หน้ากากมยุเรศ บทที่ 13 : เหตุพลิกผัน (2)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 13 : เหตุพลิกผัน (2)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

ช่วงเย็นของวันรุ่งขึ้น เจคสวมชุดทักซิโดนั่งเล่นเกมในโทรศัพท์รอที่ห้องรับแขกบ้านตัวเอง ส่วนห้องถัดไปวิมลินกำลังเตรียมแต่งตัวพริมให้พร้อมสำหรับไปงานเลี้ยงเป็นเพื่อนเขา

เมื่อวานหลังปวินท์เสนอชื่อพริมขึ้นมา ทุกคนล้วนเห็นชอบแม้กระทั่งวิมลินที่มาทราบเอาทีหลัง เธอถึงกับเชิญเลขานุการมูลนิธิแวะมาหาก่อนเริ่มงานเลี้ยง เพื่อเลือกเครื่องประดับของตนเองให้อีกฝ่ายสวมไปงานโดยเฉพาะ

พอสองสาวพบกันก็เริ่มคุยกะหนุงกะหนิง ดูเหมือนพริมเพิ่งเคยมาบ้านหลังนี้เป็นครั้งแรก เพราะส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่วิมลินไปที่มูลนิธิก็จะเป็นเลขาฯ มูลนิธิมาหาที่บริษัทเท่านั้น วิมลินจึงพาเดินชมบ้านด้วยอัธยาศัยอันดี ตบท้ายที่จูงมือกันหายเข้าห้องแถมปิดประตูใส่หน้าเขา ชายหนุ่มจึงกลายเป็นส่วนเกินนั่งรอแบบเดียวดาย

เล่นเกมนานเข้าชักเบื่อ เจควางโทรศัพท์ เดินล้วงกระเป๋าสำรวจห้องรับแขก แม้เขาจะอยู่บ้านนี้มานานแต่ปกตินอกจากห้องนอน ห้องนั่งเล่นของวิมลิน และอีกสองสามแห่งก็แทบไม่มีเวลาแวะเวียนบริเวณอื่น ครั้งนี้จึงเป็นการสำรวจห้องรับแขกอย่างจริงจัง เขาเดินไปเรื่อยจนถึงภาพถ่ายขนาดใหญ่ของวิมลินกับพ่อบนฝาผนัง จึงพิงสะโพกกับด้านหลังพนักเก้าอี้หลุยส์ที่ตั้งกลางห้อง เงยหน้าพิจารณามันเงียบๆ

ในอัลบั้มซึ่งเขาเคยขอวิมลินไว้ดูเวลาส่วนตัว มีรูปของโกศลหลายใบ ทั้งถ่ายเดี่ยวถ่ายหมู่หรือถ่ายคู่กับภรรยาแต่ละคน ถึงกระนั้นเจคกลับไม่เคยเห็นเขาแสดงสายตาแบบเดียวกับภาพบนผนังในรูปใบไหนเลย สายตาอ่อนโยนทะนุถนอมสิ่งล้ำค่า…เขารักลูกสาวคนเดียวอย่างวิมลินจริงๆ

ส่วนหญิงสาวเองก็รักโกศลมากเช่นกัน จึงทรมานเหลือเกินที่ความรู้สึกตัวเองต่อต้านการกระทำของเขาตลอดเวลา เธอชื่นชมพ่อแต่ก็รังเกียจความคิดเขา กับความขัดแย้งที่ไปคนละทางเช่นนี้ หญิงสาวยังสามารถฝืนประคองตัวไว้ได้ย่อมนับว่าโชคดีมากแล้ว แต่ในมุมมองของโกศลล่ะ…เขาทำเช่นนั้นก็เพราะรักวิมลิน เหมือนกับที่วาดจันทร์กีดกันแคนเพื่อผลประโยชน์บุตรสาว

เคยมีคนบอกว่าความรักของพ่อแม่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เจคเห็นด้วย แต่ขณะเดียวกันถ้าเผลอไผลจนบิดเบี้ยวสักนิดเดียว ความรักก็อาจกลายเป็นสิ่งอันตรายได้ร้ายแรงไม่แพ้กัน!

ชายหนุ่มก้มลงมองรูปวาดจันทร์และผกาที่ตั้งอยู่ข้างใต้ เขาก้าวไปยืนหน้าภาพวาดจันทร์ แววตาหม่นแสงจนกระแสอารมณ์ในส่วนลึกเลือนราง ที่สุดจึงจบลงยังเสียงถอนหายใจยาว ย้ายสายตาไปที่ภาพผกาซึ่งตั้งข้างๆ คั่นไว้แค่รูปสลักช้าง ทอดมองเนิ่นนานจนเหมือนอยากหยุดเวลาอยู่เช่นนั้น ก่อนหมุนตัวเอื้อมมือจะหยิบรูปขึ้นมา

“คุณเจคคะ”

เขาชะงัก วางมือยังขอบตู้ไซด์บอร์ดแล้วหันตามเสียง พริมยืนยิ้มตรงประตูห้อง สวมชุดราตรีสีเงินเปิดไหล่ข้างหนึ่ง แขนซ้ายยาวถึงข้อศอกเน้นลูกเล่นด้วยการทิ้งชายระบายตั้งแต่ไหล่จดข้อมือ เป็นชุดที่เธอสวมตั้งแต่ตอนมาถึง ทว่าเวลานี้แถวคอมีสร้อยเพชรระย้าฝังทับทิมเพิ่มมาอีกชิ้น ขับดุนใบหน้าสวยหวานให้งามโดดเด่นยิ่งขึ้น

เจคแย้มริมฝีปากกว้างโดยไม่รู้ตัว สร้อยเส้นนี้วิมลินน่าจะเป็นคนเลือกให้ ผู้หญิงของเขาช่างรสนิยมดีเลิศจริงๆ จนเผลอหลุดปากชม “สวยมากเลยครับ”

อีกฝ่ายยิ้มเขินๆ “ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ แต่พริมรู้ดีตัวเองสวยไม่ถึงครึ่งของคุณแม่คุณเจคหรอกค่ะ” เธอพยักพเยิดทางรูปขวามือ ชายหนุ่มก้มลงมองภาพขณะที่หญิงสาวชวนคุยต่อ “คุณอิงกำลังเอาเครื่องประดับไปเก็บค่ะ เธอบอกว่าเราจะไปที่งานก่อนเลยก็ได้”

เจคทำท่าเอียงคอคิดชั่วขณะก่อนพยักหน้าช้าๆ “ไปกันเลยก็ดีครับ จะได้รีบกลับไม่งั้นพริมจะอยู่ดึกเกินไป”

พวกเขาตกลงจะไปรถเช่าของเจคเพราะคันใหญ่กว่า ส่วนคันที่พริมขับมาก็ทิ้งไว้ที่บ้าน เนื่องจากสถานที่จัดงานเลี้ยงอยู่แถวไกลออกไปซึ่งชายหนุ่มไม่คุ้นชิน หญิงสาวจึงขอทำหน้าที่สารถีให้

“คุณเจคคิดอะไรอยู่หรือคะ”

ชายหนุ่มกำลังเท้าศอกกับขอบหน้าต่างรถ เหม่อลอยอยู่กับวิวทิวทัศน์ด้านนอก เมื่อถูกทักเลยหันกลับมา “พริมว่าอะไรนะครับ”

“ขอโทษค่ะถ้าทำให้ตกใจ แต่ตั้งแต่ขึ้นรถคุณก็เงียบมากเลย”

เขายกมือนวดขมับ “ช่วงนี้งานเยอะครับ บางทีก็จะปวดหัวจี๊ดขึ้นมา”

ผู้ฟังเลิกคิ้ว คะเนทิศทางครู่หนึ่งก่อนจอดรถหน้าร้านสะดวกซื้อแล้ววิ่งลงไปทันที สักพักค่อยกลับขึ้นรถพร้อมยาพาราเซตามอลและน้ำเปล่าขวดหนึ่ง “รีบกินเถอะค่ะ จะปล่อยให้ปวดหัวอยู่ทำไม”

เจครับของมาแบบอึ้งๆ “ผมสงสัยนานแล้ว พริมเป็นพี่คนโตใช่ไหมถึงรู้จักดูแลคนอื่นดีขนาดนี้”

หญิงสาวอมยิ้ม “เดาผิดค่ะฉันเป็นลูกคนเดียว แต่ก็นะ ถ้าสามารถเลือกได้ฉันก็อยากจะมีน้องชายอย่างคุณเจคนะคะ”

“อยากมีคนแบบผมเนี่ยนะเป็นน้องชาย พริมแซวผมเล่นอีกแล้ว”

เลขานุการมูลนิธิหัวเราะขำจนใบหน้าสวยหวานยิ่งน่ามองขึ้นอีก พักใหญ่ก็มาถึงจุดหมาย เป็นงานเลี้ยงฉลองทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของคนใหญ่คนโตในวงการ ทั้งรถทั้งคนจึงแน่นขนัดกว่าจะหาที่จอดได้ใช้เวลาพอสมควร พวกเขาเพิ่งลงจากพาหนะเดินไปตามทางโรยกรวดซึ่งมีรถจอดเรียงรายทั้งสองฟาก แต่แล้วพริมต้องหยุดเดินเพื่อรับโทรศัพท์สายหนึ่ง หลังคุยจบพลันหน้าถอดสี รีบรายงานเจค

“แย่แล้วค่ะ จู่ๆ คุณท่านก็อาการทรุด”

ชายหนุ่มตกใจจนสะดุ้ง “อะไรนะครับ อาม่าใหญ่เป็นอะไรหรือ”

“ไม่แน่ใจค่ะ แต่พยาบาลที่ดูแลโทรมาบอกว่ามีอาการหน้ามืดแล้วก็ใจสั่น ปกติท่านไม่เคยเป็นถึงขนาดนี้” เธอกัดริมฝีปาก “ก่อนออกมาฉันก็ดูท่านกินข้าวและป้อนยาให้เองกับมือ ทุกอย่างปกติมากเลย”

“เรารีบแจ้งอิงเถอะครับ”

“ฉันสั่งให้ทางนั้นแจ้งไปเรียบร้อยแล้วค่ะ” พลางจับแขนเขา “พวกเราเองก็รีบไปที่มูลนิธิกันเถอะ”

ธุระเร่งด่วนเช่นนี้ชายหนุ่มจึงเลิกสนใจงานเลี้ยงสังสรรค์ ตรงกลับมาที่รถแล้วขับออกไปทันที แน่นอนว่าพริมยังคงเป็นสารถีเพราะเจนเส้นทางมากกว่า

ตอนขามาหญิงสาวขับรถอย่างสุภาพมาก แต่วินาทีนี้เธอแหวกทุกกฎจราจรที่ทำได้ หัวคิ้วขมวดมุ่นแทบผูกเป็นโบ ทว่าเจคไม่ออกปากเตือนเลยสักนิด เขาเองก็ร้อนรนไม่แพ้กัน

“ที่มูลนิธิยังมีหมออยู่ไหมครับ”

“มีค่ะ แต่เป็นหมอที่ดูแลเด็กออทิสติก ปกติหมอประจำตัวคุณท่านจะมาตรวจวันละครั้ง ส่วนหมอที่มีอยู่ตอนนี้แค่ดูแลอาการเบื้องต้น”

“แล้วถ้าเป็นร้ายแรงขึ้นล่ะ”

“ก็ต้องไปโรงพยาบาลค่ะ คุณท่านเป็นขาประจำที่นั่นถ้ามีปัญหาแอดมิตได้ทันที แต่ถึงหยั่งงั้นก็ควรมีคนใกล้ชิดไปคอยกำกับหน้างาน” พริมเหยียบคันเร่งเพิ่มขึ้นอีกนิด บ่นพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง “นี่ถ้าพริมยังอยู่ที่มูลนิธิก็คงดี”

“อย่าเพิ่งกังวลมากไปครับ” ชายหนุ่มแนะนำ “บ้านอิงอยู่ใกล้มูลนิธิมากกว่าเธอคงไปถึงก่อน พริมค่อยๆ ขับรถเถอะ หากเกิดอุบัติเหตุจะแย่เอา”

หญิงสาวจึงดูใจเย็นลง จนผ่านไปได้สักครึ่งทางรถตรงสู่ถนนที่มุ่งออกกรุงเทพฯ เจคเห็นว่าใกล้เวลาที่วิมลินน่าจะถึงมูลนิธิ จึงเริ่มโทรศัพท์หาแต่กลับไร้การตอบรับ พริมจึงเสนอ

“คุณอิงอาจยุ่งอยู่จนไม่ได้ยินก็ได้ค่ะ โทรหาพยาบาลที่ดูแลคุณท่านเลยดีไหม” พูดจบก็ต่อสายโทรศัพท์ตัวเอง แต่ให้ชายหนุ่มเป็นคนคุยเพราะเธอขับรถอยู่

พยาบาลตอบว่า “ยังไม่เห็นคุณอิงนะคะ แต่อาการคุณท่านทรงๆ หมอกำลังดูแลอยู่ค่ะ”

ชายหนุ่มจึงลองโทร.หาน้องสาวกำมะลออีกครั้ง ยังคงไร้การตอบรับเช่นเดิมจนใจคอเริ่มไม่ดี ระหว่างนั้นเองริมถนนทางด้านหน้าเหมือนมีเหตุวุ่นวาย เห็นรถกู้ภัยและรถตำรวจจอดอยู่โดยเปิดไฟฉุกเฉินไว้ ครั้นเจคพยายามสังเกตก็สะดุ้งวาบ

“รถที่แฉลบลงข้างทางนั่น…นั่นมันรถอิงนี่!”

หญิงสาวคนขับรถอุทานตกใจ พยายามชะลอพาหนะแล้วจอดข้างทางอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มผลักประตูวิ่งพรวดเดียวถึงที่เกิดเหตุ ฝ่าไทยมุงจะตรงไปหารถวิมลินแต่โดนเจ้าหน้าที่ขวางทางไว้

“คุณออกไปก่อน อย่ารบกวนการทำงาน”

“คุณตำรวจครับ! นั่นมันรถน้องสาวผม น้องสาวผมเป็นยังไงบ้างครับ!”

ขณะเดียวกันก็ชะเง้อมองไปด้วย เป็นรถของวิมลินแน่ๆ ตอนนี้เจ้าพาหนะคันโตทิ่มหัวลงยังคูระบายน้ำข้างทาง ตัวรถเอียงกระเท่เร่ ประตูด้านคนขับเปิดอ้ากระจกแตกละเอียด แต่ไม่เห็นร่องรอยวิมลินแม้แต่น้อย เจคเหมือนถูกกระชากหัวใจออกจากอก ดึงดันจะเข้าไปดูให้เห็นกับตาแต่มีผู้ชายสองสามคนคอยรั้งตัวเขาไว้ จนกระทั่งพริมตามมาสมทบ หญิงสาวหน้าซีดแต่ดูจะควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าเขามาก เริ่มเจรจากับตำรวจอย่างใจเย็น พยายามอธิบายรูปร่างลักษณะของวิมลิน และแจ้งชื่อซึ่งตรงกับบัตรประชาชนที่ค้นพบในตัวหญิงสาว จนเจ้าหน้าที่แน่ใจว่าพวกเขารู้จักเจ้าของรถจริงๆ จึงยอมชี้แจง

“คนเจ็บถูกพาไปส่งโรงพยาบาลแล้วครับ เธอโดนไล่ยิงจนรถตกข้างทาง โชคดีพลเมืองดีขับรถตามหลังมาเลยรีบเข้าช่วยเหลือและแจ้งตำรวจ ส่วนคนร้ายยังหลบหนี”

เจคเหมือนโดนค้อนทุบใส่หัวจนสมองลั่นกราว ตัวแข็งทื่อ

วิมลินโดนยิง! บ้าไปแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!



Don`t copy text!