หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (2)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (2)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

วิมลินกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้สิบกว่าวันแล้ว 

ตลอดเวลานั้นเจคห้ามเธอไปบริษัทและไม่ยอมให้แตะต้องงานแม้สักกระผีก โดยอธิบายง่ายๆ กับท่าทางบึ้งตึงของเธอว่า “ถึงการประชุมกรรมการบริษัทจะเลื่อนไปก่อน แต่ถ้ามันเริ่มเมื่อไหร่เราต้องพร้อมเต็มที่ คุณควรพักร่างกายให้แข็งแรงเพื่อรอทำเรื่องสำคัญ”

หญิงสาวจึงยอมจำนน ระหว่างนั้นได้ให้ปากคำกับตำรวจ และพูดคุยในครอบครัวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ้าง ทว่าวิมลินไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์เลย เธอเองก็มืดแปดด้านพอๆ กับทุกคน มีการพาดพิงถึงเทวิกาอยู่บ้างแต่กลับไม่พบข้อสรุปเป็นชิ้นเป็นอัน สุดท้ายทางตำรวจไม่สามารถหาเบาะแสที่สาวไปถึงตัวมือปืนหรือคนบงการ คดีจึงถูกค้างเติ่งไว้เช่นนั้น

เนื่องจากแผนการเอาคืนเทวิกาของเจคยังอยู่ในขั้นต้นมาก ชายหนุ่มจึงขอให้ทุกคนปิดบังวิมลินไว้ก่อน หญิงสาวทราบแค่ข่าวลือที่กระพือขึ้นมาอีกครั้งจากฝีมือเทวิกาเท่านั้น ทว่าก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร สำหรับวิมลินแล้วมันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงเสียด้วยซ้ำ เธอเพียงใช้ช่วงเวลาว่างทบทวนแผนการเกลี้ยกล่อมคณะกรรมการให้คล้อยตามเรื่องการยกที่ดินให้มูลนิธิ และแอบตรวจสอบจนมั่นใจว่าทางประเสริฐกับสุขุมาลไม่มีใครระแคะระคายสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ตามด้วยการวางแผนต่อเนื่องที่จะช่วยให้เจคถอนตัวจากบุหรงกาญจน์อย่างละมุนละม่อม เมื่อชายหนุ่มรับฟังก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพียงเข้ามากอดเธอไว้

“เรื่องลอบยิงยังคาราคาซังแล้วผมจะจากไปคนเดียวได้ยังไง คงห่วงคุณแทบบ้าแน่”

“ฉันจะระวังตัวค่ะ บริษัทก็เตรียมบอดี้การ์ดไว้ดูแลหลังฉันพร้อมทำงาน อย่ากังวลเลย”

จะไม่ให้เขากังวล บอกไม่ให้เขาหายใจยังง่ายกว่าเสียอีก “พอผมกลับนิวซีแลนด์แล้ว คุณก็หาข้ออ้างพักร้อนเพื่อฟื้นฟูร่างกายดีไหม ผมจะพาคุณเที่ยวเมืองควีนส์ทาวน์ให้ทั่วเลย จริงๆ อยากพาเที่ยวทั้งนิวซีแลนด์มากกว่านะ แต่อันนั้นไว้รอหลังจากคุณออกจากบุหรงกาญจน์ก่อนก็แล้วกัน”

หญิงสาวซุกหน้าแนบอกเขา แอบยิ้มให้กับเสียงหัวใจเต้นตุบๆ ที่ดังข้างหู

และในเวลานี้ รอยยิ้มนั้นก็ผุดขึ้นอีกครั้งบนริมฝีปาก ก่อนปรับสีหน้าเมื่อแม่บ้านเข้ามารายงานเรื่องแขกที่นัดพบไว้ พริมโทร.หาเธอตั้งแต่เมื่อวานว่าวันนี้จะขอเข้าเยี่ยม หญิงสาวอนุญาตอย่างรวดเร็วเพราะปัจจุบันแทบเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ได้คนคุยแก้เหงาก็คงดี

เลขานุการมูลนิธิมีของฝากติดมือเช่นเคย คราวนี้เป็นขนมเจ้าอร่อย เธอยื่นให้พร้อมกับสิ่งของอีกอย่าง “สร้อยที่ยืมไปงานเลี้ยงเมื่อวันนั้นน่ะค่ะ หาจังหวะคืนไม่ได้เสียทีเพราะช่วงก่อนได้ข่าวคุณอิงยังไม่อยากให้ใครมาเยี่ยม”

คนปล่อยข่าวน่าจะเป็นเจคนั่นแหละ วิมลินสรุปในใจพลางตอบคำถามเรื่องอาการของตัวเอง “ดีขึ้นมากแล้วค่ะ พริมเองก็คงเหนื่อยหลายอย่าง อิงไม่ได้ช่วยงานมูลนิธิเลย”

“ทางมูลนิธิยังถือว่าราบรื่นค่ะ พริมกลับเป็นห่วงเรื่องอาการของคุณท่านมากกว่า กำลังใจสำคัญกับคนป่วยมากนะคะ คุณอิงก็ไม่ได้ไปเยี่ยมท่านนานแล้ว”

ความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจเป็นรูโหว่ เธอเคยหลบหน้าอาม่าเพราะปัญหาเรื่องของเจค แต่ตอนนี้สามารถใช้ข้ออ้างว่าเขาทำงานส่วนตัวเองไปเยี่ยมตามลำพังก็ได้ ติดขัดแค่เหตุผลเดียว ชายหนุ่มห้ามเธอออกจากบ้านโดยเด็ดขาด

วิมลินเคยฝ่าฝืนคำสั่งด้วยการขับรถไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าแถวนี้ ครั้นเขาทราบจึงโทร.ตามกลับบ้านแทบทุกนาที ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ว่าโมโหแทบพ่นไฟได้ แต่ครั้นเจคเจอหน้าเธอเข้าจริงๆ กลับไม่กล้าดุว่าสักคำ แค่ทำท่าหงอยเข้ามากอดเธอตอนปลอดคน

‘คนร้ายที่ยิงคุณยังลอยนวลอยู่นะ ผมเป็นห่วงแทบบ้า’

ไม่ว่าผู้ชายคนนี้จะทำไปเพราะรู้อยู่แล้วหรือตามสัญชาตญาณ แต่มันก็ได้ผลเป็นอย่างดี วิมลินแพ้ทางไม้อ่อนมากกว่าไม้แข็ง

นับแต่นั้นหญิงสาวจึงทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่บ้าน ทว่าวันนี้ความตั้งใจพลันสั่นคลอนเป็นครั้งแรก แม้ระหว่างเธอกับอาม่าใหญ่จะไม่ได้มีความผูกพันมากนัก ถึงกระนั้นท่านก็เป็นญาติใกล้ชิดที่เหลืออยู่แค่คนเดียว หรือจะรอจนเจคอนุญาตให้ออกจากบ้านค่อยไปหา แต่เมื่อไรกันล่ะ ในเมื่อวิมลินเองแข็งแรงขึ้นมากแล้ว เขากลับยังไร้ทีท่าจะเอ่ยปากแบบนั้น

ขณะเดียวกันทางฝั่งของพริม เธอบิดมือไปมาอย่างว้าวุ่นแต่สุดท้ายก็สะบัดหน้าขึ้น แววตาส่องประกายอย่างคนที่ตัดสินใจเด็ดขาด “งานนี้พริมจะถูกว่าหรือลงโทษก็ยอมค่ะ คุณอิงคะ อาการคุณท่านทรงๆ ทรุดๆ แต่พอสติแจ่มใสมักชอบถามถึงหลานอยู่บ่อยๆ ถ้าต้องไปเยี่ยมท่านทั้งที…รีบไปตอนที่ท่านยังรับรู้และดีใจได้เถอะค่ะ!”

ความลังเลของวิมลินพังทลายด้วยคำพูดประโยคสุดท้ายนี่เอง

 

ทางเดินจากตัวบ้านของวิมลินไปถึงโรงรถเป็นพื้นปูหิน มีพุ่มไม้ปลูกอยู่ทั้งสองข้างทาง พริมกำลังเดินไปตามทางนั้น มือถือกล่องกับแม่บ้านคนละใบ เลขาฯ มูลนิธิเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรงใจ

“ขอบคุณนะคะที่เสียเวลาช่วยเหลือ คุณอิงแนะนำว่าหาอัลบั้มรูปเก่าๆ ไปให้คุณท่านดูน่าจะดีกับสภาพจิตใจท่านตอนนี้”

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ฉันเองก็เคยหาอัลบั้มพวกนี้กับคุณอิงมารอบหนึ่งเลยพอรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน”

“ว่าแต่ไม่เห็นคุณอิงเลยนะคะ ยังคิดๆ ขากลับจะแวะลาเธอซะหน่อย”

“เธอขอตัวพักผ่อนค่ะ บอกไม่ต้องปลุกจนกว่าคุณเจคจะกลับ”

พวกเขามาถึงรถของพริมซึ่งติดฟิล์มดำทึบ ช่วยกันขนของใส่กระโปรงหลังแล้วแม่บ้านก็ขอตัวไปบอกคนสวนให้เปิดประตูรั้วรอส่งแขก พริมปลดกระเป๋าสะพายจากบ่ามาถือระหว่างเปิดประตูรถเข้านั่งประจำที่ บังคับพาหนะออกจากบ้านไปอย่างราบรื่น หญิงสาวชำเลืองมองกระจกหลังจากนั้นเอ่ยลอยๆ

“ทางสะดวกค่ะคุณอิง”

สิ้นประโยค วิมลินก็ลุกนั่งจากที่แอบนอนอยู่เบาะหลัง ลำบากเล็กน้อยเพราะแขนข้างซ้ายยังเข้าเฝือกอยู่ พลางปัดผมยุ่งเหยิงให้เข้าทรง “ขอบคุณนะพริม”

วิมลินขอความช่วยเหลือจากเลขาฯ มูลนิธิ ด้วยการเอากุญแจรถเธอย่องมาซ่อนตัวที่เบาะหลังรถ โดยก่อนจะหลบก็สั่งแม่บ้านให้พาพริมไปเอาอัลบั้มรูปเพื่อดึงความสนใจ เพราะถ้าแม่บ้านรู้ว่าเธอดื้อจะขัดคำสั่งต้องรายงานเจคให้ห้ามไว้แน่นอน

“แต่ไม่บอกคุณเจคจะดีเหรอคะ” เลขาฯ มูลนิธิทำท่าไม่แน่ใจ

วิมลินยักไหล่ “ช่างเถอะค่ะ ไว้อิงกลับมาค่อยอุดหูฟังเขาบ่นสักสองสามชั่วโมงก็พอ”

พริมฝืนยิ้ม ตบกระเป๋าสะพายที่วางตรงเบาะข้างตัว “มือถือกับกระเป๋าสตางค์คุณอิงที่ฝากพริมเอามาด้วยอยู่นี่แล้วนะคะ ไว้ขากลับพริมค่อยคืนให้เพราะคุณมือเดียวน่าจะถือของไม่สะดวก”

จากนั้นก็ชวนวิมลินคุยไปตลอดทางจนกระทั่งถึงจุดหมาย คราวนี้พวกเธอเข้าทางประตูบ้านของอาม่าใหญ่โดยตรง ไม่ได้อ้อมไปทางมูลนิธิเหมือนครั้งที่วิมลินพาเจคมาครั้งแรก วิมลินลงจากรถมองกลับไปแถวตึกมูลนิธิอย่างสงสัย

“ทำไมดูเงียบจังเลยคะ”

“พริมลืมบอกหรือคะเนี่ย พอดีโรคมือเท้าปากระบาดเลยจำเป็นต้องหยุดงานกันชั่วคราวค่ะ เพื่อทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ”

วิมลินพยักหน้าเข้าใจ พวกเธอให้ความสำคัญกับการเกิดโรคติดต่อเช่นนี้มาก เพราะเด็กออทิสติกดูแลยากกว่าปกติอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงยามพวกเขาป่วยเลยด้วยซ้ำ

“ที่มูลนิธิเป็นห่วงคุณอิงกันมากนะคะ” พริมชวนคุยต่อระหว่างหยิบกระเป๋าสะพายไหล่ “และก็โกรธเทวิกามาก สร้างข่าวลือเสียหายให้คุณอิงไม่พอ ทำไมกล้าลงมือโหดร้ายขนาดนั้น”

วิมลินเลิกคิ้ว เริ่มเดินนำไปทางบ้านอาม่าใหญ่ ดูเหมือนจะมีการตกแต่งสวนหย่อมรอบบ้านกันใหม่ เห็นต้นไม้หลายต้นถูกขุดขึ้นจากพื้น เครื่องมือทำสวนวางทิ้งไว้เป็นระยะ “เข้าใจผิดกันแล้ว เทวิกาไม่ได้เป็นคนสั่งยิงอิงแน่ๆ”

“ต้องเป็นเธอสิคะ ถ้าไม่ใช่เธอจะเป็นใคร คุณอิงอย่าไปเชื่อที่เธอปฏิเสธออกสื่อนะคะ”

อีกฝ่ายโบกมือไปมา “มันมีเหตุผลอื่นต่างหาก อิงรอดมาได้เพราะรถกันกระสุนของพ่อ แต่ตอนนั้นคนที่สั่งให้ดัดแปลงรถก็คือตัวเทวิกาเองเพราะเธอเป็นห่วงพ่อมาก เทวิการู้อยู่แล้วรถคันนี้กันกระสุนคงไม่สั่งใครมายิงตอนอิงขับมันหรอก ไอ้โม่งเบื้องหลังน่าจะเป็นคนอื่น”

พวกเธอผ่านประตูบ้านที่ยังเปิดกว้างรอเหมือนเช่นเคย แต่บริเวณภายในกลับเงียบสงัดไม่เจอแม้กระทั่งแม่บ้านที่มักรีบวิ่งมาต้อนรับ ขณะวิมลินหันมองซ้ายขวาอย่างสงสัยพริมก็เอ่ยขึ้นจากด้านหลัง

“คุณอิงบอกเรื่องนี้กับใครไว้บ้างคะ ไม่ได้บอกญาติๆ เลยนี่”

“เรื่องนั้น…” คำพูดชะงักค้าง รับรู้ถึงน้ำเสียงแปลกแปร่งของคนข้างหลัง วินาทีนั้นรีบหันขวับ จึงทันเห็นเงาของบางอย่างเหวี่ยงใส่หัว เธอหลบวูบจนมันพลาดไปฟาดแจกันตั้งโต๊ะแตกกระจาย วิมลินเสียวสันหลังวาบ สองตาเบิกกว้างจับจ้องยังเสียมที่อยู่ในมือพริม เธอคงแอบหยิบมันจากเครื่องมือทำสวนที่ถูกวางทิ้งด้านนอก

“พริม เธอ…เธอทำอะไรน่ะ!”

เลขานุการมูลนิธิดึงเสียมกลับมาหมุนเพื่อหาท่วงท่าที่จะใช้มันได้ถนัดมือ สีหน้าราบเรียบราวรูปปั้นไร้ชีวิต หัวใจวิมลินกระตุกวูบ รีบตะโกนขอความช่วยเหลือ

“ใครอยู่แถวนี้บ้างมาช่วยฉันหน่อย พริมบ้าไปแล้ว!”

“เรียกไปก็เท่านั้นแหละค่ะ” ยามที่น้ำเสียงของเลขาฯ มูลนิธิไม่ต้องเสแสร้งอ่อนหวาน มันก็เย็นเยียบแทบผนึกกระทั่งวิญญาณ “พริมส่งคุณท่านกับพยาบาลไปอยู่โรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อวาน อ้างจะตรวจสุขภาพอีกรอบ แม่บ้านกับคนสวนก็พลอยหยุดงานไปด้วย ในบ้านมีแต่พวกเราค่ะ”

หนังศีรษะวิมลินชาวาบ “นี่มันเรื่องอะไรกัน”

“ต้องเก็บงานให้เรียบร้อยสิคะ อุตส่าห์จ้างคนไปยิงคุณทั้งทีดันทำพลาดง่ายๆ พริมเลยรู้ว่าเรื่องสำคัญก็ต้องลงมือทำเอง ไว้ใจคนอื่นไม่ได้เลย”

พริมคือไอ้โม่งเบื้องหลังการลอบยิง บางทีถ้ามีปีศาจผุดขึ้นตรงหน้า วิมลินก็คงไม่ตกใจเท่านี้!

 

ณ คฤหาสน์หลังงามของวิมลินเหตุการณ์ยังคงปกติเหมือนเช่นทุกวัน หัวหน้าแม่บ้านกับคนงานต่างช่วยกันทำความสะอาดขะมักเขม้นตอนที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ของหัวหน้าแม่บ้านดังขึ้น

“สวัสดีค่ะคุณเจค มีอะไรให้รับใช้คะ”

“ตอนนี้ผมขับรถอยู่นะ” เสียงชายหนุ่มดังจากปลายสาย “แต่พอดีติดต่ออิงไม่ได้เลย โทรไปโทรศัพท์ก็ดังจนมันดับไปเอง เธออยู่ไหนเนี่ย”

“น่าจะหลับอยู่ในห้องนะคะ”

“ช่วยไปดูให้แน่ใจหน่อยสิ”

หัวหน้าแม่บ้านงุนงงแต่ก็ร้องสั่งคนงานให้ปฏิบัติตาม พักใหญ่คนงานกลับวิ่งหน้าตื่นมาหา “คุณอิงไม่อยู่ในห้องค่ะ”

เจคถือโทรศัพท์รออยู่จึงได้ยินเต็มสองหู รีบสั่งเสียงเครียด “ตามหาเธอ! แล้วให้คนคอยโทรเข้ามือถืออิงดูสิจะรับสายเมื่อไหร่”

เหล่าคนงานรีบทำตามอย่างตื่นตกใจ หัวหน้าแม่บ้านไม่กล้าวางสายของชายหนุ่มจึงเปลี่ยนเป็นเปิดลำโพงโทรศัพท์ ถือมันไว้ระหว่างออกตามหาวิมลิน จนกระทั่งได้ยินเสียงบางอย่างแว่วๆ ค้นหาไปจนถึงพุ่มไม้ข้างโรงรถ แหวกดูก็พบโทรศัพท์วิมลินตกอยู่ที่พื้น เธอรีบตะโกนรายงานใส่เครื่องมือสื่อสาร

“คุณเจคคะ เจอโทรศัพท์คุณอิงตกอยู่ข้างโรงรถค่ะ”

“หา!? เป็นไปได้ยังไง”

แม่บ้านเงยหน้าขึ้น จำได้ว่าตำแหน่งที่ว่างในโรงรถตอนนี้เคยมีรถของเลขาฯ มูลนิธิจอดอยู่ “วันนี้คุณพริมมาพบคุณอิงนะคะแต่เธอกลับไปตั้งนานแล้ว”

เจคผู้กำลังคุยโทรศัพท์หน้าซีดเผือด ตวาดลั่น “รีบโทรหาคุณวัตบอกอิงหายตัวไป ให้เขาแจ้งตำรวจทันที”

“อะ…อะไรนะคะ”

“ปัดโธ่! รีบทำเถอะน่า ความเป็นความตายอิงแขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้วนะ”

ชายหนุ่มตัดสายทิ้งทันที ดวงตาแดงฉานแทบกลั่นเป็นเลือด ทุบพวงมาลัยรถปังจนสะเทือนไปทั้งคัน ขณะที่เท้าเหยียบคันเร่งจนมิด!



Don`t copy text!