุหรงกาญจน์เคยใช้งานประจำ
เป็นตามที่วิมลินคาดเดา ช่วงแรกข่าวกระแสแรงมีคนนินทาสนุกปาก แต่เมื่อเจอวิธีใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหวเข้าไป อีกวันก็มีข่าวใหม่น่าสนใจกว่ามากลบกระแสอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าแผนการยังไม่ทันตัดสายสะดือแจ้งเกิดก็ถูกตอกปิดฝาโลงเรียบร้อย งานนี้เทวิกาคงเตรียมอกแตกตายอยู่
แต่ที่เจคคิดไม่ถึงก็คือ…เขากำลังจะอกแตกตายตามเทวิกาไปติดๆ
นั่นเพราะประเสริฐแหยงกับข่าวลือมากจนขอร้องให้เขาหยุดออกงานกับวิมลินชั่วคราว แล้วยัดเยียดปวินท์กับภวัตมาเป็นเพื่อนคอยออกงานกับเขาแทน แถมวิมลินก็เห็นดีเห็นงาม ย้ำว่าสัปดาห์หน้าจะประชุมกรรมการบริษัทแล้ว แผนใกล้สำเร็จเข้าไปทุกที ช่วงนี้ย่อมควรระวังตัวทุกฝีก้าว
ชายหนุ่มจึงพกหัวใจห่อเหี่ยวไปทำงานทุกวัน
“สวัสดียามสายค่ะคุณเจค”
ชายหนุ่มผู้กำลังเดินใจลอย หันขวับตามเสียงเรียกไปทางเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่ชั้นหนึ่งของบริษัท “พริม วันนี้มาทำอะไรครับ”
หญิงสาวชูแฟ้มในมือ “เดิมๆ ค่ะ ติดต่อการออกบูธมูลนิธิในงานแฟชั่นโชว์”
“ขยันจัง” เขาผายมือไปทางร้านคาเฟเล็กๆ ทางมุมด้านหนึ่งของชั้นล่าง เป็นร้านที่ญาติของพนักงานในโรงงานมาขอเปิดขาย รสชาติใช้ได้ เจคจึงลงมาหาของกินแก้เซ็ง
พวกเขาคุยไประหว่างเดินด้วยกัน “ต้องรีบจองพื้นที่ค่ะ ตอนนี้งานแฟชั่นโชว์ของบุหรงกาญจน์ดังมาก ขืนชะล่าใจเดี๋ยวได้ทำเลแย่”
“จะลำบากทำไม แค่โทรหาผมกริ๊งเดียวก็เรียบร้อย” เจคเกาคาง “ว่าแต่งานดังขนาดนั้นเชียวหรือ”
“ยกความดีความชอบให้คุณเจคค่ะ รู้ไหมคุณดังใหญ่แล้วนะ มีแต่คนอยากสนิทสนมร่วมงานด้วย”
เขายิ้มแหย “ดังเพราะข่าวโคมลอยนั่นน่ะสิครับ”
“อย่ามองโลกแง่ร้ายสิคะ” เธอกอดแฟ้มแนบอก จ้องเขาอย่างพินิจพิจารณา “แต่ข่าวลือนั่นก็ไม่ค่อยดี คุณเจคกับคุณอิงได้รับผลกระทบมากไหมคะ”
ผู้ถูกถามเกาหัว “ไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
ปากตอบเช่นนั้นแต่ในใจคิดคนละทาง แม้ข่าวลือจะสงบลงมากแต่ยังมีหลุดให้เห็นเป็นระยะ ทุกครั้งที่เล่นอินเทอร์เน็ตแล้วเผอิญเจอมันผ่านตา เขาจะรู้สึกเหมือนโดนเสี้ยนตำเอาไม่ออก เจ็บใจแทนวิมลินเหลือเกิน ผู้หญิงไม่ควรต้องกลายเป็นผู้เสียหายในข่าวลือประเภทนี้เลย จึงอดนิ่วหน้าน้อยๆ ไม่ได้
พวกเขามาถึงคาเฟ พอนั่งโต๊ะชายหนุ่มก็สั่งเครื่องดื่มให้อีกฝ่าย “ผมขอเลี้ยงนะ ห้ามปฏิเสธครับ”
“แต่พริมเกรงใจ”
“ตอบแทนคำแนะนำดีๆ วันนั้นครับ เชื่อเถอะผมขอบคุณพริมขนาดอยากเลี้ยงน้ำทุกวันด้วยซ้ำ” พูดแล้วก็คิดถึงวิมลิน แววตาเจคอ่อนโยนลงจนคนมองแกล้งแซว
“คงไม่ต้องเดา คืนดีกันแล้วสินะคะ”
ชายหนุ่มหัวเราะเก้อๆ เอ่ยขอบคุณอีกครั้ง เพราะคำแนะนำของเธอเขาถึงสงบลง จนวิมลินยอมเปิดใจให้ในที่สุด
เนื่องจากเป็นช่วงสายในคาเฟเลยมีแค่พวกเขา เลขาฯ มูลนิธิพูดเสียงเบา “ตอนได้ยินข่าวลือของคุณเจคคุณอิง พริมงี้ใจตกอยู่ตาตุ่ม เผลอนึกว่าหรือผู้หญิงที่คุณเจคยกมาปรึกษาด้วยวันนั้นจะเป็นคุณอิง”
หัวใจเขาสะดุ้งโหยง เสจิบเครื่องดื่มกลบเกลื่อน อีกฝ่ายรีบโบกไม้โบกมือ
“พอรู้สึกตัวพริมก็ตลกตัวเองมากเลย คุณเจคอย่าถือสานะคะ”
ชายหนุ่มฉีกยิ้มทั้งที่เหงื่อโซมเต็มแผ่นหลัง การกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมันคงมีรสชาติแบบนี้เอง จังหวะนั้นปวินท์ ภวัต และโปรดปรานรวมกลุ่มผ่านทางเข้าออกมาพอดี เจคตะโกนเรียกไว้ทันควัน พลางขอตัวกับเพื่อนร่วมโต๊ะ
“ผมมีงานจะหารือกับพี่ปริ้น เสียดายจังได้คุยกันนิดเดียว”
หญิงสาวออกตัวไม่เป็นไรพร้อมลุกไหว้คนทั้งสาม ทางนั้นทักทายกลับอย่างคนรู้จักแค่พอหอมปากหอมคอก็ถูกเจคฉุดออกมา ชายหนุ่มผู้เป็นวัวสันหลังหวะอยากหลบหน้าพริมใจจะขาดอยู่แล้ว
พวกเขาก้าวเข้าลิฟต์พร้อมกัน โปรดปรานบ่นกระปอดกระแปด “เจครีบร้อนอะไร ลูกปลายังอยากคุยกับพริมอยู่นะ”
ปวินท์ร้องอ้าว “งั้นกลับไปคุยสิ”
พลางยื่นมือจะกดประตูลิฟต์ค้างให้แต่ถูกโปรดปรานตีดังเพียะ “ไม่เอา ขี้เกียจเดินกลับไปกลับมา”
ภวัตยิ้มขำ ปวินท์แกล้งบ่นลอยๆ ว่าใครบางคนเอาใจยาก แต่คนเอาใจยากอย่างโปรดปรานยังอุตส่าห์ชมคนอื่นอย่างน้อยครั้งจะพบเจอ
“พริมเขารสนิยมดีนะ เวลาคุยกันจะได้ไอเดียออกแบบเสื้อเลิศๆ ตลอด ลูกปลาเคยอยากดึงตัวมาทำงานด้วยแต่เธอกลับอยู่แต่มูลนิธิ ไม่รู้ชอบอะไรนักหนา”
ปวินท์ฟังทะลุหูซ้ายออกหูขวา หันไปถามเจค “เมื่อกี้ได้ยินแว่วๆ มีงานจะคุยกับผมหรือ”
เจคเหงื่อตก โชคดีพอคิดออกเรื่องหนึ่ง “พรุ่งนี้มีงานเลี้ยงเย็นอีกแล้ว คุณปริ้นจะไปกับผมไหม”
ปวินท์ย่นจมูก “โทษที ไม่ว่าง”
เจคเข้าใจ ควงผู้ชายไปงานเลี้ยง อีกฝ่ายก็คงเบื่อพอๆ กับเขานี่แหละ จึงมองเลยไปทางภวัต ฝ่ายนั้นส่ายหน้าบอกติดงาน ขณะที่เจคเริ่มหงอยว่าคงต้องไปคนเดียวแล้ว นึกไม่ถึงโปรดปรานจะอาสา
“ลูกปลาไปเป็นเพื่อนไหมคะ ว่างพอดี”
“ไม่ได้” ปวินท์ค้านทันควัน “ลืมแล้วเรอะทำไมอิงถูกห้าม ขืนมีข่าวแบบเดียวกันอีกครั้งพ่อพี่ได้ลมจับแน่”
“เอาแต่ควงผู้ชายไปงาน เดี๋ยวก็โดนลือเป็นเกย์แทนหรอก”
เจคทำหน้าปุเลี่ยนๆ ถ้ามีข่าวลือเพิ่มอีกอย่างคงได้กินยาแก้ปวดหัวต่างข้าวแน่แล้ว ปวินท์เองก็เริ่มคล้อยตาม “นั่นสินะ เจคหาสาวๆ ชวนไปงานเลี้ยงเถอะ”
“ผมมีซะที่ไหนครับ วันๆ ยุ่งแต่งาน” เจครีบออกตัว
ปวินท์ทำท่าคิดครู่หนึ่งก็ดีดนิ้วเปาะ “งั้นชวนคุณพริมเป็นไง”
ขณะที่เจคเลิกคิ้วสูง โปรดปรานกลับตบมือลั่น “เห็นด้วยอย่างยิ่ง เอางี้ลูกปลาจะโทรชวนให้เลย”
เธอเป็นพวกคิดไวทำไว เจคไม่ทันเอ่ยว่าผู้หญิงที่พวกเขาพูดถึงยังอยู่ที่ชั้นล่างเดินลงไปหาก็ได้ โปรดปรานกลับจัดการติดต่อประสานงานให้แล้ว เธอกรอกเสียงใส่เครื่องมือสื่อสาร
“พริมคะนี่ลูกปลาเอง”
“สวัสดีค่ะคุณลูกปลา เมื่อกี้ไม่ทันคุยกันเลยนะคะ”
“ตอนนี้ลูกปลาอยู่กับพี่เจค เปิดลำโพงให้เขาฟังด้วย” เธอเอ่ยให้อีกฝ่ายรู้ตัวตามมารยาท “ที่โทรมาเพราะมีเรื่องขอร้อง พี่เจคกำลังหาคู่ควงไปงานเลี้ยงเย็นวันพรุ่งนี้ พริมว่างไหม”
“เอ๋ ชวนพริมจะดีเหรอคะ ก็คุณเจค…” ปลายสายอึกอักเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่าหลุดปากไป เจคจึงรีบพูดเพื่อคลี่คลายสถานการณ์
“ผมสะดวกครับ และจะรู้สึกเป็นเกียรติมากถ้าคุณพริมตอบตกลง”
“ทางพริมสิคะที่ยินดีมากเลย” หญิงสาวตอบรับอย่างเป็นธรรมชาติ
โปรดปรานยิ้มถูกใจ จู่ๆ ก็โพล่งออกมา “เจคกับพริมดูเข้ากันดีจัง คบกันเลยไหมอะ”
“เฮ้ย!” ผู้ชายสามคนร้องลั่น ภวัตพยายามปราม
“อย่าพูดเหลวไหลสิลูกปลา”
“ทำไมล่ะ ถ้าเจคมีแฟนก็ตัดปัญหาได้ตั้งหลายอย่าง ไม่ต้องสนข่าวลือบ้าๆ บอๆ อีก”
แล้วก่อนเรื่องจะเลยเถิดมากกว่านั้น พริมก็พูดกลั้วหัวเราะผ่านโทรศัพท์ “ขอโทษด้วยนะคะ แต่พริมมีแฟนแล้วค่ะ”
“อ้าว” ลูกปลาอุทาน “ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟังเลย”
“นี่…” ปวินท์ลากเสียงยาวใส่น้องสาว “เลิกจุ้นเรื่องคนอื่นเสียทีได้ไหม”
คนโดนเตือนหน้าบูด ส่วนเจครีบพูดแทรกว่า “แล้วคุณพริมไปงานกับผมแฟนจะไม่ว่าหรือครับ”
“ไม่หรอกค่ะ มันก็เหมือนเป็นงานในหน้าที่อย่างหนึ่ง แฟนพริมใจกว้างจะตาย”
เจคแอบโล่งอก ถ้าพริมมีแฟนแล้วคงไม่ต้องห่วงว่าวิมลินจะเข้าใจผิด ดังนั้นการเจรจาจึงจบลงด้วยดีทั้งสองฝ่าย
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 15 : สิ่งที่ซ่อนไว้ในความลับ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 15 : สิ่งที่ซ่อนไว้ในความลับ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 13 : เหตุพลิกผัน (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 13 : เหตุพลิกผัน (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 12 : เปิดใจ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 12 : เปิดใจ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (4)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (1)