หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (2)
โดย : สิตา
หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co
วิมลินกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้สิบกว่าวันแล้ว
ตลอดเวลานั้นเจคห้ามเธอไปบริษัทและไม่ยอมให้แตะต้องงานแม้สักกระผีก โดยอธิบายง่ายๆ กับท่าทางบึ้งตึงของเธอว่า “ถึงการประชุมกรรมการบริษัทจะเลื่อนไปก่อน แต่ถ้ามันเริ่มเมื่อไหร่เราต้องพร้อมเต็มที่ คุณควรพักร่างกายให้แข็งแรงเพื่อรอทำเรื่องสำคัญ”
หญิงสาวจึงยอมจำนน ระหว่างนั้นได้ให้ปากคำกับตำรวจ และพูดคุยในครอบครัวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ้าง ทว่าวิมลินไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์เลย เธอเองก็มืดแปดด้านพอๆ กับทุกคน มีการพาดพิงถึงเทวิกาอยู่บ้างแต่กลับไม่พบข้อสรุปเป็นชิ้นเป็นอัน สุดท้ายทางตำรวจไม่สามารถหาเบาะแสที่สาวไปถึงตัวมือปืนหรือคนบงการ คดีจึงถูกค้างเติ่งไว้เช่นนั้น
เนื่องจากแผนการเอาคืนเทวิกาของเจคยังอยู่ในขั้นต้นมาก ชายหนุ่มจึงขอให้ทุกคนปิดบังวิมลินไว้ก่อน หญิงสาวทราบแค่ข่าวลือที่กระพือขึ้นมาอีกครั้งจากฝีมือเทวิกาเท่านั้น ทว่าก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร สำหรับวิมลินแล้วมันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงเสียด้วยซ้ำ เธอเพียงใช้ช่วงเวลาว่างทบทวนแผนการเกลี้ยกล่อมคณะกรรมการให้คล้อยตามเรื่องการยกที่ดินให้มูลนิธิ และแอบตรวจสอบจนมั่นใจว่าทางประเสริฐกับสุขุมาลไม่มีใครระแคะระคายสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ตามด้วยการวางแผนต่อเนื่องที่จะช่วยให้เจคถอนตัวจากบุหรงกาญจน์อย่างละมุนละม่อม เมื่อชายหนุ่มรับฟังก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพียงเข้ามากอดเธอไว้
“เรื่องลอบยิงยังคาราคาซังแล้วผมจะจากไปคนเดียวได้ยังไง คงห่วงคุณแทบบ้าแน่”
“ฉันจะระวังตัวค่ะ บริษัทก็เตรียมบอดี้การ์ดไว้ดูแลหลังฉันพร้อมทำงาน อย่ากังวลเลย”
จะไม่ให้เขากังวล บอกไม่ให้เขาหายใจยังง่ายกว่าเสียอีก “พอผมกลับนิวซีแลนด์แล้ว คุณก็หาข้ออ้างพักร้อนเพื่อฟื้นฟูร่างกายดีไหม ผมจะพาคุณเที่ยวเมืองควีนส์ทาวน์ให้ทั่วเลย จริงๆ อยากพาเที่ยวทั้งนิวซีแลนด์มากกว่านะ แต่อันนั้นไว้รอหลังจากคุณออกจากบุหรงกาญจน์ก่อนก็แล้วกัน”
หญิงสาวซุกหน้าแนบอกเขา แอบยิ้มให้กับเสียงหัวใจเต้นตุบๆ ที่ดังข้างหู
และในเวลานี้ รอยยิ้มนั้นก็ผุดขึ้นอีกครั้งบนริมฝีปาก ก่อนปรับสีหน้าเมื่อแม่บ้านเข้ามารายงานเรื่องแขกที่นัดพบไว้ พริมโทร.หาเธอตั้งแต่เมื่อวานว่าวันนี้จะขอเข้าเยี่ยม หญิงสาวอนุญาตอย่างรวดเร็วเพราะปัจจุบันแทบเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ได้คนคุยแก้เหงาก็คงดี
เลขานุการมูลนิธิมีของฝากติดมือเช่นเคย คราวนี้เป็นขนมเจ้าอร่อย เธอยื่นให้พร้อมกับสิ่งของอีกอย่าง “สร้อยที่ยืมไปงานเลี้ยงเมื่อวันนั้นน่ะค่ะ หาจังหวะคืนไม่ได้เสียทีเพราะช่วงก่อนได้ข่าวคุณอิงยังไม่อยากให้ใครมาเยี่ยม”
คนปล่อยข่าวน่าจะเป็นเจคนั่นแหละ วิมลินสรุปในใจพลางตอบคำถามเรื่องอาการของตัวเอง “ดีขึ้นมากแล้วค่ะ พริมเองก็คงเหนื่อยหลายอย่าง อิงไม่ได้ช่วยงานมูลนิธิเลย”
“ทางมูลนิธิยังถือว่าราบรื่นค่ะ พริมกลับเป็นห่วงเรื่องอาการของคุณท่านมากกว่า กำลังใจสำคัญกับคนป่วยมากนะคะ คุณอิงก็ไม่ได้ไปเยี่ยมท่านนานแล้ว”
ความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจเป็นรูโหว่ เธอเคยหลบหน้าอาม่าเพราะปัญหาเรื่องของเจค แต่ตอนนี้สามารถใช้ข้ออ้างว่าเขาทำงานส่วนตัวเองไปเยี่ยมตามลำพังก็ได้ ติดขัดแค่เหตุผลเดียว ชายหนุ่มห้ามเธอออกจากบ้านโดยเด็ดขาด
วิมลินเคยฝ่าฝืนคำสั่งด้วยการขับรถไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าแถวนี้ ครั้นเขาทราบจึงโทร.ตามกลับบ้านแทบทุกนาที ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ว่าโมโหแทบพ่นไฟได้ แต่ครั้นเจคเจอหน้าเธอเข้าจริงๆ กลับไม่กล้าดุว่าสักคำ แค่ทำท่าหงอยเข้ามากอดเธอตอนปลอดคน
‘คนร้ายที่ยิงคุณยังลอยนวลอยู่นะ ผมเป็นห่วงแทบบ้า’
ไม่ว่าผู้ชายคนนี้จะทำไปเพราะรู้อยู่แล้วหรือตามสัญชาตญาณ แต่มันก็ได้ผลเป็นอย่างดี วิมลินแพ้ทางไม้อ่อนมากกว่าไม้แข็ง
นับแต่นั้นหญิงสาวจึงทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่บ้าน ทว่าวันนี้ความตั้งใจพลันสั่นคลอนเป็นครั้งแรก แม้ระหว่างเธอกับอาม่าใหญ่จะไม่ได้มีความผูกพันมากนัก ถึงกระนั้นท่านก็เป็นญาติใกล้ชิดที่เหลืออยู่แค่คนเดียว หรือจะรอจนเจคอนุญาตให้ออกจากบ้านค่อยไปหา แต่เมื่อไรกันล่ะ ในเมื่อวิมลินเองแข็งแรงขึ้นมากแล้ว เขากลับยังไร้ทีท่าจะเอ่ยปากแบบนั้น
ขณะเดียวกันทางฝั่งของพริม เธอบิดมือไปมาอย่างว้าวุ่นแต่สุดท้ายก็สะบัดหน้าขึ้น แววตาส่องประกายอย่างคนที่ตัดสินใจเด็ดขาด “งานนี้พริมจะถูกว่าหรือลงโทษก็ยอมค่ะ คุณอิงคะ อาการคุณท่านทรงๆ ทรุดๆ แต่พอสติแจ่มใสมักชอบถามถึงหลานอยู่บ่อยๆ ถ้าต้องไปเยี่ยมท่านทั้งที…รีบไปตอนที่ท่านยังรับรู้และดีใจได้เถอะค่ะ!”
ความลังเลของวิมลินพังทลายด้วยคำพูดประโยคสุดท้ายนี่เอง
ทางเดินจากตัวบ้านของวิมลินไปถึงโรงรถเป็นพื้นปูหิน มีพุ่มไม้ปลูกอยู่ทั้งสองข้างทาง พริมกำลังเดินไปตามทางนั้น มือถือกล่องกับแม่บ้านคนละใบ เลขาฯ มูลนิธิเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรงใจ
“ขอบคุณนะคะที่เสียเวลาช่วยเหลือ คุณอิงแนะนำว่าหาอัลบั้มรูปเก่าๆ ไปให้คุณท่านดูน่าจะดีกับสภาพจิตใจท่านตอนนี้”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ฉันเองก็เคยหาอัลบั้มพวกนี้กับคุณอิงมารอบหนึ่งเลยพอรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน”
“ว่าแต่ไม่เห็นคุณอิงเลยนะคะ ยังคิดๆ ขากลับจะแวะลาเธอซะหน่อย”
“เธอขอตัวพักผ่อนค่ะ บอกไม่ต้องปลุกจนกว่าคุณเจคจะกลับ”
พวกเขามาถึงรถของพริมซึ่งติดฟิล์มดำทึบ ช่วยกันขนของใส่กระโปรงหลังแล้วแม่บ้านก็ขอตัวไปบอกคนสวนให้เปิดประตูรั้วรอส่งแขก พริมปลดกระเป๋าสะพายจากบ่ามาถือระหว่างเปิดประตูรถเข้านั่งประจำที่ บังคับพาหนะออกจากบ้านไปอย่างราบรื่น หญิงสาวชำเลืองมองกระจกหลังจากนั้นเอ่ยลอยๆ
“ทางสะดวกค่ะคุณอิง”
สิ้นประโยค วิมลินก็ลุกนั่งจากที่แอบนอนอยู่เบาะหลัง ลำบากเล็กน้อยเพราะแขนข้างซ้ายยังเข้าเฝือกอยู่ พลางปัดผมยุ่งเหยิงให้เข้าทรง “ขอบคุณนะพริม”
วิมลินขอความช่วยเหลือจากเลขาฯ มูลนิธิ ด้วยการเอากุญแจรถเธอย่องมาซ่อนตัวที่เบาะหลังรถ โดยก่อนจะหลบก็สั่งแม่บ้านให้พาพริมไปเอาอัลบั้มรูปเพื่อดึงความสนใจ เพราะถ้าแม่บ้านรู้ว่าเธอดื้อจะขัดคำสั่งต้องรายงานเจคให้ห้ามไว้แน่นอน
“แต่ไม่บอกคุณเจคจะดีเหรอคะ” เลขาฯ มูลนิธิทำท่าไม่แน่ใจ
วิมลินยักไหล่ “ช่างเถอะค่ะ ไว้อิงกลับมาค่อยอุดหูฟังเขาบ่นสักสองสามชั่วโมงก็พอ”
พริมฝืนยิ้ม ตบกระเป๋าสะพายที่วางตรงเบาะข้างตัว “มือถือกับกระเป๋าสตางค์คุณอิงที่ฝากพริมเอามาด้วยอยู่นี่แล้วนะคะ ไว้ขากลับพริมค่อยคืนให้เพราะคุณมือเดียวน่าจะถือของไม่สะดวก”
จากนั้นก็ชวนวิมลินคุยไปตลอดทางจนกระทั่งถึงจุดหมาย คราวนี้พวกเธอเข้าทางประตูบ้านของอาม่าใหญ่โดยตรง ไม่ได้อ้อมไปทางมูลนิธิเหมือนครั้งที่วิมลินพาเจคมาครั้งแรก วิมลินลงจากรถมองกลับไปแถวตึกมูลนิธิอย่างสงสัย
“ทำไมดูเงียบจังเลยคะ”
“พริมลืมบอกหรือคะเนี่ย พอดีโรคมือเท้าปากระบาดเลยจำเป็นต้องหยุดงานกันชั่วคราวค่ะ เพื่อทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ”
วิมลินพยักหน้าเข้าใจ พวกเธอให้ความสำคัญกับการเกิดโรคติดต่อเช่นนี้มาก เพราะเด็กออทิสติกดูแลยากกว่าปกติอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงยามพวกเขาป่วยเลยด้วยซ้ำ
“ที่มูลนิธิเป็นห่วงคุณอิงกันมากนะคะ” พริมชวนคุยต่อระหว่างหยิบกระเป๋าสะพายไหล่ “และก็โกรธเทวิกามาก สร้างข่าวลือเสียหายให้คุณอิงไม่พอ ทำไมกล้าลงมือโหดร้ายขนาดนั้น”
วิมลินเลิกคิ้ว เริ่มเดินนำไปทางบ้านอาม่าใหญ่ ดูเหมือนจะมีการตกแต่งสวนหย่อมรอบบ้านกันใหม่ เห็นต้นไม้หลายต้นถูกขุดขึ้นจากพื้น เครื่องมือทำสวนวางทิ้งไว้เป็นระยะ “เข้าใจผิดกันแล้ว เทวิกาไม่ได้เป็นคนสั่งยิงอิงแน่ๆ”
“ต้องเป็นเธอสิคะ ถ้าไม่ใช่เธอจะเป็นใคร คุณอิงอย่าไปเชื่อที่เธอปฏิเสธออกสื่อนะคะ”
อีกฝ่ายโบกมือไปมา “มันมีเหตุผลอื่นต่างหาก อิงรอดมาได้เพราะรถกันกระสุนของพ่อ แต่ตอนนั้นคนที่สั่งให้ดัดแปลงรถก็คือตัวเทวิกาเองเพราะเธอเป็นห่วงพ่อมาก เทวิการู้อยู่แล้วรถคันนี้กันกระสุนคงไม่สั่งใครมายิงตอนอิงขับมันหรอก ไอ้โม่งเบื้องหลังน่าจะเป็นคนอื่น”
พวกเธอผ่านประตูบ้านที่ยังเปิดกว้างรอเหมือนเช่นเคย แต่บริเวณภายในกลับเงียบสงัดไม่เจอแม้กระทั่งแม่บ้านที่มักรีบวิ่งมาต้อนรับ ขณะวิมลินหันมองซ้ายขวาอย่างสงสัยพริมก็เอ่ยขึ้นจากด้านหลัง
“คุณอิงบอกเรื่องนี้กับใครไว้บ้างคะ ไม่ได้บอกญาติๆ เลยนี่”
“เรื่องนั้น…” คำพูดชะงักค้าง รับรู้ถึงน้ำเสียงแปลกแปร่งของคนข้างหลัง วินาทีนั้นรีบหันขวับ จึงทันเห็นเงาของบางอย่างเหวี่ยงใส่หัว เธอหลบวูบจนมันพลาดไปฟาดแจกันตั้งโต๊ะแตกกระจาย วิมลินเสียวสันหลังวาบ สองตาเบิกกว้างจับจ้องยังเสียมที่อยู่ในมือพริม เธอคงแอบหยิบมันจากเครื่องมือทำสวนที่ถูกวางทิ้งด้านนอก
“พริม เธอ…เธอทำอะไรน่ะ!”
เลขานุการมูลนิธิดึงเสียมกลับมาหมุนเพื่อหาท่วงท่าที่จะใช้มันได้ถนัดมือ สีหน้าราบเรียบราวรูปปั้นไร้ชีวิต หัวใจวิมลินกระตุกวูบ รีบตะโกนขอความช่วยเหลือ
“ใครอยู่แถวนี้บ้างมาช่วยฉันหน่อย พริมบ้าไปแล้ว!”
“เรียกไปก็เท่านั้นแหละค่ะ” ยามที่น้ำเสียงของเลขาฯ มูลนิธิไม่ต้องเสแสร้งอ่อนหวาน มันก็เย็นเยียบแทบผนึกกระทั่งวิญญาณ “พริมส่งคุณท่านกับพยาบาลไปอยู่โรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อวาน อ้างจะตรวจสุขภาพอีกรอบ แม่บ้านกับคนสวนก็พลอยหยุดงานไปด้วย ในบ้านมีแต่พวกเราค่ะ”
หนังศีรษะวิมลินชาวาบ “นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“ต้องเก็บงานให้เรียบร้อยสิคะ อุตส่าห์จ้างคนไปยิงคุณทั้งทีดันทำพลาดง่ายๆ พริมเลยรู้ว่าเรื่องสำคัญก็ต้องลงมือทำเอง ไว้ใจคนอื่นไม่ได้เลย”
พริมคือไอ้โม่งเบื้องหลังการลอบยิง บางทีถ้ามีปีศาจผุดขึ้นตรงหน้า วิมลินก็คงไม่ตกใจเท่านี้!
ณ คฤหาสน์หลังงามของวิมลินเหตุการณ์ยังคงปกติเหมือนเช่นทุกวัน หัวหน้าแม่บ้านกับคนงานต่างช่วยกันทำความสะอาดขะมักเขม้นตอนที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ของหัวหน้าแม่บ้านดังขึ้น
“สวัสดีค่ะคุณเจค มีอะไรให้รับใช้คะ”
“ตอนนี้ผมขับรถอยู่นะ” เสียงชายหนุ่มดังจากปลายสาย “แต่พอดีติดต่ออิงไม่ได้เลย โทรไปโทรศัพท์ก็ดังจนมันดับไปเอง เธออยู่ไหนเนี่ย”
“น่าจะหลับอยู่ในห้องนะคะ”
“ช่วยไปดูให้แน่ใจหน่อยสิ”
หัวหน้าแม่บ้านงุนงงแต่ก็ร้องสั่งคนงานให้ปฏิบัติตาม พักใหญ่คนงานกลับวิ่งหน้าตื่นมาหา “คุณอิงไม่อยู่ในห้องค่ะ”
เจคถือโทรศัพท์รออยู่จึงได้ยินเต็มสองหู รีบสั่งเสียงเครียด “ตามหาเธอ! แล้วให้คนคอยโทรเข้ามือถืออิงดูสิจะรับสายเมื่อไหร่”
เหล่าคนงานรีบทำตามอย่างตื่นตกใจ หัวหน้าแม่บ้านไม่กล้าวางสายของชายหนุ่มจึงเปลี่ยนเป็นเปิดลำโพงโทรศัพท์ ถือมันไว้ระหว่างออกตามหาวิมลิน จนกระทั่งได้ยินเสียงบางอย่างแว่วๆ ค้นหาไปจนถึงพุ่มไม้ข้างโรงรถ แหวกดูก็พบโทรศัพท์วิมลินตกอยู่ที่พื้น เธอรีบตะโกนรายงานใส่เครื่องมือสื่อสาร
“คุณเจคคะ เจอโทรศัพท์คุณอิงตกอยู่ข้างโรงรถค่ะ”
“หา!? เป็นไปได้ยังไง”
แม่บ้านเงยหน้าขึ้น จำได้ว่าตำแหน่งที่ว่างในโรงรถตอนนี้เคยมีรถของเลขาฯ มูลนิธิจอดอยู่ “วันนี้คุณพริมมาพบคุณอิงนะคะแต่เธอกลับไปตั้งนานแล้ว”
เจคผู้กำลังคุยโทรศัพท์หน้าซีดเผือด ตวาดลั่น “รีบโทรหาคุณวัตบอกอิงหายตัวไป ให้เขาแจ้งตำรวจทันที”
“อะ…อะไรนะคะ”
“ปัดโธ่! รีบทำเถอะน่า ความเป็นความตายอิงแขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้วนะ”
ชายหนุ่มตัดสายทิ้งทันที ดวงตาแดงฉานแทบกลั่นเป็นเลือด ทุบพวงมาลัยรถปังจนสะเทือนไปทั้งคัน ขณะที่เท้าเหยียบคันเร่งจนมิด!
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 16 : หน้ากากนกยูง (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 15 : สิ่งที่ซ่อนไว้ในความลับ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 15 : สิ่งที่ซ่อนไว้ในความลับ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 15 : สิ่งที่ซ่อนไว้ในความลับ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 14 : เผยความลับ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 13 : เหตุพลิกผัน (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 13 : เหตุพลิกผัน (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 12 : เปิดใจ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 12 : เปิดใจ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 11 : หัวใจ…ไม่ใช่กำแพง (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 10 : ข้อเสนอ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 9 : แตกหัก (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 8 : ที่ดินเจ้าปัญหา (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 7 : รอยแผลจากอดีต (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 6 : ตุ๊กตาเจ้าหญิง (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (4)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 4 : กุญแจดอกสุดท้าย (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 3 : เหตุผลที่แท้จริง (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (1)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (3)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (2)
- READ หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (1)